ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 54 สัปดาห์ที่ 22 อาคิยามะ เออิชิ (2)

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

          ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

          “นายมาได้ไงเนี่ย?” 

          เด็กสาวทักทายผมด้วยคำถามแทนที่จะเป็นคำทักทายปกติทั่วไป

          เธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมยาวสีดำถูกรวบไว้ด้านหลังเป็นทรงหางม้า ดวงตาใสกระจ่างแฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ เสื้อยืดสีขาวเข้ารูปรับกับกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ แต่กลับให้ความรู้สึกชวนมองจนน่าประหลาด ทั้งหมดคลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวมีฮูดที่มองดูแล้วคุ้นตาตั้งแต่แรก

          [‘อ่ออ… เสื้อคลุมที่ใส่ไปซื้อของคืนนั้น’] 

          โอโตเมะ อามายะ เอียงคอมองผมด้วยสีหน้าสงสัย ผมเห็นเธอยกมือมาโบกตรงหน้าผมด้วย ตลกดี

          “ฉันเดินมาน่ะ เธอล่ะ มายังไง?” 

          “เอ๊ะ? อ่อ ฉันมากับพี่น่ะ… ขำอะไร หน้าแบบนั้นคือเมื่อกี้ตอบกวนฉันใช่มั้ย” 

          โอโตเมะเอามือข้างนึงขึ้นมาเท้าเอวมองค้อนผมแรงๆ แต่ผมไม่คิดว่าเธอจะโกรธจริงๆ หรอก ถึงเธอจะเริ่มทำตาเขียวแล้วก็เหอะ

          “โทษทีๆ ฉันมากับรุ่นพี่น่ะ แต่แอบหนีออกมา” 

          “หืมม คุณนาคาจิมะน่ะหรอ?” 

          “อ่า…” 

          ผมยืนคุยกับโอโตเมะอยู่จนกระทั่งเด็กทั้งสามคนเล่นยิงปืนเสร็จแล้วจึงหันไปบอกเจ้าของร้าน

          “พี่ชาย ผมขอชุดนึง” 

          เจ้าของร้านมองผมแล้วหันไปมองโอโตเมะแวบนึงก่อนจะส่งกระสุนมาให้

          ผมรับกระสุนมาแล้วมองปืนที่อยู่ตรงหน้า เมื่อกี้มัวแต่คุยกับโอโตเมะเลยไม่ได้สังเกตปืนแต่ละอันเท่าไร ถ้าจะให้ชัวร์คงต้องลองทีละอันละนะ

          ผมหยิบปืนอันนึงที่เมื่อกี้รู้สึกว่ามันจะยิงดีกว่าอื่นๆ ขึ้นมาลองใส่กระสุนพร้อมกับตั้งท่าเล็ง ในตอนนั้นเองเสียงใสๆ ก็ดังขึ้นมาข้างๆ

          “นี่ นายยิงแม่นหรอ?” 

          โอโตเมะเขยิบมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนผู้ประสบภัยทางทะเลทรายเดินมาเจอโอเอซิส

          “อืมม ก็พอได้” 

          “เหหห…” 

          น้ำเสียงของเด็กสาวอ่อยลงจนผมรู้สึกเสียใจกับคำตอบของตัวเอง เธอก้มหน้าลงแล้วเดินกลับไปยืนที่เดิมที่เธอยืนทีแรก

          [‘เราตอบอะไรผิดไปล่ะเนี่ย?’] 

          ผมมองเธออย่างสงสัยแต่เหมือนเธอจะไม่รู้ตัว สายตาเธอมองไปที่พวกกุญแจหมีอันนึงบนชั้นรางวัล เป็นหมีที่มีปีกเหมือนเทวดา สลับกับหันไปมองทางหน้าร้านเหมือนกำลังรอใคร

          [‘หืมมม…’] 

          ผมเลิกสนใจเธอแล้วกลับมาลองปืนทุกอันจนหมดกระสุนชุดแรก จากนั้นจึงเริ่มต้นการล่ารางวัลของจริงของค่ำคืนนี้

          แป๊ะ… แป๊ะ… แป๊ะ

          เสียงปืนอัดลมดังขึ้นพร้อมกับกระสุนจุกยางที่พุ่งตัวออกจากปากกระบอกปืน แม้จะเข้าเป้าทุกนัดแต่กว่าเป้านั่นจะหล่นลงมาก็ใช้กระสุนไม่ต่ำกว่าสองนัด

          แป๊ะ… แป๊ะ

          พอหมุดกระสุนชุดที่สองสิ้นสงครามของผมก็ถูกพี่ชายเจ้าของร้านเก็บมาส่งมอบให้ถึงที่

          เป็นพวงกุญแจสองอัน อันนึงเป็นหมีขนปุยมีปีสีขาวเหมือนเทวดาอยู่ข้างหลัง อีกอันเป็นหมาชิบะที่เหมือนทำหน้ายิ้มตลอดเวลาเห็นแล้วน่าหมั่นไส้เลยยิงมันลงมา

          ได้สินสงครามมาแล้วหันไปมองข้างๆ ปรากฏว่าโอโตเมะยังยืนอยู่ที่เดิม เหม่อมองไปที่ผู้คนที่กำลังเดินสวนกันไปมาในงาน

          “รอแฟนหรอ?” 

          โอโตเมะตอบสนองกับคำถามของผมด้วยการหันซ้ายมองขวา หันไปหันมาจนผมกลัวว่าเธอจะคอเคล็ด

          “ฉันถามเธอนั่นแหละ” 

          “เอ๊ะ?!” 

          โอโตเมะเอามือชี้มาที่ตัวเองพร้อมทำหน้าสงสัยเหมือนจะเช็กอีกรอบว่าผมถามเธอจริงๆ ใช่หรือเปล่า

          “นี่นายเห็นฉันไม่มีแฟนเลยมาล้อฉันเล่นใช่มั้ย?” 

          [‘ทำตาขวางใส่กันอีกแล้ว แฮะๆๆ] 

          “เปล่า ก็เห็นเหมือนรอคนอยู่เลยถามดู” 

          “ฉันรอพี่ต่างหากล่ะ ก็บอกไปแล้วนิว่ามากับพี่” 

          “อืมม ก็จริง” 

          โอโตเมะทำเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วบ่นว่าผมชอบหาเรื่องเธอ

          “ก็แกล้งเธอแล้วสนุกนินา” 

          “หรอยะ!!” 

          “อ๊ะๆๆ… ยอม อ่ะให้ตีมือละกันนะ” 

          “ฮ่าๆๆ อะไรของนายเนี่ย ยอมรับโทษง่ายๆ แบบนี้ได้ไง” 

          ผมถอยฉากออกมาให้พ้นระยะทำการของโอโตเมะก่อนจะยื่นมือไปให้เธอทำโทษ พอเธอเห็นผมทำแบบนั้นก็หัวเราะเหี้ยมๆ ทำท่าจะตีมือผมจริงๆ แต่พอเห็นของในมือก็ชะงักไปเสียก่อน

          “เอ๊ะ?” 

          เสียงเล็กๆ หลุดจากริมฝีปากฉ่ำวาวเบาๆ บ่งบอกถึงความแปลกใจและความสงสัยของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจน

          โอโตเมะมองพวกกุญแจในมือผมแล้วหันไปมองที่ชั้นรางวัลในร้านยิงปืน เธอมองจ้องค้างแบบนั้นจนผมต้องเรียกเธอ เธอจึงหันมา

          “เอามั้ย?” 

          “…” 

          “ฉันเห็นเธอมองมันเลยคิดว่าอยากได้ ฉันได้ของฉันมาแล้วเลยลองยิงมาเผื่อเธออยากได้” 

          โอโตเมะไม่ตอบอะไรเพียงแค่มองผมด้วยใบหน้าเหมือนคนที่คุยกันคนละภาษา

          [‘น่าจะไม่อยากได้แฮะ สงสัยเราจะมองผิด’] 

          เนื่องจากพูดอะไรไปโอโตเมะก็เงียบ ผมเลยเก็บพวงกุญแจกลับมา ไหนๆ ก็ได้มาเป็นสินสงครามชิ้นแรกแล้วเดี๋ยวเอาไปให้พวกโคสุเกะก็ได้

          ผมเอาพวงกุญแจทั้งสองใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ตั้งใจว่าจะไปล่ารางวัลที่ร้านอื่นสักนิด หาของกินเพิ่มสักหน่อย ค่อยไปหาที่นั่งดูดอกไม้ไฟ

          “ถ้างั้นเดี๋ยวฉัน… หือออ…” 

          กำลังจะบอกลาแต่คำพูดกลับต้องสะดุดเพราะโอโตเมะที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำท่าทางแปลกๆ

          เธอเงยหน้ามองผม ปากอ้าออกน้อยๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด สีหน้าดูร้อนใจ ถูมือกันไปมา

          ดูแล้วประหลาด…

          แต่ผมก็มีมารยาทพอที่จะไม่ทักเธอออกไปแบบนั้น ดังนั้นผมจึงมองเธอและรอให้เธอพูดธุระของตัวเองออกมา

          “เอ่อออ… คือ… คือว่า… พวงกุญแจแฟรี่แบร์นั้นน่ะ คือ… ขอซื้อต่อได้มั้ย… อึก” 

          โอโตเมะที่ก้มหน้าก้มตาพูดอึกๆ อักๆ ถอยฉากไปครึ่งก้าว ท่าทางที่เธอสะดุ้งตอนเงยหน้ามาเจอผม เห็นแล้วอดขำไม่ได้

          เพราะเธอพูดอึกๆ อักๆ แถมเสียงเบาจนต้องก้มหน้าเข้าไปใกล้ถึงจะได้ยิน ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาสายตาเราเลยประสานกันพอดี

          [‘มองกี่ทีก็สวยแฮะ’] 

          ผมหยุดหัวเราะโอโตเมะที่หน้าเริ่มขึ้นสีแดงมากขึ้นก่อนจะโดนเธอตีเพราะไปแกล้งให้เธอโกรธ พลางล้วงเอาพวงกุญแจที่เก็บไปเมื่อกี้ออกมา

          “เธอหมายถึงอันนี้หรอ?” 

          พวงกุญแจหมีติดปีกแกว่งไปมาตรงหน้าโอโตเมะ ดูแล้วเหมือนเธอจะชอบมากเพราะตาเธอเป็นประกายทันทีที่เห็นมัน

          “นายจะขายเท่าไร” / “เอาไปซิ ฉันยิงมาให้” 

          เราพูดขึ้นมาพร้อมกันแล้วเราก็เงียบไปพร้อมกัน เธอมองหน้าผม ผมก็มองหน้าเธอ

          “เธอจะซื้อทำไม?” / “นายจะให้ฉันหรอ?” 

          “…” / “…” 

          “หุๆๆ ฮ่าๆๆ” / “ฮิๆๆ คิกๆๆ” 

          ทั้งผมทั้งโอโตเมะพากันหัวเราะให้กับความมีจังหวะจะโคนที่ดูเหมือนเตี๊ยมกันมาของเราทั้งคู่ ยืนหัวเราะอยู่นานจนพี่ชายร้านยิงปืนกระแอมดังๆ ให้ได้ยิน

          [‘แย่ละซิ ยืนเกะกะหน้าร้านเขานิหน่า’] 

          หลังถูกเตือนอ้อมๆ ผมกับโตเมะก็เขยิบออกมาจากหน้าร้านมายืนกันตรงที่โอโตเมะยืนรอพี่ในตอนแรก ก่อนที่ผมจะยื่นพวงกุญแจที่เธอเรียกว่าแฟรี่แบร์ให้เธอไป กว่าเธอจะยอมรับได้ว่าผมยกให้ฟรีๆ ก็เล่นเอาเสียน้ำลายไปพอสมควร

          “ว่าแต่พี่เธอไปไหนล่ะ? ฉันก็มาตั้งนานแล้วนะ ยังไม่เห็นพี่เธอเลย” 

          ผมถามโอโตเมะที่กำลังทำหน้าเหมือนเด็กประถมได้ของเล่นใหม่ถูกใจ

          “นั่นน่ะซิ ไปนานแล้วไม่เห็นมาซะที” 

          โอโตเมะเงยหน้าจากไอเทมใหม่ในมือมามองรอบๆ

          “ไม่ได้บอกหรอว่าไปไหน?” 

          “เห็นว่าจะไปคุยงานหรืออะไรนี่แหละ” 

          “ไม่ลองโทรหาล่ะ?” 

          “ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ” 

          “งั้นไม่ลองเดินไปดูที่รถล่ะ พี่เธออาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้” 

          “พี่บอกให้รออยู่นี่น่ะ คนมันเยอะ คลาดกันแล้วจะหากันลำบาก” 

          พอนึกถึงจำนวนคนขึ้นมาก็รู้สึกว่าถ้าคลาดกันคงจะลำบากจริงๆ

          ผมมองโอโตเมะที่เหม่อมองไปยังผู้คน ดูเหมือนเด็กน้อยรอพ่อแม่มารับไปเที่ยว อดที่จะรู้สึกทั้งขำทั้งสงสารไม่ได้

          “ยืมของฉันก่อนมั้ย?” 

          ผมยื่นโทรศัพท์ให้เธอ จุดประสงค์คือจะช่วยให้เธอติดต่อกับพี่เธอได้

          “เอ๊ะ?” 

          โอโตเมะมองโทรศัพท์ในมือผมสลับกับมองหน้าผม ก้มๆ เงยๆ จนผมสงสารคอของเธออีกครั้ง

          “ถ้าไม่อยากใช้ก็ขอโทษที แค่คิดว่าเธออาจจะอยากติดต่อพี่ดูน่ะ” 

          เห็นโอโตเมะไม่รับโทรศัพท์ไปผมก็เก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองอีกครั้ง

          “อ๊ะ! ดะ..เดี๋ยววว… เดี๋ยวซิ” 

          โอโตเมะคว้าแขนผมแต่เธอคงออกแรงมากไปหน่อยผมเลยรู้สึกเหมือนโดนดึงเข้าหาเธอ พอเกร็งตัวเองให้อยู่กับที่ ทีนี้กลายเป็นว่าเราอยู่ในท่ายื้อยุดฉุดกระชากกันซะงั้น

          “อ๊ะ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” 

          โอโตเมะปล่อยแขนผม เธอก้มหน้าพึมพำขอโทษเบาๆ ผมจึงยื่นโทรศัพท์ให้เธออีกครั้ง

          “ให้ฉันใช้ได้จริงๆ หรอ?” 

          “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? หรือเธอใช้ไม่เป็น?” 

          ชุดความคิดประหลาดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

          [‘หรือว่ายัยนี่ใช้โทรศัพท์รุ่นนี้ไม่เป็น บ้าน่า…’] 

          พอเผลอหลุดความคิดออกไปว่า ไม่จริงน่า… เธอใช้เครื่องรุ่นเก่าไม่เป็นหรอ โอโตเมะก็ทำตาโตจ้องผมเขม็งทันที

          “บ้า ใช้เป็นหรอกย่ะ แค่เกรงใจเฉยๆ หรอก” 

          “อ่อออ… โล่งอก นึกว่าโทรศัพท์ฉันมันตกรุ่นจนคนอื่นใช้ไม่เป็นแล้วซะอีก” 

          โอโตเมะไม่ได้ว่าอะไรต่อ เธอขอบคุณแล้วเอาโทรศัพท์ผมไปพิจารณาเล็กน้อยก่อนจะกดเบอร์โทร แต่จู่ๆ เธอก็ชะงัก หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันเหมือนกำลังเผชิญปัญหาอยู่

          นั่นทำให้ผมคิดได้ว่าตัวเองบันทึกเบอร์พี่สาวของเธอเอาไว้นี่หว่า หรือว่าเธอจะเห็นมันแล้ว

          “เป็นอะไรหรอ? อ่ออ… หรือโทรศัพท์ค้าง ฮ่าๆ โทษทีนะ บางทีมันก็เป็นแบบนี้แหละ” 

          ผมพยายามแถแล้วอาศัยจังหวะนั้นมองโทรศัพท์ตัวเอง ใจก็คิดว่าก็คิดว่าถ้าเธอถามจะตอบยังไงดี แต่ปรากฏว่าหน้าจอค้างอยู่หน้าปุ่มกด

          [‘อ้าว ค้างจริงดิ?’] 

          ผมลองเอานิ้วไปจิ้มๆ ที่หน้าจอ ตัวเลขยังคงขึ้น เครื่องยังตอบสนองตามปกติ งั้นทำไมโอโตเมะถึงชะงักแบบนั้น

          พอมองไปที่เจ้าตัว เธอก็มองมาที่ผมเหมือนรอจังหวะอยู่

          “ทะ… ทำไงดีล่ะ ฉันจำเบอร์โทรพี่ไม่ได้” 

          “เอ๊ะ?” 

          “ฉันจำเบอร์โทรของพี่ไม่ได้” 

          “ไหงงั้น?” 

          “ก็ปกติโทรผ่าน RaNE นิ มันไม่ได้ใช้เบอร์โทรสักหน่อย” 

          ผมอึ้งกับคำตอบของโอโตเมะจนไม่ได้ตอบอะไรเธอไป คิดตามหลักเหตุและผลมันก็จริงอย่างที่เธอว่า สมัยนี้น้อยคนที่จะมานั่งจำเบอร์โทรกัน

          “งั้นเอาไง ลองโทรเข้าเบอร์ตัวเองมั้ย เผื่อพี่เธออยู่ที่รถ” 

          หรือจะโทรไปที่บ้าน พอเสนอไปหลายๆ อย่างโอโตเมะก็เลือกลองโทรเข้าโทรศัพท์ตัวเองดู ส่วนที่ไม่เลือกโทรกลับบ้านเพราะกลัวว่ามันเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท