เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา – ตอนที่ 7

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

บทที่ 7

 

เย็นวันเสาร์ที่ฝนตกพรำๆ

 

ระหว่างทางกลับบ้านจากงานพาร์ทไทม์ ผมกำลังเดินถือร่มอยู่ในย่านกลางเมืองที่ฝนตก

 

วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานพาร์ทไทม์ของผมในฐานะครูสอนพิเศษส่วนตัวนักเรียนเป็นเด็กชายมัธยมปลายสองคนที่มีเป้าหมายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ฉันเข้าเรียน นั่นคือมหาวิทยาลัยแห่งชาติS ผมเพิ่งสอนเสร็จทั้งในรอบเช้าและบ่าย

 

นักเรียนเป็นชายมัธยมปลายที่พื้นฐานดีค่อนข้างมีความรู้และสามารถเข้าใจสิ่งที่ผมสอนได้อย่างง่ายดาย มันแตกต่างอย่างมากจากเด็กสาวม.ปลายที่ผมมักจะรับมือด้วยซึ่งมีปัญหาในการทำความเข้าใจพื้นฐาน มันง่ายมากที่จะสื่อสารกับพวกเขาจนผมแทบจะน้ำตาไหล

 

“อา—ฉันดีใจมากที่ได้เปลี่ยนงานพาร์ทไทม์~ หารายได้แบบนี้ดีที่สุด~”

 

การสอนผู้อื่นเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับผม เพราะผมมีเป้าหมายที่จะเป็นครูในอนาคต ผมต้องขอบคุณโทคุนากะแล้วล่ะที่แนะนำงานนี้ให้ผม

 

แม้ฝนจะตกแต่ผมก็ยังสดใส

 

“หืม?”

 

ผมที่รู้สึกเบิกบานใจอยู่นั้นจู่ๆ ก็มองเห็นร่างที่คุ้นเคยเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนบนถนน

 

ผมสีบลอนด์เปียกโชก

 

เด็กสาวม.ปลายที่เดินตัวเปียกโดยไม่ได้ถือร่ม…เอริกะจัง

 

“—เอริกะจัง!?”

 

ผมรีบเข้าไปหาเด็กสาวม.ปลายแล้วเรียกเธอ

 

อย่างที่คิดคนที่หันกลับมาคือเอริกะจังจริงๆ

 

“เอ๊ะ? คุณพี่ชาย?”

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ย!? ตัวเปียกหมดเลย!!”

 

ผมรีบคว้าเอริกะจังมาไว้ใต้ร่ม ตัวเธอเปียกจนมีน้ำหยดลงมาจากผมของเธอแล้ว

 

“หนูแค่เดินเตร็ดเตร่ทำธุระอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

 

“เธอไม่มีร่มรึไง!”

 

“เปล่า คือหนูออกจากบ้านในตอนเช้า แล้วหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าฝนมันจะตก”

 

ผมจำได้ว่าฝนเริ่มตกหลังเที่ยงเล็กน้อย ขณะที่ผมกำลังสอนหนังสือที่บ้านหลังที่สอง นี่เธอเดินตากฝนมานานแค่ไหนกัน?

 

เมื่อผมมองไปที่เอริกะจังด้วยความกังวลเธอก็มองมาอย่างงุ่มง่าม อาจเป็นเพราะเธอเปียกฝนแต่เอริกะจังดูกระฉับกระเฉงน้อยกว่าปกติ

 

ผมพูดกับเอริกะจังเบาๆ

 

“กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะ ทำธุระเสร็จแล้วรึยัง”

 

“เสร็จแล้ว แต่หนูยังไม่อยากกลับบ้าน”

 

“แต่เธอจะเป็นหวัดเอานะ ถ้าเธออยู่อย่างนี้เนี่ย”

 

“ไม่เป็นไหร่หรอก เดี๋ยวมันก็แห้งแล้ว”

 

เธอดูค่อนข้างดื้อรั้นและห่างเหินกว่าปกติ ดูเหมือนว่ามีเขียนไว้บนใบหน้าของเธอเลยว่าเธอต้องการอยู่ตามลำพัง แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น

 

“งั้นก็มาที่บ้านฉันสิ”

 

ผมจับมือเอริกะจังและเริ่มเดินเอริกะจังดูประหลาดใจเล็กน้อย

 

“เอ๊ะ? หนูบอกว่าหนูไม่เป็นไรไง…”

 

“ยัยงี่เง่า ตัวเปียกขนาดนี้จะให้ปล่อยไว้ได้ยังไง? เธอควรจะใส่ใจตัวเองกว่านี้หน่อยนะ”

 

พอผมพูดแบบนั้น เอริกะจังก็เงียบไป

 

เราเดินไปด้วยกันท่ามกลางสายฝนอย่างเงียบงัน

 

เสียงฝนกระทบร่มของผมช่างน่าฟังจนผมไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้เราจะเงียบ

 

“—ฉันกลับถึงบ้านแล้ว~! มานะ! เธออยู่รึเปล่า−?”

 

ผมตะโกนเสียงดังทันทีที่ก้าวเข้าประตูบ้าน

 

แล้วมานะที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำก็หันมามองผมด้วยสีหน้าตกใจ

 

“เอ๊ะ!? เอริกะ!? เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?”

 

มานะรีบวิ่งไปหาเอริกะจังที่ตัวเปียกโชก

 

“ฉันตัวเปียกคุณพี่ชายเลยพาฉันมา~”

 

เอริกะจังยิ้มอย่างขมขื่น

 

คำพูดของเธอทำให้ดูเหมือนว่าเธอเป็นเหมือนแมวที่ถูกทิ้ง

 

“พาเธอไปอาบน้ำ แล้วให้เธอยืมเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย”

 

มานะตอบว่า “โอเค” และเริ่มเดินไปห้องน้ำกับเอริกะ

 

“อ่า เดี๋ยวก่อน ฉันต้องจัดรองเท้าให้เรียบร้อย”

 

เมื่อเอริกะจังมาถึงประตู จู่ๆ เธอก็หันกลับมามองผม ผมดีใจนะ ที่เห็นว่าเธอจำสิ่งที่ผมพูดและพยายามนำไปปฏิบัติ แต่…

 

“วันนี้ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง รีบไปอาบน้ำได้แล้ว”

 

เมื่อผมพูดอย่างนั้น เอริกะจังก็พยักหน้าเบาๆ

 

ผมดูให้แน่ใจว่าเอริกะจังเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากับมานะแล้วผมก็จัดรองเท้าให้เธอใหม่

 

รองเท้าของเอริกะจังหนักขึ้นจากการดูดซับน้ำฝน

 

“…ฉันจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว”

 

ผมไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์เก่าๆ มายัดไว้ใน รองเท้าของเอริกะจังตรงทางเข้า วิธีนี้มันจะช่วยให้แห้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอกลับบ้าน

 

ขณะที่ผมสงสัยว่าจะมีวิธีที่เร็วกว่านี้ในการทำให้แห้งมั้ย จมูกของผมก็เริ่มคันขึ้นมา

 

“ฮัดเช่ย!!”

 

ไหล่ซ้ายของผมเปียกจากการพาเอริกะจังกลับบ้านขณะอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน ถ้าผมไม่ทำอะไรกับมัน ผมมั่นใจว่าผมก็จะเป็นหวัดด้วยเหมือนกัน

 

ผมตัดสินใจทิ้งรองเท้าของเอริกะจังและไปที่ห้องของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน

 

ไม่กี่นาทีหลังจากพาเอริกะจังกลับมาที่บ้าน

 

ผมอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยใช้ไดร์เป่าผมเพื่อพยายามทำให้รองเท้าของเธอแห้งให้มากที่สุด

 

ผมวางหนังสือพิมพ์ลงบนพื้นและวางรองเท้าผ้าใบของเอริกะจังไว้บนนั้น ไดร์เป่าผมเปิดเป็นลมอุ่น ไม่ใช่ลมร้อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รองเท้าเสียหาย จากนั้นผมก็ยัดกระดาษหนังสือพิมพ์ในรองเท้าให้แน่น

 

“พี่~? ไดร์เป่าผมอยู่ไหนอ่ะ~?”

 

ผมหันไปตามเสียงและเห็นมานะเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเอริกะจัง ผิวของเธอดูดีขึ้น ต้องขอบคุณการอาบน้ำอุ่น ดูเหมือนเธอจะยืมเสื้อยืดและกางเกงสบายๆ ของมานะ แต่ผมยาวสีบลอนด์ของเธอยังเปียกอยู่

 

“อ๊ะ แย่จัง ฉันใช้มันตากรองเท้าของเอริกะจังอยู่น่ะ”

 

“เอริกะก่อน ส่งมาให้หนูนี่”

 

มานะยื่นมือไปรับไดร์เป่าผม ผมปิดเครื่องและส่งให้มานะ

 

“เอริกะ มานั่งนี่สิ”

 

มานะให้เอริกะจังนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆ ผม

 

เอริกะจังค่อนข้างงุนงงและทำตามที่มานะบอกเธอ จากนั้นมานะก็เริ่มเป่าผมของเอริกะจังด้วยไดร์เป่าผม

 

ในขณะเดียวกัน ผมหยิบหนังสือพิมพ์ที่ผมยัดไว้ในรองเท้าของเอริกะจังออกมา หลังจากเก็บหนังสือพิมพ์ที่ชื้นเล็กน้อยแล้วฉันก็ยัดหนังสือพิมพ์ใหม่เข้าไป

 

“…ทำไมพี่ถึงเอาหนังสือพิมพ์ยัดรองเท้าของหนูล่ะ?”

 

เมื่อเสียงไดร์เป่าผมหยุดลงเอริกะก็ถามผม เธอมองผมราวกับว่าเธอกำลังมองคนที่น่าสงสัย ผมสงสัยว่ามันดูเหมือนผมกำลังแกล้งเธออยู่หรือเปล่า

 

“กระดาษหนังสือพิมพ์สามารถดูดซับความชื้นได้ดี ดังนั้นฉันจึงใช้มันดึงความชื้นออกจากรองเท้าของเธอไง”

 

เมื่อผมอธิบาย เอริกะก็พูดว่า “เห~?”

 

“นั่นก็เป็นสามัญสำนึกเหรอ? คนจะดูถูกหนูมั้ยถ้าหนูไม่รู้”

 

เอริกะจังถามผม ผมกังวลเล็กน้อยเพราะเธอดูแตกต่างจากเอริกะจังปกติเล็กน้อย

 

“ไม่ มันก็แค่ภูมิปัญญาชีวิตบางอย่างที่มีประโยชน์ที่จะรู้… ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีใครมาเยาะเย้ยหรอก แต่ถ้ารู้ก็ดี”

 

“เข้าใจแล้วล่ะ”

 

เอริกะจึงพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา

 

ในขณะนั้นมานะก็ยกถ้วยชาข้าวบาร์เลย์มาให้เอริกะจัง

 

“เอามั้ย?”

 

มานะพูดแล้วเอริกะจังก็หยิบถ้วยขึ้นมาดื่ม

 

ผมมองดูพวกเขาแล้วพูดว่า

 

“ทำไมเธอไม่พูดขอบคุณสักหน่อยล่ะ”

 

 

“ถ้าหนูไม่ทำจะเป็นไรมั้ย”

 

เอริกะจังจ้องมาที่ผม

 

เธอไม่ได้โกรธในความละเอียดของผม เธอกลับถามอย่างตรงไปตรงมา

 

“ถ้าเธอไม่พูด มานะอาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าเธอรู้สึกขอบคุณหรือมีความสุขกับชารึเปล่า และนั่นอาจทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดี ในทางกลับกันถ้าเธอพูดว่า ‘ขอบคุณ’ มานะจะมีความสุขแน่นอน”

 

“อา—ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นหรอก ฉันรู้อยู่แล้วว่าเอริกะไม่ได้พูดแบบนี้บ่อยๆ”

 

มานะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ทันทีที่เอ่ยชื่อเธอ

 

เอริกะจังจ้องมานะ

 

“อยากให้ฉันพูดขอบคุณมั้ย มานะ”

 

มานะเกาแก้มด้วยความสับสนเมื่อเอริกะจังจ้องมองอย่างตรงไปตรงมา

 

“ฉันอยากให้เธอพูดถ้าเธอรู้สึกขอบคุณล่ะนะ ถ้าเอริกะมีความสุข ฉันก็จะมีความสุขเช่นกัน และฉันก็ดีใจที่ฉันมีประโยชน์ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง”

 

คำพูดของมานะตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย ความรู้สึกของเธอต้องส่งไปถึงเอริกะจังด้วยเอริกะจังมองไปที่มานะแล้วยิ้ม

 

“มานะ ขอบคุณสำหรับชาข้าวบาร์เลย์นะ~”

 

“อา อืม…”

 

ใบหน้าของมานาเปลี่ยนเป็นสีแดงผมคิดว่าเธอคงอาย

 

การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนทำให้รู้สึกดีและความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของผม

 

“แล้วก็…”

 

ทันใดนั้นเอริกะจังก็หันมาหาผม เธอเผชิญหน้ากับผมอย่างตั้งใจและหายใจเข้าลึก ๆ เล็กน้อย

 

“…ขอบคุณคุณพี่ชายเช่นกันค่ะ ที่เป็นห่วงหนูและพาหนูมาที่บ้านของพี่ ขอบคุณค่ะ”

 

ผมไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะขอบคุณผมเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ผมไม่ทันตั้งตัว หน้าอกของผมรู้สึกจั๊กจี้และอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น

 

“…ด้วยความยินดี ฉันสงสัยว่าฉันทำตัวน่ารำคาญเกินไปหรือเปล่าในขณะที่พยายามช่วยเธอ ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้นนะ”

 

เมื่อผมตอบ ผมรู้สึกว่าแก้มของเอริกะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้น

 

“ว่าแต่ ก่อนเปียกฝนไปทำอะไรมาน่ะ”

 

จากนั้นผมก็ถามเธอบางอย่างที่รบกวนจิตใจผม

 

เอริกะจังตอบด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย

 

“อา—… หนูกำลังมองหางานพาร์ทไทม์อยู่น่ะ”

 

“งานพาร์ทไทม์เหรอ”

 

“ใช่ค่ะ หนูอยากออกจากบ้านเร็วๆ เลยต้องหางานพิเศษทำ แต่หนูไม่รู้เรื่องมารยาทและการให้เกียรติเท่าไหร่ดังนั้นหนูจึงถูกไล่ออกหลังจากนั้นไม่นาน หนูไม่ค่อยรู้สามัญสำนึกเท่าไหร่นักหนูจึงสงสัยว่าไม่ว่าไปที่ไหนก็ไปเกะกะเขาไปหมด เมื่อเร็ว ๆ นี้หนูไม่แม้แต่จะเคลียร์บทสัมภาษณ์ผ่านด้วยซ้ำ”

 

เอริกะจังพูดอย่างบึ้งตึงเล็กน้อย

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ แต่ดูเหมือนเธอจริงจังกับงานพาร์ทไทม์ ผมกำลังจะพูดว่า “ฉันจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีสร้างความประทับใจที่ดีในการสัมภาษณ์งานของเธอเอง” แต่ผมตัดสินใจไม่พูดออกไป เพราะคิดว่ามันอาจดูจุ้นจ้านเกินไปหน่อย

 

“สำหรับตอนนี้ หนูต้องการใช้เวลาสนุกสนานกับมานะและคนอื่นๆ ให้มากขึ้นก็พอแล้ว”

 

เอริกะจังวางถ้วยชาข้าวบาร์เลย์ที่เหลือลงบนโต๊ะแล้วยืนขึ้น

 

“มานะ เสื้อผ้าพวกนี้ฉันใส่กลับบ้านได้มั้ย”

 

“เอ๊ะ? ไม่เป็นไร แต่… เธอจะกลับแล้วเหรอ? เธอไม่มาทานอาหารเย็นกับเราสักหน่อยล่ะ”

 

“ไม่เป็นไร วันนี้เธอดูแลฉันมากแล้ว ฉันรู้สึกว่าไม่ควรรับการดูแลมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

 

‘นิฮิฮิ’ เอริกะจังหัวเราะและเดินไปที่ประตู

 

“อา รองเท้าของเธอ!”

 

ฉันรีบคว้ารองเท้าของเอริกะจังแล้ววิ่งตามเธอไป

 

“มันยังไม่แห้งสนิท แต่ฉันคิดว่ามันดีกว่าตอนที่เธอเพิ่งมา”

 

เมื่อผมวางรองเท้าของเอริกะจังไว้ที่ประตู เธอขอบคุณเล็กน้อยและเริ่มสวมมัน

 

“สุดยอดเลย พวกมันค่อนข้างแห้งแล้ว อัศจรรย์สุดๆ…”

 

เอริกะจังประทับใจกับรองเท้าที่แห้งของเธอ

 

“..มีอะไรอีกมากที่หนูไม่รู้จริงๆ…”

 

คำพูดที่จู่ๆ ก็พวยพุ่งออกมาจากริมฝีปากสีชมพูของเธอนั้น ดูเหมือนว่าจะแต่งแต้มไปด้วยความเศร้าโศก

 

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ คุณพี่ชายแล้วก็มานะด้วย”

 

เธอกล่าวขอบคุณแล้วเดินออกจากบ้านไป

 

มานะซึ่งยืนอยู่ข้างหลังฉันหัวเราะ

 

“เธอขอบคุณมากเกินไปแล้วเพราะคำแนะนำของพี่น่ะ”

 

เธอเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฮัมเพลงกับตัวเอง มีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงในตัวเพื่อนของเธอ

 

ผมอยู่คนเดียว จ้องมองไปที่ประตูหน้าที่เอริกะจังออกไป

 

เธอฟังผมเมื่อผมเตือนเธอและพยายามแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเธอ ผมไม่คิดว่าการไม่มีสามัญสำนึกของเอริกะจังเป็นเพราะเธอเกลียดสามัญสำนึกและดื้อรั้น

 

เธอไม่รู้ เธอไม่เคยสัมผัสกับความรู้นั้น หรือเธอไม่ได้รับการสอนถึงความสำคัญของมัน

 

—ยังไงก็ตาม เธอเป็นผู้หญิงที่ใสซื่อและสดใส ดังนั้นมันน่าเสียดาย…

 

สามัญสำนึกสามารถเป็นเกราะป้องกันได้ และความไม่รู้ก็อาจเป็นบาปได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่เราศึกษาเราสะสมความรู้เพื่อปกป้องตัวเรา….และเพื่อปกป้องคนที่เรารัก

 

—ผมหวังว่าผมจะสามารถสอนเธอได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เธอควรมีเมื่อออกไปในโลกกว้าง…..

 

จิตวิญญาณของพี่ชายในใจของผมปั่นป่วนเพราะผมกังวลเกี่ยวกับเอริกะจัง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็กลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีและตีตัวออกห่างจากผมอยู่เหมือนกัน

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

Status: Ongoing
วันหนึ่ง คามิโจ สึคาสะ นักศึกษาผู้ขยันขันแข็งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยังไม่มีแฟนไปจนกว่าจะถึงวัยทำงาน ได้ถูก ฮาตะ เอริกะ เพื่อนแยงกี้ม.ปลายของน้องสาวของเขาขอแต่งงานแบบงงๆ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท