เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา – ตอนที่ 12

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

บทที่ 12

 

วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม เมืองที่ผมอาศัยอยู่กำลังเผชิญกับความร้อนอบอ้าววันแล้ววันเล่า

 

ตอนนี้นักเรียนของผมอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมจึงยุ่งอยู่กับงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูสอนพิเศษส่วนตัว ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำเกือบทุกวัน

 

บางครั้งในตอนที่ผมอยู่ที่บ้าน เอริกะจังจะขอให้ผมสอนบางอย่างให้เธอ ผมพยายามหลบหลีกการเข้าหาของเอริกะจังและสอนสิ่งที่จะช่วยเธอในชีวิตประจําวันให้เธอไป

 

ไม่ว่าผมจะปฏิเสธ หนี หรือหลบแค่ไหน เอริกะจังก็ไม่เคยหยุดเข้าหาผมเลย เอริกะจังดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับสถานการณ์แบบนี้

 

วันหนึ่งหลังจากผ่านวันที่ยาวนานเช่นนั้น

 

ผมได้วันหยุดจากงานพาร์ทไทม์ 1 วันและกลับมากินข้าวที่บ้านอย่างไม่เป็นตามปกติ เห็นมานะและเอริกะจังอยู่ในห้องนั่งเล่นกัน

 

“ฉันกลับมาแล้ว”

 

“อา ยินดีต้อนรับกลับค่ะพี่”

 

“…..”

 

มานะพูดว่า “ยินดีต้อนรับกลับ” แต่เอริกะไม่พูดอะไรเลยและยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่แม้แต่จะสบตากับผมด้วยซ้ำ

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

 

เมื่อผมถามมานะ เธอตอบแบบมึนๆ ว่า “อือ…เดี๋ยวก่อนนะ” และเหลือบมองไปทางเอริกะจัง ดูเหมือนว่าเธอกังวลว่าจะพูดไปดีรึเปล่า

 

แต่เอริกะจังกลับเงียบไม่พูดอะไรเลย

 

ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่บางทีการไม่พูดถึงมันคงจะเป็นการดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ร่าเริง

 

“ใช่แล้ว เอริกะจัง เนื่องในโอกาสที่เป็นวันหยุดฤดูร้อนทั้งทีเธออยากไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอีกมั้ย”

 

เอริกะจังตอบสนองด้วยการสะดุ้ง

 

“พูดมาแบบนี้แสดงว่าเอริกะกับพี่เคยไปเที่ยวอควาเรียมด้วยกันมาก่อนแล้วใช่มั้ย? หนูเองก็อยากไปด้วยเหมือนกันนะ”

 

มานะพูดอย่างบึ้งตึง

 

“โอเค โอเค งั้นไปด้วยกันหมดนี่แหละ ชวนรูนะจังกับอาริสะจังไปด้วย!”

 

ผมพูดอย่างสบายๆ

 

แล้วจู่ๆ เอริกะจังก็ลุกขึ้นยืน

 

“ขอโทษนะ..มานะ ฉันว่า ฉันจะกลับบ้านแล้วล่ะ”

 

“เอ๊ะ? เอริกะ? หรือว่าเธออยากไปตามลำพังกับพี่รึเปล่า”

 

“ไม่ใช่นะ!”

 

เอริกะจัง ขึ้นเสียงอย่างผิดปกติ

 

ผมคาดไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธอย่างรุนแรงขนาดนั้น แม้แต่มานะเองก็มีสีหน้าประหลาดใจ

 

“ขอโทษ…”

 

เอริกะจังพูดอย่างงั้นและออกจากห้องนั่งเล่นไป

 

มานะและผมถูกแช่แข็งในห้องนั่งเล่น เราได้ยินเสียงเปิดประตูแล้วปิดประตูด้านหน้า ไม่นานเสียงฝีเท้าที่กระทบกันด้านนอกก็จางหายไปจากหูของผม

 

ผมขอโทษมานะ

 

“ขอโทษนะ… บางทีฉันอาจจะเผลอถามอะไรผิดไปรึเปล่านะ?”

 

“…หนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่บางทีเธออาจจะเหลืออดแล้ว…”

 

สีหน้าของมานะดูมืดมน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเอริกะจังงั้นเหรอ”

 

“ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนมันไม่มีเรียนใช่มั้ยล่ะ? นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เวลาที่ต้องใช้ในบ้านจึงเพิ่มขึ้นด้วย”

 

“ก็นะ…”

 

ก่อนหน้านี้ มานะเกรงใจว่าเธอควรจะพูดต่อหน้าเอริกะจังดีมั้ย แต่ตอนนี้เธอเริ่มอธิบายให้ผมฟังโดยไม่ลังเลเลย

 

“แฟนของแม่เธออยู่บ้านตลอดทั้งวัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะอยู่บ้าน แม่ของเธอทำงานตอนกลางคืน และนอนในตอนกลางวัน คงเป็นเหตุผลนั้นล่ะมั้ง เอริกะที่อยู่ตามลำพังกับแฟนของแม่ในระหว่างวันความเครียดของเธอก็สะสมมาเรื่อยๆ… จนเมื่อเช้านี้ เธอก็ทะเลาะกับแฟนของแม่เธอเข้า”

 

“ฉันเข้าใจแล้ว… นั่นคือเหตุผลที่เธอมาที่บ้านของเราวันนี้สินะ?”

 

“อื้ม เธออารมณ์ไม่ดี หนูเลยพยายามทำให้เธอสงบลง แล้วจากนั้นพี่ก็กลับมาที่บ้าน แต่ว่า…”

 

“เธอจะบอกว่าอารมณ์ของเอริกะจังแย่ลงตอนฉันกลับมางั้นเหรอ?”

 

เอริกะจังมักจะเป็นคนเริ่มที่จะเกาะแกะกับผม เรามีความสัมพันธ์ที่ดีในแต่ละวันแม้ว่ามันจะวุ่นวายเล็กน้อยก็เถอะ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่มองมาที่ผมและหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผม

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่หนูได้ยินเอริกะขึ้นเสียงแบบนั้น…”

 

ดูเหมือนว่ามานะจะตกใจเหมือนกันที่ได้เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นจากเธอเป็นครั้งแรก

 

มีนํ้าตาในดวงตาของมานะ และริมฝีปากของเธอก็สั่นเล็กน้อย

 

“พี่…หนูควรทำยังไงดี? หนะ หนูอยากช่วยเหลือเอริกะบ้าง…”

 

“มานะ”

 

“หนูยังจำได้แม่นจนถึงตอนนี้ ในตอนสมัยมัธยมต้น วันที่เอริกะคุยกับหนูเป็นครั้งแรก”

 

มานะร้องไห้เล็กน้อยและเล่าเรื่องวันแรกที่เธอพบเอริกะจัง

 

เป็นวันที่เพื่อนร่วมชั้นของเธอกำลังเขียนดูหมิ่นเหยียดหยามบนโต๊ะของเธอ หยอกล้อมานะผู้แสนธรรมดาและว่านอนสอนง่าย เมื่อมานะหนีขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อกระโดดลงมา เธอพบเอริกะจังที่ดูเหมือนกับนางฟ้าผมบลอนด์ เอริกะเอาช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งจากกระเป๋าของเธอยัดใส่ปากที่กำลังร้องไห้ของมานะ….

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินมานะพูดถึงวันที่เธอได้พบกับเอริกะจัง และมันทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกแปลกๆ

 

“หนูแปลกใจมากที่เธอนำช็อกโกแลตมาโรงเรียน แต่ที่หนูแปลกใจมากกว่าที่มันรสชาติแปลกมาก และพอหนูพูดว่า “ไม่ อร่อย” เอริกะก็หัวเราะออกมา หนูถึงกับหัวเราะตามหนักมาก จนลืมไปว่ากำลังจะกระโดดลงมาจากด่านฟ้า…”

 

ในขณะที่ร้องไห้ มานะก็หัวเราะราวกับว่าเธออยู่ความทรงจำนั้น

 

“เธอเรียกหนูแล้วพูดว่า ‘เธอก็ไม่ชอบโรงเรียนใช่มั้ยล่ะ งั้นเรามาโดดกันเถอะ’ …นั่นคือตอนที่หนูได้รู้ว่าหนูไม่จำเป็นต้องมาทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ยังมีที่อื่นที่หนูสามารถอยู่ได้ ถ้าเอริกะไม่ได้อยู่ที่นั่นในตอนนั้น… บางที ถ้าตอนนั้นเธอไม่คุยกับหนู… หนูคงไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้”

 

ผมรู้สึกขอบคุณเอริกะจัง เธอช่วยชีวิตมานะ เธอให้ความกล้าแก่เธอในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง

 

“ถึงหนูจะไม่ตาย แต่หนูก็ไม่คิดว่าหนูจะได้เรียนมัธยมปลายแน่ หนูคงจะหมกมุ่นอยู่กับบ้านไปตลอด….”

 

มานะเอามือปาดน้ำตาของตัวเอง

 

จากนั้นเธอก็ขอร้องผมด้วยท่าทางเข้มแข็ง

 

“เพราะงั้น ถ้าเอริกะมีปัญหา หนูก็อยากช่วยเธอ คราวนี้หนูอยากจะเป็นคนที่ช่วยเอริกะบ้าง! พี่คะ ได้โปรดช่วยหนูด้วยนะ”

 

ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

 

ผมพยักหน้าอย่างแรงทันที

 

“แน่นอน, ฉันเองก็อยากช่วยเอริกะจังด้วย ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เลย”

 

“ขอบคุณค่ะ…พี่”

 

ต้องขอบคุณเอริกะจังที่ทำให้ผมกับมานะสามารถคุยกันได้แบบนี้ เห็นแก่เพื่อนรักของน้องสาวผมคนนี้ยินดีที่จะช่วยเต็มที่

 

ไม่เพียงแค่นั้น เอริกะจังเองก็เป็นคนสำคัญสำหรับผมมากเหมือนกัน ผมเองก็อยากจะช่วยเธอด้วย

 

ผมกำหมัดแน่น

 

“งั้นตอนนี้เราแยกกันตามหาเอริกะจังกันเถอะ เธอมีปัญหาที่บ้านเธอคงจะไม่ได้ไปกลับบ้านหรอก”

 

“อื้ม, หนูจะไปหาเธอในเมืองแถวๆ ที่ไปเที่ยวกันบ่อยๆ”

 

“ได้เลย งั้นฉันจะเริ่มตามหาเธอตามพื้นที่ว่างและสวนสาธารณะแถวนี้ละกัน”

 

“ฝากด้วยนะคะ”

 

มานะคว้าโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ประตู ผมเองก็ดูให้แน่ใจว่าโทรศัพท์ผมอยู่ในกระเป๋าแล้ว และเดินไปที่ประตู

 

เป็นเวลาบ่ายโมงตรง ผมพลาดมื้อเที่ยงไปแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญ ผมเป็นห่วงเอริกะจึงมากจนไม่มีอารมณ์มากินข้าวเที่ยงได้หรอก

 

เมื่อเราทั้งสองเปิดประตูบ้าน ลมร้อนก็พุ่งเข้ามาในบ้าน

 

“ร้อน….”

 

เสียงพึมพัมหงุดหงิดออกมาจากปากของผมเมื่อผมก้าวเท้าออกไปข้างนอก

 

แสงแดดเดือนสิงหาคมสองมาที่ผมอย่างไร้ความปราณี

 

ผมเวียนหัว และผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อในไม่ช้า

 

แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยอย่างเรื่องนั้นมาหยุดผมได้

 

“มานะ ทำให้แน่ใจนะว่าได้ดื่มน้ำอย่างเหมาะสมและระวังฮีทสโตรกด้วย ถ้าเธอไม่สบายโทรหาฉันทันทีนะ”

 

“เข้าใจแล้ว เอริกะ…ฉันหวังว่าเธอจะไม่เป็นไรนะ…”

 

“อืม”

 

หากใครไปข้างนอกในสภาพอากาศร้อนแบบนี้แล้วไม่มีที่พักแม้จะอายุน้อยแค่ไหนก็อาจจะป่วยได้ มันมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตพอตัวเลยล่ะ

 

ผมกับมานะวิ่งหนีไปคนละทาง มานะเดินไปที่สถานี ผมมุ่งหน้าไปยังเขตที่อยู่อาศัย

 

ในทิศทางที่ผมกำลังมุ่งหน้าไป มีที่ลานว่างเล็กๆ สองสามแห่งและสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่

 

ตอนเด็กๆ ผมทะเลาะกับพ่อแม่และหนีออกจากบ้านหลายครั้ง ดังนั้นผมจึงมีอยู่หลายที่ในใจสำหรับสถานที่ที่เธอน่าจะไปอยู่คนเดียวและสงบสติอารมณ์

 

—หวังว่าเธอจะอยู่ที่นี่นะ

 

ผมอยากจะเป็นคนแรกที่ได้เจอเธอจริงๆ ผมอยากไปหาเธอและฟังเธอ อยากถามเธอว่าทำไมเธอถึงโมโหแบบนั้น

 

ผมวิ่งไปตามถนนภายใต้แสงแดดที่แผดเผา อธิษฐานให้ผมจะได้พบเอริกะจัง

 

ที่แรก…เธอไม่อยู่ ที่ต่อไป…. ก็ไม่มีเธอเช่นกัน

 

ในที่สุด เมื่อผมเข้าใกล้สวนสาธารณะ เสียงจักจั่นก็ดังขึ้นมา

 

จักจั่นส่งเสียงร้องดังมาก ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพยายามจะพูด ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามจะเชิญผมไปที่นั่น แต่ก็ฟังดูเหมือนพวกเขาไม่อยากให้ฉันมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน

 

แต่จักจั่นจะว่ายังไงมันสำคัญตรงไหน

 

ผมก้าวเข้าไปในสวนสาธารณะโดยไม่ลังเลและเข้าไปในร่มเงาของต้นไม้

 

มุมมันดีมาก

 

มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นในสวนสาธารณะซึ่งบดบังแสงแดดโดยตรง เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ทำให้อุณหภูมิที่ผมรู้สึกได้นั้นแตกต่างกันมาก

 

ผมเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าด้วยแขนเสื่อของผม และเช็คดูว่าเอริกะจังอยู่ที่นี่หรือไม่

 

ชิงช้า สไลด์เดอร์ กระดานหก จังเกิ้ลยิม

 

ไม่มีเด็กมาเล่นเพราะความร้อน อุปกรณ์สนามเด็กเล่นดูเงือบเหงา

 

ม้านั่ง น้ำพุ ห้องน้ำ

 

ไม่มีสัญญาณของผู้คนในทุกที่

 

อา จริงสิ ท่อดินเผาที่ผมเคยซ่อนตัวที่อยู่นอกสวนสาธารณะ

 

ท่อดินขนาดใหญ่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ในอีกด้านหนึ่งของรั้ว มีบ้านเก่าที่รุงรัง และบริเวณนี้มีบรรยากาศที่น่ากลัวที่ทําให้เด็ก ๆ อยากจะอยู่ห่าง ๆ จากแถวนี้

 

ทอดินเผาเป็นที่หลบซ่อนที่ผมชอบที่สุด

 

ผมสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้นจากฝนและลมได้เกือบตลอดเวลา ในฤดูหนาวก้นของผมจะเย็นเล็กน้อย แต่มันก็อุ่นกว่าอยู่ในที่โล่ง ในฤดูร้อนความเย็นของท่อดินเผานั้นเย็นสบายจนบางครั้งผมก็เผลอหลับไปในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจํามากมาย

 

ผมมองเข้าไปข้างในแล้วถอนหายใจโล่งอก

 

“เอริกะจัง…”

 

พอผมส่งเสียงเรียกไป เงาภายในรูท่อที่มีแสงสลัวอยู่นั้นก็ขยับเขยื้อน

 

จากนั้นสาวสวยผมบลอนด์ก็เงยหน้ามองมาที่ผม

 

ติดต่อผู้แปลได้ที่ เพจผู้แปล Lemon FT 

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

เพื่อนน้องแยงกี้ไร้เดียงสา

Status: Ongoing
วันหนึ่ง คามิโจ สึคาสะ นักศึกษาผู้ขยันขันแข็งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะยังไม่มีแฟนไปจนกว่าจะถึงวัยทำงาน ได้ถูก ฮาตะ เอริกะ เพื่อนแยงกี้ม.ปลายของน้องสาวของเขาขอแต่งงานแบบงงๆ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท