”นี่ อย่าขยับสิ เดี๋ยวจะเป็นรอยเอา” เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังสนุก นางรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อคิดว่านางสามารถละเลงใบหน้าหล่อเหลานี้ให้เปรอะเปื้อนได้ตามที่ใจต้องการ
เมื่อเห็นดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เกาหน้าผากตัวเองอย่างจนปัญญา แต่เขาก็ยอมอยู่นิ่งๆ ให้นาง
”อืม ดูดีทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลังจากเสร็จภารกิจ
องค์ชายไม่ถ่อมตัวแต่อย่างใด ”ข้าก็ดูดีอยู่ตลอด”
”ข้าหมายถึงฝีมือของข้าต่างหากที่ดูดีทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลงจูบริมฝีปากเขา รอยยิ้มของนางเหยียดกว้างขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนึกไม่ถึงว่านางจะจู่โจมเขาอย่างกะทันหัน เขาพยายามคว้าตัวนางกลับมาทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยร้องลั่น ”นี่ๆๆ! ท่านยังมีมาสก์อยู่บนหน้านะ อย่าเข้ามาใกล้หน้าข้าสิ! ข้าจะทาเอง!”
”นอนลง ข้าจะทาให้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมืออกไปกดนางลงกับเตียงโดยไม่สนใจคำคัดค้านนั้น เขาค่อยๆ ทาส่วนผสมเหล่านั้นลงบนใบหน้าของนางเหมือนกับที่นางทำให้เขาเมื่อครู่นี้
การจูบขององค์ชายนั้นเกิดขึ้นถี่กว่ามากเมื่อเทียบกับการจู่โจมอย่างกะทันหันของเฮ่อเหลียนเวยเวย เบื้องต้นนั้นการลงแปรงหนึ่งครั้งเท่ากับจูบครั้งหนึ่ง เขาดูสบายใจอย่างมาก อีกทั้งยังบีบมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นครั้งคราวอีกด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …นางไม่ใช่แมวเสียหน่อย จำเป็นด้วยหรือที่เขาต้องบีบอุ้งมือของนางเช่นนี้
”เสร็จหรือยัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยทนนอนอยู่เฉยๆ ไม่ไหวอีกต่อไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง แล้วขมวดคิ้ว ”หลังจากทาหน้าแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง”
”อย่าขมวดคิ้วสิ เดี๋ยวมันจะมีรอยยับ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอาแต่พูดถึงเรื่องรอยยับ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจนาง แล้วหยิบกระจกสัมฤทธิ์ขึ้นมา เมื่อชายหนุ่มเห็นหน้าตัวเอง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นทันที มันไม่ได้ดูดีเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้นางจูบเขาทั้งที่หน้าตาเขาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
”เดี๋ยว อย่าเพิ่งถูออกสิ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยกดมือเขาลง แล้วจึงพูดยิ้มๆ ว่า ”มันยังไม่ถึงเวลา ต้องรออย่างน้อยครึ่งก้านธูป ท่านต้องรอให้สารอาหารแทรกซึมเข้าสู่ผิวอย่างช้าๆ”
พูดอีกอย่างก็คือ เขายังต้องรอให้เจ้าสิ่งเละๆ เหล่านี้อยู่บนหน้าตัวเองต่ออีกครึ่งก้านธูปนั่นเอง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติ
แต่องค์ชายก็ยังสง่างามและสูงส่งเหมือนอย่างเคย เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้านางไว้ ”ข้าไม่เคยอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้มาก่อน”
”อัปลักษณ์ตรงไหน ท่านหล่อออกจะตาย” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพลางกลั้นหัวเราะ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้ว ”มันน่าขำถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
”ไม่ใช่เสียหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยสบเข้ากับดวงตาที่หรี่ลงของชายหนุ่ม แต่นางก็ยังยืนกรานว่า ”จริงๆ นะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกริมฝีปากขึ้นเป็นเส้นโค้ง ”เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ”
”แน่นอน ท่านต้องเชื่อข้าอยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะมีหน้าตาเช่นใด ข้าก็ยังรักท่านอยู่ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าในเวลาแบบนี้ นางต้องพูดจาหวานๆ ให้สมกับเป็นประธานจอมเผด็จการ ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ การปล่อยให้คนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งมีอำนาจมากเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่โชคดีที่นางก็มีอำนาจพอๆ กับเขาเหมือนกัน! นางพยักหน้าด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง!
เมื่อเห็นนางมีท่าทางเช่นนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รู้ว่านางคงเข้าใจสถานะของตัวเองผิดอีกแล้ว เขาซบศีรษะลงกับไหล่ของนางพร้อมเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไป พวกเขาทำเพียงแค่นอนอยู่บนเตียงและรอให้ถึงเวลาที่จะล้างมาสก์ออกจากใบหน้า
บางครั้งเฮ่อเหลียนเวยเวยก็นึกครึ้มหยิบคู่มือเล่มเล็กที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้นางไว้ตอนอยู่ในแดนพระพุทธศาสนาขึ้นมาขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไปอย่างเอาจริงเอาจัง
”การได้มาสก์หน้ากับคนที่เรารักก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวทีเดียว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปหยิบคู่มือเล่มนั้น และเหลือบมองมันเล็กน้อย ”เจ้าเขียนอะไรอยู่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าไม่มีใครเข้าใจลายมือของนาง ดังนั้นนางจึงอธิบายให้เขาฟังอย่างตั้งใจ นี่คือการแสดงความเป็นประธานจอมเผด็จการให้เขาเห็น หลังจากแสดงความโรแมนติกออกมาถึงเพียงนี้ นางจะไม่บอกคนที่นางรักได้อย่างไรว่านางเป็นคนโรแมนติกขนาดไหน นางไม่ยอมเสียเปรียบหรอก!
หลังจากฟังที่นางพูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มองดูสัญลักษณ์รูปวงกลมและกากบาทที่อยู่บนคู่มือเล่มนั้นด้วยสีหน้ายากจะเข้าใจ ”เฮ่อเหลียนเวยเวย อย่าบอกนะว่าตัวอักษรหน้าตาเหมือนผีสองตัวนี้คือคำว่ารัก”
”หน้าตาเหมือนผีตรงไหนกัน อักษรเขียนพู่กันพวกนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเองกับมือเชียวนะ ถ้าไม่รู้จะชื่นชนมันอย่างไร ก็อย่าพูดจาใจร้ายกับมันทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบคู่มือฉบับนั้นกลับมา แล้วเก็บมันไว้เป็นอย่างดี ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อในท่าเดิม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผลอกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ไหว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหงุดหงิดเล็กน้อย นางรู้ว่าเขาหัวเราะอะไร เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหัวเราะเยาะลายมือที่น่าเกลียดเกินไปของนางอยู่!
ความจริงแล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ขำเรื่องนี้ แต่ขำสีหน้าขึงขังจริงจังของนางต่างหาก เช่นเดียวกันกับตอนที่อยู่ในพระพุทธศาสนา นางเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ แต่บางครั้งก็ซื่อบื้ออย่างมาก และนั่นทำให้เขาอยากกอดนางให้แน่นขึ้น
เจ้าเจ็ดลาก ’อาหาร’ เดินเข้ามาจากนอกห้องและเห็นภาพนี้เข้าพอดี เขาผงะไปเล็กน้อย ”พี่สาม? พี่สะใภ้สาม?”
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเจ้าเจ็ดเดินเข้ามา นางจึงยิ้มให้เขา ”เจ้าเจ็ด เจ้าไม่เคยเห็นพี่สามในสภาพนี้ใช่หรือเปล่า เขาไม่หล่อหรือ”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยหาความหล่อจากใบหน้าขาวซีดนี้ไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว เขาขว้าง ’อาหาร’ ที่อยู่ในมือออกไปข้างหน้า แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า ”ข้าให้พี่สะใภ้สามขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสัตว์อสูรเพลิงที่กองอยู่ตรงเท้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ”พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่กินของสกปรกพรรค์นั้น ลากมันออกไปแล้วกินเองซะ”
”ของสกปรกหรือขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก้มหน้าลง แล้วสบตากับสัตว์อสูรเพลิง เขาพึมพำขึ้นว่า ”เป็นเพราะมันหน้าตาน่าเกลียดหรือขอรับ”
สัตว์อสูรเพลิง : …บัดซบ! เจ้าจะอยากกินข้าข้าก็ไม่ว่าหรอก แต่กล้าติเรื่องหน้าตาของข้าได้อย่างไร!
องค์ชายเจ็ดไม่สนใจว่าสัตว์อสูรเพลิงตัวนั้นจะคิดอะไรอยู่ พี่สามกับพี่สะใภ้สามของเขาไม่ชอบมันก็จริง แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้มันเสียของได้ ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวไปอีกทางแล้วกลืนสัตว์อสูรเพลิงลงท้องในครั้งเดียว เหลือไว้เพียงหางของสัตว์อสูรเพลิงที่ปัดป่ายไปทั่วมุมปากของเขาเท่านั้น
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกัดมันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจัดการทุกอย่างจนสะอาดหมดจด เขาลิ้มรสมันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”มันไม่อร่อยเลยขอรับ”
สัตว์อสูรเพลิงคร่ำครวญออกมาเป็นครั้งสุดท้าย : …เจ้ากินข้าไปแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก!
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่คิดที่จะพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับอาหารของตัวเอง ดังนั้นหลังจากที่กินเสร็จ เขาจึงส่งย่ามใบเล็กที่ถืออยู่ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ข้านำของสิ่งนี้จากท่านเจ้าสำนักมาให้เด็กๆ ขอรับ”
สิ่งที่อยู่ในย่ามใบเล็กๆ นั้นคือบัวหิมะเทียนซานชั้นดี ดูเหมือนว่าหนนี้ท่านเจ้าสำนักคงได้โกรธขึ้นมาจริงๆ แน่
คราวนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบมันขึ้นมาป้อนให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกินพร้อมกับสอนเด็กชายไปด้วยในเวลาเดียวกันว่า ”เอาอย่างอื่นมาจากเจ้าสำนักอีกก็ได้”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพยักใบหน้าเล็กๆ ตามอย่างจริงจัง หลังจากได้ยินที่ไป๋หลี่เจียเจวี่ยพูด เขาก็รีบหยิบย่ามใบเล็กขึ้นมา และกำลังจะบุกกลับไปปล้นที่นั่นอีกครั้ง
ขันทีซุนพยายามขวางทางเขาไว้ด้วยท่าทางสิ้นหวัง ”องค์ชายเจ็ด ท่านไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักตู๋ซูเผลอทำตะเกียงแก้วแตกไปแล้วถึงสองดวงโดยไม่ตั้งใจ และตอนนี้เขาก็กำลังตามหาตัวท่านไปทั่ววังหลวงเลยพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนบอกพร้อมกับตะโกนไปในห้องว่า ”องค์ชายสาม ท่านช่วยห้ามองค์ชายเจ็ดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”