ตอนที่ 863 เจอนายท่านฉุย
อาคารของคณะร้องเต้นเย่ไหลเซียงนั้นเด่นสะดุดตามาก หลังจากที่หลินเพ่ยมายังถนนเจี้ยนเช่อในวันนั้น หล่อนก็พบกับเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
หล่อนเช่าห้องเดี่ยวในบริเวณใกล้เคียงด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย และไปยังคณะร้องเต้นเย่ไหลเซียงเพื่อสมัครงานในคืนนั้น
เถ้าแก่โหยวของคณะเห็นว่าหลินเพ่ยงดงามราวกับดอกไม้แรกแย้ม เขาจึงจ้างหล่อนทันที
นักเต้นคนอื่น ๆ สวมเสื้อผ้าที่เปิดเผยมากเวลาทำงาน แต่หลินเพ่ยกลับทำตรงกันข้าม โดยใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดอยู่เสมอ
เมื่อเถ้าแก่โหยวเห็น เขาก็เตือนหล่อนหลายครั้งว่าให้สวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยกว่านี้ ภายในอาคารมีเครื่องทำความร้อน และไม่ต้องกลัวว่าจะหนาวตาย
หลินเพ่ยเพียงแค่นหัวเราะด้วยความเขินอาย
แม้ว่าเถ้าแก่โหยวจะไม่พอใจเท่าใดนัก เขาก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียวเมื่อเห็นผู้ชายมากหน้าหลายตาขอเต้นรำกับหล่อน และยังสามารถหาเงินมาให้เขามากมาย
เวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินเพ่ยทำงานกับที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่กลับยังไม่เห็นแม้เงาของนายท่านฉุย หล่อนก็เริ่มเกิดความกังวล
หล่อนต้องการฆ่านังแพศยาหลินม่ายโดยเร็วที่สุด ทว่านายท่านฉุยกลับยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น แล้วแผนการของหล่อนจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร?
หล่อนลองถามเถ้าแก่โหยวและนักเต้นคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมนายท่านฉุยถึงไม่แวะเวียนมาเลย และหล่อนคงทำได้แค่รอเท่านั้น
หลินเพ่ยมีใบหน้าของเด็กสาวไร้เดียงสาและยังแต่งตัวมิดชิดเสมอ ผู้ชายหลายคนที่แวะเวียนมาหาความบันเทิงต่างก็คิดว่าหล่อนเป็นเด็กสาวที่เพิ่งรู้จักโลก และอยากสัมผัสหล่อนกันทั้งนั้น
หลินเพ่ยไม่ได้สนใจว่าจะถูกชายอื่นแตะต้องตัวหรือไม่ ไม่สำคัญแม้ว่าหล่อนจะค้าประเวณีก็ตาม ตราบใดที่พวกเขายังมีเงินจ่าย
แต่หล่อนต้องการแสดงบุคลิกไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ต่อหน้านายท่านฉุย หล่อนต้องแสร้งทำเป็นผู้หญิงที่ไม่ประสาต่อโลก
แม้ว่านายท่านฉุยจะยังไม่มา หล่อนก็ต้องทำสิ่งนี้ต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปเข้าหูนายท่านฉุย
มิฉะนั้นเขาอาจจะคิดว่าหล่อนไม่ได้แตกต่างอะไรกับโสเภณีคนอื่น ๆ แล้วแบบนั้นจะทำให้นายท่านฉุยชอบหล่อนได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่แขกเข้ามาแตะต้องหลินเพ่ย หล่อนมักจะปฏิเสธเสมอ
คืนนั้น หลินเพ่ยเต้นรำกับชายวัยกลางคนร่างท้วม ซึ่งเขาจ้างหล่อนให้ดื่มเป็นเพื่อนกันหนึ่งชั่วโมง
หลินเพ่ยเป็นคนดื่มเก่ง และดีกว่าผู้หญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่
หลังจากที่ชายวัยกลางคนร่างท้วมและพรรคพวกเติมแอลกอฮอล์ให้หลินเพ่ยไม่กี่แก้ว หลินเพ่ยก็แสร้งทำเป็นดื่มไม่ไหวอีกแล้ว
ท่าทางโงนเงนไม่มั่นคงของหล่อนทำให้ผู้ชายทุกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาต่างตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะเชียร์ให้หล่อนดื่มโดยเร็ว
ในใจหลินเพ่ยสนุกสนานกับมัน แต่ภายนอกต้องแสร้งทำเป็นต่อต้านและปฏิเสธด้วยเสียงสิ้นหวัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ นักเต้นสาวสวยชื่อหงเหมยกุ้ยก็ทนไม่ได้อีกต่อไป หล่อนตรงเข้าไปและพูดกับแขกผู้ชายเหล่านั้น
“น้องสาวฉันเพิ่งมาใหม่ หล่อนเป็นคนขี้อาย อย่าบังคับหล่อนเลยค่ะ ฉันจะดื่มขวดนี้ให้เอง ต้องขอโทษพวกพี่สุดหล่อด้วยนะคะ”
สิ้นเสียง หล่อนหยิบขวดไวน์แดงบนโต๊ะและกระดกขึ้นดื่มจนหมด
แม้ภายนอกของหงเหมยกุ้ยจะดูเย็นชา แต่แท้จริงหัวใจหล่อนกำลังร้อนรุ่ม
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานน้องใหม่กำลังลำบากใจ หล่อนจึงก้าวออกไปเพื่อปกป้อง
ทันทีที่หงเหมยกุ้ยดื่มไวน์แดงจนหมดขวด ชายอ้วนหูใหญ่กลับตบหล่อนหลายครั้งกระทั่งเธอล้มลงพื้น ก่อนจะเตะเข้าที่ร่างกายหล่อนอีกหลายครั้ง
เขาสบถด้วยความโกรธ “นังสารเลว ใครบอกให้แกดื่มไวน์ของลูกพี่ฉัน!”
หงเหมยกุ้ยถูกเตะเข้าที่ท้องอย่างแรง หล่อนขดตัวเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวด
ในเวลานี้ ชายวัยสามสิบปีหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้าร้านมาด้วยท่าทางสง่างาม ขณะล้อมรอบไปด้วยบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่ที่สวมแว่นดำ
หลายคนหันไปพูดกัน “นายท่านฉุยมาแล้ว นายท่านฉุยมาแล้ว!”
มีคนมากมายเข้าไปทักทายเขาด้วยใบหน้าแสนยั่วยวน
น่าเสียดายที่นายท่านฉุยไม่แม้แต่จะชายตามองคนเหล่านี้ที่เข้ามาหวังจะประจบสอพลอเขา
เมื่อเห็นว่าในที่สุดนายท่านฉุยก็ปรากฏตัว หลินเพ่ยก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้หลุดพ้นจากวงล้อมของชายอ้วนและพรรคพวกของเขา
หล่อนตัดสินใจทำสิ่งเกินความคาดหมาย ด้วยการคลานและตะเกียกตะกายไปยังเท้าของนายท่านฉุย กอดขาของเขาด้วยน้ำตาคลอพลางปั้นสีหน้าน่าสงสาร “พี่ชายคะ ช่วยฉันด้วย!”
เห็นเป็ดในกำมือบินหนีไปแล้ว ชายร่างอ้วนและพรรคพวกจะยอมแพ้ได้อย่างไร
พวกเขารีบตามหลินเพ่ยไปและเกือบชนเข้ากับนายท่านฉุย
เมื่อเห็นว่าคนที่หลินเพ่ยคลานไปหาคือนายท่านฉุย คนกลุ่มนี้ก็ตกใจจนแทบหยุดฝีเท้าไม่ทัน
โชคดีที่พวกเขายังหยุดฝีเท้าได้ทัน กระทั่งพื้นรองเท้าครูดไปกับพื้น
ชายร่างอ้วนชี้ไปทางหลินเพ่ยและพูดด้วยความระมัดระวัง “พี่ฉุย ผมจ่ายเงินซื้อเวลาของผู้หญิงคนนั้นไว้แล้ว”
นายท่านฉุยเพียงพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ก้มหน้าลงและดุหลินเพ่ย “ปล่อย!”
หลินเพ่ยร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน “ฉันไม่ปล่อยหรอกค่ะ พี่ชายได้โปรดช่วยฉันด้วย ถ้าฉันปล่อย พวกเขาจะจับฉันกลับไปและกลั่นแกล้งฉันอีก”
นายท่านฉุยเผยยิ้มแสนน่ากลัว “เธอมาที่นี่เพื่อขายตัวเอง มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไงที่จะถูกเอาเปรียบ? หรือว่าเธอพยายามทำตัวไร้เดียงสางั้นเหรอ?”
หลินเพ่ยร้องไห้ด้วยท่าทางที่เศร้าโศกเป็นพิเศษ ราวกับถูกนางเอกบทโศกเข้าครอบงำ “ไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พี่ใหญ่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้วางแผนมาที่นี่เพื่อขายตัว ฉันแค่อยากทำงานเป็นนักเต้นเพื่อหาค่ารักษาพยาบาลให้กับแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด”
นายท่านฉุยหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
เขาเคยเห็นผู้หญิงจำนวนมากแบบหลินเพ่ยที่พยายามเข้าหาเพื่อพูดคุยกับเขา
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่ริเริ่มคุยกับเขาโดยแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ด้วยการปั้นเรื่องเศร้าแบบนั้น
นายท่านฉุยก้มลงมองใบหน้าแสนบอบบางของหลินเพ่ยพลางคิดในใจ ในเมื่อหล่อนมาหาเขาถึงหน้าประตูและต้องการถวายตัวให้เขาขนาดนี้ เขาก็จะปล่อยให้หล่อนทำต่อไป
นายท่านฉุยเงยหน้าขึ้นมองชายร่างท้วมตรงหน้าและพูดว่า “ฉันจะเอานังนี่ออกไปก่อน แล้วจะส่งมันคืนให้พรุ่งนี้เช้า นายจะยอมให้ฉันได้ไหม?”
ชายร่างท้วมพยักหน้ารัว ๆ เหมือนไก่จิกข้าว “ถ้าพี่ฉุยต้องการ ถ้าอย่างนั้นผมยกหล่อนให้พี่ฉุยเลยครับ และไม่ต้องนำหล่อนกลับมาคืนผม”
นายท่านฉุยโบกมือ “งั้นฉันจะเอามันไป” จากนั้นเขาพาหลินเพ่ยออกจากร้าน
หลินเพ่ยดีใจมากและเข้าไปนั่งในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของนายท่านฉุยอย่างมีความสุข
ไม่นึกไม่ฝันว่าหล่อนจะได้คุยกับนายท่านฉุยง่ายดายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าความสวยนั้นสำคัญขนาดไหน!
นังหลินม่ายเองก็เป็นแค่จิ้งจอกตัวหนึ่งที่ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ เพราะว่าหล่อนหน้าตาดีไม่ใช่หรือ?
นายท่านฉุยชำเลืองมองหลินเพ่ยด้วยรอยยิ้มบางแฝงเลศนัย
รถเมอร์เซเดส-เบนซ์แล่นออกไปจนมาหยุดอยู่ด้านหน้าหน้าอาคารสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่งที่มีสวนโดยรอบ
หลินเพ่ยเดินตามนายท่านฉุยและคนของเขาเข้าไปยังอาคารสไตล์ตะวันตกด้วยความกังวลใจ เธอเตรียมตัวที่จะเผชิญกับการข่มเหงและการเฆี่ยนตีจากภรรยาเดิมของเขา
แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ในอาคารสไตล์ตะวันตกแห่งนี้ นอกจากพี่เลี้ยงเด็ก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กนี้ไม่ใช่บ้านของนายท่านฉุย แต่เป็นสถานที่ส่วนตัวที่เขามาซ่อนตัวและเล่นสนุกกับเหล่าหญิงสาว
หลินเพ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นายท่านฉุยพาหลินเพ่ยตรงเข้าไปในห้องหนึ่ง
ทันทีที่ประตูปิด นายท่านฉุยก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออก และสั่งให้หลินเพ่ยทำเช่นเดียวกัน
หลินเพ่ยแสร้งทำเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา และปฏิเสธที่จะถอดเสื้อผ้าของตนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
นายท่านฉุยที่เปลือยเปล่าโยนหลินเพ่ยลงบนเตียงกว้าง เขากระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมหล่อนและฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหลินเพ่ยราวกับสุนัขที่หิวกระหาย
หลิยเพ่ยยังคงพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่ขัดขืนจนเกินไป ซึ่งทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าของนายท่านฉุยยิ่งรุนแรงและต้องการทำลายหล่อนมากขึ้น
หลังจากนั้น คนหนึ่งก็สุขสมอารมณ์หมาย อีกคนแสร้งทำเป็นสูญเสียความบริสุทธิ์พลางสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด
ท่าทางเศร้าสร้อยนั้นช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
น่าเสียดายที่นายท่านฉุยไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผา
นอกจากนี้มีผู้หญิงตั้งมากมายที่เขาเคยนอนด้วย ไม่ว่าหลินเพ่ยจะบริสุทธิ์หรือไม่ เขาย่อมสามารถบอกได้ทันทีที่กิจกรรมบนเตียงเริ่มขึ้น
นังแพศยาที่ถูกผู้ชายนับไม่ถ้วนใช้งาน บังอาจแสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ต่อหน้าเขา ซึ่งมันเกือบทำให้เขาอาเจียนด้วยสมเพช
นังแพศยาคนนี้คิดว่าเขาปัญญาอ่อนหรือยังไง?
นายท่านฉุยเริ่มเดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเตะหลินเพ่ยลงจากเตียงด้วยเท้าข้างเดียว “เลิกทำตัวเป็นผู้หญิงบอบบางและไร้เดียงสาได้แล้ว แกคิดว่ากำลังหลอกใครอยู่? แกมันก็แค่อีตัวที่น่าเวทนา!”
หลินเพ่นถูกเตะลงจากเตียงอย่างกะทันหัน และเกือบล้มหน้าคะมำ
หล่อนรีบกำจัดความกระวนกระวายใจ เพราะกลัวว่าตัวเองจะล้มลงหน้ากระแทกพื้นจนจมูกบิดเบี้ยว
หล่อนรีบยื่นมือออกไปสัมผัส แต่โชคดีที่มันยังไม่เบี้ยวอย่างที่กังวล
ขณะเพิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก คำพูดของนายท่านฉุยก็ทำให้หล่อนตัวแข็งค้างทันที
ฉัน… ทำให้เรื่องแย่ลงด้วยการพยายามทำตัวฉลาดงั้นเหรอ?
ท้ายที่สุด ผู้หญิงที่เคยเลียปัสสาวะของพวกอันธพาลบนเรือลักลอบขนสินค้านั้นจะต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง
หลินเพ่ยค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น เลื้อยกลับขึ้นไปบนเตียงเสมือนงู และเริ่มโอบรอบร่างของนายท่านฉุย
หล่อนใช้ทักษะทั้งหมดในการปรนนิบัติผู้ชายที่เคยได้เรียนรู้ในย่านโคมแดงใต้ดินของกว่างโจวกับนายท่านฉุย
นายท่านฉุยได้รับการบริการอย่างดีจนเขารู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์และใกล้จะถึงฝั่งฝัน
เขายื่นมือออกไปลูบหัวของหลินเพ่ย “ต้องแบบนี้สิ จะเสแสร้งเป็นหงส์ไปทำไม ไก่ยังไงก็เป็นไก่วันยังค่ำ”
คืนนั้นหลินเพ่ยใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดของหล่อนเพื่อเผชิญหน้ากับนายท่านฉุยอย่างเร่าร้อน
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนผู้น่าสงสารนอนไม่หลับในค่ำคืนนี้ เขานั่งเดียวดายบนก้อนหินใหญ่ริมทะเล ขณะทอดสายตามองไปทางฮ่องกงด้วยความรู้สึกห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของหลินเพ่ย
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รู้สึกสมเพชสวะเสี่ยวเจี๋ยนอย่างบอกไม่ถูก รักเขาห่วงเขาฝ่าดงระเบิดเพื่อเขาแทบตาย แต่เขาได้ดีแล้วก็ไม่เหลียวแลตัวเองสักนิด
ไหหม่า(海馬)