ตอนที่ 379 สไตลิสต์ประจำตัวเซี่ยอวี่
ตอนที่ 379 สไตลิสต์ประจำตัวเซี่ยอวี่
หลังจากปรามหญิงชราแล้ว หล่อนก็พูดกับเย่ไป๋ว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปก่อนนะคะ ฉันยังมีธุระที่ต้องคุยกับเซี่ยเซี่ย”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อน”
เย่ไป๋เก็บเครื่องวัดความดันโลหิตและหูฟังของเขาใส่ลงในกล่องยา ตั้งใจว่าจะออกไป
แต่คุณแม่เซี่ยยังลังเลที่จะปล่อยเขากลับไปง่าย ๆ “เสี่ยวเย่ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
เย่ไป๋เหลือบมองเซี่ยอวี่ จากนั้นยิ้มให้หญิงชรา “คุณป้าครับ ผมต้องกลับไปเข้าเวรที่โรงพยาบาล วันนี้จำเป็นต้องกลับจริง ๆ ไว้คราวหน้าผมจะแวะมากินอาหารเย็นด้วยนะครับ”
“พวกหนุ่มสาวสมัยนี้งานยุ่งกันจังเลย” หญิงชราพูดเป็นเชิงบ่นกับลูกสาวซึ่งดูไม่มีท่าทางสนิทสนมกับแฟนของตัวเองเท่าที่ควร “ออกไปส่งเสี่ยวเย่เขาหน่อยสิ”
เซี่ยอวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปส่งเย่ไป๋ที่ประตูบ้านอย่างเชื่อฟัง
ในฐานะคู่รักปลอม ๆ เย่ไป๋กลับถูกหญิงชราหมายมั่นปั้นมือราวกับเป็นลูกเขยจริง ๆ เซี่ยอวี่กลัวว่าเย่ไป๋จะไม่พอใจ จึงพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ขอบคุณมากนะคะ วันนี้บ้านเรารบกวนคุณมากจริง ๆ ฉันเองก็ติดงานด่วนอีก ต่อไปนี้ถ้าแม่โทรหาคุณ คุณไม่ต้องมาก็ได้นะคะ เดี๋ยวเราจะพาท่านไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอง”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมไม่ลำบากอะไร”
เย่ไป๋ไม่ได้ควบรถมอเตอร์ไซค์ทันที เขามองไปที่เซี่ยอวี่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณมีเวลาว่างตอนไหนบ้าง? ผมอยากเลี้ยงอาหารคุณสักมื้อ”
เซี่ยอวี่มองเขาอย่างสงสัย “ทำไมจู่ ๆ คุณถึงอยากชวนฉันไปกินข้าวล่ะคะ?”
“ก็เราไม่ได้เป็น…” แต่แล้วเย่ไป๋ก็ได้แต่ยิ้ม “ไม่มีอะไร ผมแค่อยากชวนคุณไปกินข้าวด้วยกัน แล้วพาคุณไปเที่ยวรอบ ๆ ไห่เฉิงด้วย”
“อีกไม่กี่วันนี้แหละค่ะ ช่วงนี้งานของฉันยุ่งมากจริง ๆ”
เซี่ยอวี่โบกมือให้เขา “ฉันกลับเข้าไปก่อนนะคะ คุณเองก็เดินทางดี ๆ”
เซี่ยอวี่ไม่สนใจเขาอีก หันหลังกลับและเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างสง่างาม
เย่ไป๋เฝ้าดูจนกระทั่งร่างของหล่อนหายลับไปผ่านประตูบ้าน จากนั้นจึงถอนสายตา และเดินไปควบรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่
เคลลี่ ช่างแต่งหน้าของเซี่ยอวี่ก็หยิบเครื่องสำอางออกมาหลายอย่างเช่นกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เนม
นอกจากนี้ยังมีชุดหลายชุดแขวนไว้ในห้องนี้ ซึ่งทั้งหมดถูกจัดเตรียมไว้สำหรับให้เซี่ยอวี่สวมใส่เพื่อถ่ายรายการประกวดทางโทรทัศน์เย็นวันพรุ่งนี้
เซี่ยอวี่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า หลินเซี่ยก็เริ่มทำงาน “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยค่ะ”
ลินดาและเคลลี่ยืนจับตามองอยู่ข้างหลังเซี่ยอวี่ ทุกคนมีสีหน้าจริงจัง มองตรงไปยังหลินเซี่ยทุกฝีก้าว
เซี่ยอวี่เห็นว่าลินดากำลังทำหน้าไร้อารมณ์ผ่านกระจกเงา จึงพูดออกมาอย่างเสียไม่ได้ “ลินดา อย่าทำหน้าจริงจังขนาดนั้นได้ไหม หลานสาวฉันกลัวหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ลินดาก็ย้ายตำแหน่งไปอยู่ที่อื่น
หลินเซี่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าลินดา
ลินดาถือเป็นผู้อาวุโสในวงการ ถ้าสไตล์ที่เธอรังสรรค์ให้เซี่ยอวี่ในวันนี้เตะตาลินดาขึ้นมาจริง ๆ เธออาจจะได้ขึ้นแท่นกลายเป็นสไตลิสต์ประจำตัวเซี่ยอวี่ในอนาคตก็เป็นได้
แต่ถ้าเธอทำผลงานได้แย่ไม่เข้าตาลินดา อย่างไรก็ไม่มีหวัง ไม่สำคัญว่าเธอจะเป็นหลานสาวของเซี่ยอวี่หรือไม่
ลินดาซื่อสัตย์ซื่อตรง ไม่เห็นแก่เส้นสาย เชื่อถือเพียงความสามารถเท่านั้น
หลินเซี่ยไม่รีบร้อนในการแต่งหน้า เธอเดินสำรวจชุดที่เซี่ยอวี่จะใส่ไปถ่ายรายการอย่างใกล้ชิด จากนั้นถามความคิดเห็นจากเซี่ยอวี่และลินดา เมื่อรู้ว่าพวกหล่อนพอใจกับชุดไหน เธอก็จะออกแบบการแต่งหน้าให้เข้ากันกับการแต่งตัว
เซี่ยอวี่บอกว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันอยากให้วันนั้นตัวเองออกมาคลีนและเข้าถึงง่าย ไม่จำเป็นต้องแต่งให้ดูจัดจ้านจนเกินไป ฉันแค่ไปร่วมเป็นกรรมการผู้ตัดสิน ไม่ได้เข้าประกวดซะเอง ไม่อยากขโมยความโดดเด่นมาจากผู้เข้าประกวด”
ลินดากลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นพิเศษ “คุณเป็นกรรมการก็จริง แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่คุณจะปรากฏตัวในสื่อของไห่เฉิงเลยนะ ผู้ชมและแฟนคลับจำนวนมากต่างก็ตั้งตาคอย ถ้าเราเปิดตัวทั้งทีก็ควรจะทำให้ทุกคนประหลาดใจ และดึงดูดความสนใจของผู้กำกับรายใหญ่สิ โอกาสทั้งหมดขึ้นอยู่กับวินาทีนั้นว่าเราจะได้ย้ายมาตั้งหลักในไห่เฉิงอย่างมั่นคงหรือเปล่า ไม่งั้นคุณก็ต้องกลับไปถ่ายหนังกับฉันที่ฮ่องกงเหมือนเดิม”
หลินเซี่ยแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองแต่งออกมาให้เป็นสไตล์ของฉันเองก่อน พอเสร็จแล้วพวกคุณค่อยดูว่าลุคนั้นตรงใจหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกใจก็ค่อยเปลี่ยนนะคะ”
ลินดาและเคลลี่มองดูขณะที่หลินเซี่ยเริ่มแต่งหน้าให้กับเซี่ยอวี่
เธอทำผมเป็นทรงมัดหางม้าเพื่อช่วยลดอายุให้กับเซี่ยอวี่ ดึงผมเหนือศีรษะให้พองจนดูมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู การปรับเปลี่ยนในลักษณะนี้ทำให้ช่วงศีรษะของหล่อนได้รูปมากขึ้น เปิดหน้าผากและลำคอระหง ส่งเสริมบุคลิกร่างกายให้ดูมีสง่าราศี
จากนั้นเธอก็จัดการดัดผมที่รวบหางม้าให้เป็นคลื่น ทำให้มันไม่ดูแข็งทื่อเกินไป แต่ดูทันสมัยมาก
ส่วนลักษณะการแต่งหน้าจะหลีกเลี่ยงการประโคมเครื่องสำอางหนัก ๆ เหมือนทุกครั้ง แต่เน้นขับโครงหน้าให้เด่นชัดมากขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด เธอก็เลือกชุดสีแดงให้สวมใส่
พอทาลิปสติกเรียบร้อย หลินเซี่ยก็บอกให้เซี่ยอวี่ส่องกระจก
“ไม่เลวเลย ลิปสติกสีนี้ทำให้ฉันดูเด็กลงไปหลายปี”
แฟชั่นการทาปากที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ คือริมฝีปากจะต้องเป็นสีแดงสด ซึ่งทำให้หญิงสาวดูแก่กว่าวัย
ฝีมือการแปลงโฉมของหลินเซี่ย ทำให้ภาพรวมของหล่อนสวยสว่างออร่าจับและกลายเป็นสาวสะพรั่ง
หลินเซี่ยมองไปที่เซี่ยอวี่ จากนั้นก็ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอาของเธอดูแลตัวเองดีขนาดไหน
นอกจากนี้ดวงตาของหล่อนยังกระจ่างชัดและแจ่มใส ไร้ซึ่งร่องรอยที่บ่งบอกถึงช่วงวัย
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เซี่ยอวี่สามารถคุมรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์นี้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ไม่ใช่การยัดเยียดให้หล่อนกลายเป็นสาววัยรุ่น
ในฐานะช่างแต่งหน้ามืออาชีพ เคลลี่ชื่นชอบลุคนี้เป็นพิเศษ
ในขณะที่ลินดายังกังวล “แต่ลุคนี่จะชวนให้รู้สึกน่าเบื่อและไม่น่าเชื่อถือเกินไปหรือเปล่า?”
เซี่ยอวี่มองตัวเองในกระจกโดยหันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านพลางพูดว่า
“ฉันคิดว่าผลลัพธ์ออกมาดีเลยนะ เรียบหรู และดูเป็นธรรมชาติ”
“ที่ผ่านมาสไตล์การแต่งหน้าของฉันเกือบทั้งหมดเน้นประโคมเครื่องสำอางอย่างหนักหน่วง ความสวยที่ธรรมชาติให้มาเลยพลอยถูกพวกมันกลบซะมิด ลุคนี้ดีกว่ามาก เครื่องหน้าทั้งหมดถูกเปิดเผย ในที่สุดผู้ชมจะได้มองเห็นเต็ม ๆ ตาเสียทีว่าหน้าตาฉันเป็นยังไง”
แต่ลินดาก็ยังไม่ผ่อนคลายท่าทางจริงจัง ดูไม่พอใจกับลุคนี้สักเท่าใด และยืนยันคำเดิมว่าหล่อนไม่อยากให้เซี่ยอวี่ใช้ลุคนี้ในการเปิดตัวออกทีวี
หลินเซี่ยอธิบายว่า
“คุณลินดา รอบรองชนะเลิศของการประกวดนางแบบมีกรรมการและดาราหญิงหลายคนจากไห่เฉิงเข้าร่วม ฉันเคยเจอพวกหล่อนมาหลายครั้ง การแต่งหน้าของพวกหล่อนเน้นไปทางเข้มจัดเสมอ ดัดผมเป็นลอนคลื่นใหญ่ ถ้าคุณอาแต่งหน้าแบบนั้นเหมือนกับพวกหล่อน พอนั่งข้างกันสามคนแล้วกล้องตัดภาพมาที่โต๊ะกรรมการ คนดูหน้าทีวีอาจจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉันคิดว่าเราควรอาศัยจังหวะนี้ สร้างความโดดเด่นสะดุดตานะคะ
ไม่ว่าจะเป็นในทีวีหรือในหนังสือพิมพ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรูปลักษณ์ของหล่อนจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนให้จดจำหล่อนได้ภายในพริบตา”
ลินดาคิดตามอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ได้ ฉันตัดสินใจแล้ว วันจริงแต่งหน้าลุคนี้ออกรายการเลย”
เซี่ยอวี่แทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งออกไปนอกห้องเพื่อโชว์ลุคใหม่ให้หญิงชราดู
ครั้นหญิงชราได้ยินว่าคนที่รังสรรค์สไตล์การแต่งหน้าสวยงามนี้ให้เธอคือหลานสาว นางก็เอ่ยปากชมเชยไม่หยุด
แถมยังบอกด้วยว่านี่คือเซี่ยอวี่ในเวอร์ชันที่สวยที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยเห็นหล่อนแต่งหน้าในรอบหลายปี
ปกติแล้วหล่อนจะแต่งหน้าจัดเกินไป ซึ่งหญิงชราไม่ค่อยชอบเท่าใด
เคลลี่ดึงหลินเซี่ยออกมาแล้วถามว่า “คุณไปเรียนเทคนิคการจัดแต่งทรงผมแบบนี้มาจากที่ไหนน่ะ? ฉันคิดว่าคุณมีทักษะช่ำชองมาก เหมือนสั่งสมประสบการณ์การแต่งหน้าให้ผู้เข้าประกวดบนเวทีมานับไม่ถ้วน”
จากมุมมองของคนวงใน ทักษะการทำผมและแต่งหน้าของหลินเซี่ย เรียกได้ว่าอยู่ในระดับชั้นครู
“ฉันฝึกเองคิดเองหมดเลยค่ะ” หลินเซี่ยยิ้มกว้าง “เคลลี่ อีกหน่อยเราคงต้องเรียนรู้จากกันและกันให้มากแล้วค่ะ”
หลินเซี่ยจัดแต่งทรงผมให้เซี่ยอวี่จนเสร็จ ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว เธอวางแผนว่าจะไปกลับไปรับหู่จือกลับจากโรงเรียน
คุณแม่เซี่ยเดินมาคว้าแขนหลินเซี่ยเพื่อชื่นชมเธอยกใหญ่ ก่อนจะถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เซี่ยเซี่ย สองวันมานี้พ่อแม่ของเธอมีอะไรคืบหน้าบ้างหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยไม่กล้าบอกหญิงชราว่าทั้งสองยังคงเว้นระยะห่างจากกันในฐานะหุ้นส่วน เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “คุณย่า อย่าเพิ่งกังวลไปเลยค่ะ ให้เวลาพวกเขาได้กลับมาทำความรู้จักกันช้า ๆ เถอะ”
แม่เซี่ยคิดแล้วก็ถอนหายใจ “หลานรัก ย่าน่ะกังวลเหลือเกิน อยากให้พ่อแต่งงานกับแม่ของเธอให้ถูกต้องในฐานะภรรยา ครอบครัวของเขาจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า เมื่อนั้นย่าถึงจะสบายใจ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ฝีมือเซี่ยเซี่ยโหดมาก สมแล้วที่เป็นสไตลิสต์ยอดฝีมือในชาติก่อน
ไหหม่า(海馬)