ตอนที่ 387 สิ่งหนึ่งย่อมพิชิตอีกสิ่งหนึ่งได้
ตอนที่ 387 สิ่งหนึ่งย่อมพิชิตอีกสิ่งหนึ่งได้
ขณะเดียวกัน หลินจินซานกำลังกินบะหมี่ผัดที่เซี่ยเหลยเอามาส่งให้จนหมดเกลี้ยง ถึงอย่างนั้นเซี่ยเหลยก็ไม่ได้ออกไปทันที แต่นั่งอยู่กับหลินจินซานในสนาม ดื่มชาไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
“จินซาน เล่าต่อสิ”
หลินจินซานยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ จากนั้นกล่าวถึงพ่อของเขาด้วยท่าทางภาคภูมิใจมากว่า “พ่อผมเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งในหมู่บ้านเรา เขาเป็นช่างไฟฟ้า เคยทำงานในตัวอำเภอด้วย ชีวิตครอบครัวของเราไม่ได้ลำบากมากมายนักเพราะอาศัยเงินเดือนจากเขา น่าเสียดายที่เขาสายตาพร่ามัว สนใจแต่แม่เสิ่นอวี้อิ๋งลูกสาวตัวปลอมที่บ้าน”
เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ได้แม่คอยดูแลและปกป้อง ผมคงหนีเตลิดออกจากบ้านไปนานแล้ว”
เซี่ยเหลยมองไปที่หลินจินซาน พูดด้วยความจริงใจว่า “จินซาน พ่อของเธอเป็นคนดีนะ”
เซี่ยเหลยยังได้ยินจากหมอแผนจีนเย่ด้วยว่า หลินต้าฝูไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเสิ่นอวี้อิ๋ง เพราะสำหรับเขา เขามีความคิดเดียวคือเสิ่นอวี้อิ๋งเป็นลูกของวีรบุรุษผู้เสียสละ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดีด้วยความลำเอียงเป็นพิเศษ
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เซี่ยเหลยแวะเวียนมาส่งข้าวปลาอาหารให้กับหลินจินซาน ทั้งสองพูดคุยกันตามลำพังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เซี่ยเหลยได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของหลิวกุ้ยอิงในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาจากปากของหลินจินซาน
ทั้งยังได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับหลินต้าฝูอีกด้วย
เซี่ยเหลยรู้สึกโชคดีมากที่ชีวิตนี้หลิวกุ้ยอิงได้พานพบกับคนดี ๆ อย่างหลินต้าฝูในขณะที่หล่อนกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง
เขารู้สึกได้ว่า นอกจากความซาบซึ้งในบุญคุณของหลินต้าฝูแล้ว หลิวกุ้ยอิงยังรักและบูชาเขาไม่น้อยเลย
คนดีอย่างหลินต้าฝู แต่งงานอยู่กินร่วมทุกข์สุขกับหลิวกุ้ยอิงมานานกว่าสิบปี หลิวกุ้ยอิงจะทิ้งเขาไว้ข้างหลังแล้วไปเริ่มใหม่กับผู้ชายอีกคนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร?
หลังจากที่เซี่ยเหลยเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ยอมถอยเพื่อมอบระยะห่างแก่หล่อนโดยดี
“ลุงเซี่ย พ่อผมตายไปสามปีแล้ว พูดตามตรงว่าครั้งแรกที่พวกเรารับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของคุณ ผมรับไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าแม่จะกลับไปอยู่กับคุณ ผมไม่อยากให้พ่อถูกลืม พร้อมกันนั้นก็กลัวด้วยว่าถ้าแม่กลับไปหาคุณ เสี่ยวเยี่ยนกับผมจะไม่มีครอบครัวอีกต่อไป แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้ว อย่างที่เซี่ยเซี่ยพูด แม่ผมอายุแค่สี่สิบต้น ๆ ถือว่ายังเด็กมาก ต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า ในฐานะลูก พวกเราไม่สามารถปล่อยให้หล่อนอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต”
เซี่ยเหลยมาส่งอาหารและพูดคุยกับเขาทุกวัน ดังนั้นหลินจินซานจึงพอจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายเป็นธรรมดา
คงเป็นเพราะอยากสร้างความสัมพันธ์กับเขา เพื่อเป็นสะพานในการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป
หลินจินซานรู้สึกยินดีกับสิ่งนี้จริง ๆ
เซี่ยเหลยคือใคร?
เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่แนวหน้าในสนามรบ ปกป้องประเทศชาติด้วยชีวิต
เขาเป็นบุคคลต้นแบบและแบบอย่างการเจริญรอยตามของเฉินเจียเหอ รวมถึงเจ้าหน้าที่ถัง
ในขณะที่เขาเป็นแค่เด็กบ้านนอก ไร้การศึกษาและความสามารถ แต่วีรบุรุษคนนี้กลับยินดีมาส่งอาหารให้เขาทุกวัน
หลินจินซานรู้สึกว่าเขาต้องแสดงทัศนคติของตัวเองอย่างรวดเร็ว มอบความมั่นใจให้กับเซี่ยเหลย แล้วค่อยขอร้องให้เซี่ยเหลยหยุดมาส่งอาหารให้เขาเสียที เพราะถ้าเถ้าแก่เซี่ยรู้ว่าพี่ใหญ่ของเขาแวะมาส่งข้าวให้ลูกน้องตัวเองไม่ได้ขาด คราวนี้เขาคงโดนไล่ออกจริง ๆ แน่
ดังนั้น หลินจินซานจึงมองไปที่เซี่ยเหลย พูดด้วยความสุภาพและสมเหตุสมผล “ลุงเซี่ย ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับแม่ ผมเคารพในการตัดสินใจของหล่อนเสมอ และพร้อมจะสนับสนุนพวกคุณสองคนแม้ว่าพวกคุณจะแต่งงานกันก็ตาม ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีชีวิตเป็นของตัวเอง ผมไม่ต้องการให้แม่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับลูกชายคนนี้อีก”
“ขอบคุณ”
คำพูดของหลินจินซานไม่ได้ทำให้เซี่ยเหลยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นแต่อย่างใด
เดิมทีเขาคิดว่าตราบใดที่ตัวเองสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินจินซานและหลินเยี่ยน ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างจริงใจ ทำราวกับพวกเขาเป็นลูกแท้ ๆ ความวิตกกังวลของหลิวกุ้ยอิงก็จะหมดไป
จากนั้นหล่อนก็จะยอมรับเขา
ถึงอย่างนั้น จากการพูดคุยกับหลินจินซานในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความยากลำบากระหกระเหินของหลิวกุ้ยอิงและหลินต้าฝูที่ร่วมเผชิญทุกข์สุขด้วยกันมาเกือบยี่สิบปี เขาในฐานะผู้ชมยังรู้สึกประทับใจ
หลังจากแต่งงานกัน พวกเขาทั้งสองไม่มีความรู้สึกเห็นแก่ตัวเลย แถมยังปฏิบัติต่อลูก ๆ ของทั้งสองฝ่ายดียิ่งกว่าลูกของตัวเองด้วยซ้ำ กระทั่งมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาลึกซึ้งมากจริง ๆ
ถึงแม้หลินต้าฝูจะจากไปเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่หลิวกุ้ยอิงก็ไม่เคยลบเลือนเขาไปจากใจ
เหตุผลที่หลิวกุ้ยอิงตกลงทำธุรกิจร่วมกับเขา ก็เพราะหล่อนให้สัญญากับหลินเซี่ยไว้ และต้องการช่วยให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมา
เขาและหลิวกุ้ยอิงมีเพียงลูกสาวเป็นโซ่ทองคล้องใจ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้เท่านั้น
เซี่ยเหลยมีจิตสำนึกมากพอ คนอย่างเขาจะไม่มีวันทำอะไรที่สร้างความลำบากใจให้กับผู้อื่น
เขาเคารพหลิวกุ้ยอิง เคารพผู้ชายคนนั้นที่คอยปกป้องคุ้มครองหลิวกุ้ยอิงมานานเกือบยี่สิบปี
เขาตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหลิวกุ้ยอิงเป็นไปตามเรื่องของเวลา
เขารอได้จนกว่าวันหนึ่งหลิวกุ้ยอิงจะปล่อยวางจากหลินต้าฝูได้โดยสิ้นเชิง และยินดีที่จะยอมรับเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
กลับกัน ถ้าในที่สุดหลิวกุ้ยอิงไม่สามารถลืมหลินต้าฝูไปจากชีวิตของหล่อนได้ หล่อนคงไม่มีวันแต่งงานใหม่
ดังนั้น…
ช่างมันเถอะ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีสถานะเป็นพ่อและแม่ของลูกสาวอย่างหลินเซี่ยนี่นา
สำหรับเรื่องอื่น ไม่ควรไปฝืนโชคชะตา
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเหลยดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับต่อคำพูดของเขา หลินจินซานจึงพูดกับเซี่ยเหลยอย่างมีน้ำใจว่า “ลุงเซี่ย รอจนกว่าผมจะเลิกงาน ผมจะลองคุยกับแม่ เกลี้ยกล่อมให้หล่อนยอมเปิดใจดู”
เซี่ยเหลยส่ายหน้า “ไม่เป็นไร จินซาน ฉันแค่แวะมาคุยกับเธออย่างเป็นกันเอง เพราะอยากรู้ว่าพ่อของเธอเป็นคนแบบไหน ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย เธอไม่จำเป็นต้องเล่าการสนทนาของเราให้แม่ฟังก็ได้”
หลินจินซานไม่เข้าใจความตั้งใจของเซี่ยเหลย แต่ก็พยักหน้ารับ “ครับ”
หลินเซี่ยกินข้าวที่ร้านอาหารเสร็จแล้ว และกำลังจะกลับไปที่ร้านตัดผม ทันใดนั้นรถของเซี่ยไห่ก็ขับมาจอดเทียบอยู่ริมถนนเสียก่อน
เซี่ยไห่ก้าวลงจากรถ แล้วยื่นถุงขนมให้หลินเซี่ย
“หลานสาวคนโต ดูสิ อาซื้อขนมอร่อย ๆ มาฝากเธอเยอะแยะเลยนะ”
“ว้าว ขอบคุณมากค่ะ” หลินเซี่ยเอื้อมมือไปรับมันอย่างมีความสุข
เซี่ยไห่ชักมือข้างที่ถือถุงพะรุงพะรังกลับ มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “เรียกฉันว่าอารองก่อนถึงจะให้”
หลินเซี่ยถูกดึงดูดด้วยของอร่อย เธอทำตัวเป็นเด็กดี พูดจานุ่มนวล มองไปที่เซี่ยไห่และเรียกเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน “อารองขา”
เสียงเรียกของหลานสาวคนโตนั้นฟังรื่นหูมาก เซี่ยไห่พอใจจนอยากได้ยินบ่อย ๆ จึงพูดว่า “ไหนลองเรียกใหม่”
“อารองขา” เพื่อของอร่อยที่อยู่ตรงหน้า หลินเซี่ยจึงให้ความร่วมมือกับเขาอย่างว่าง่าย
“อีกทีซิ”
หลินเซี่ย “…”
เธอกลอกตาอย่างแง่งอนด้วยสีหน้าเอือมระอา “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กินแล้วก็ได้!”
หลังจากพูดอย่างนั้นเธอก็เดินสะบัดเข้าไปในร้านตัดผมด้วยความโกรธ
“อย่าเพิ่งโกรธสิ ฉันเห็นว่าวันนี้เธอทำงานยุ่งจนหัวฟู เลยอยากหยอกล้อเล่นทำให้เธออารมณ์ดี ทำไมเธอถึงไม่มีความอดทนเลยนะ”
“เถ้าแก่เซี่ย นี่มันไม่ใช่การหยอกล้อเล่นแล้ว คุณทำอย่างกับฉันเป็นหมาเลย”
เซี่ยไห่เริ่มกลัวเมื่อได้ยินหลินเซี่ยกลับมาเรียกเขาว่าเถ้าแก่เซี่ย กังวลว่าหลานสาวจะตอบโต้อย่างรุนแรงในอนาคต แล้วปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นแค่เถ้าแก่ร้านข้าง ๆ ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันอีกต่อไป
เซี่ยไห่ยัดถึงขนมเลิศรสเข้าไปในมือของหลินเซี่ยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขยี้หัวเธออย่างเอ็นดู
หลินเซี่ยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ทำเป็นไม่สนใจเขา
ทันใดนั้นเอง เซี่ยเหลยและหลินจินซานกำลังเดินเคียงคู่กันมาจากหัวถนน พูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะ
เซี่ยเหลยเห็นว่าหลินเซี่ยและเซี่ยไห่อยู่ริมถนน จึงมองดูลูกสาวด้วยสายตาอันอ่อนโยน เรียกเธอด้วยเสียงที่เจือด้วยความรัก “เซี่ยเซี่ย”
เมื่อเซี่ยไห่หันกลับมาและเห็นพี่ใหญ่ ทั้งตัวก็สั่นเทิ้มขึ้นมาทันที
เขาพยายามกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองที่ทำไว้กับหลินเซี่ย พลางหันไปขยิบตาให้เธอ หวังว่าเธอจะไม่บ่นต่อหน้าพี่ใหญ่ของเขา
ถ้าพี่ใหญ่รู้ว่าเขาทำให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนโกรธเคือง เขาต้องโดนทุบตีจนตายแน่
หลินเซี่ยเห็นเซี่ยเหลยและหลินจินซานเดินมาพร้อมกัน จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อ ออกไปส่งข้าวให้พี่ชายมาเหรอคะ?”
หลินจินซานกลัวจะถูกเซี่ยไห่ต่อว่า จึงรีบอธิบายว่า “เปล่า แม่ต่างหากที่ขอให้ลุงเซี่ยช่วยออกไปซื้อเครื่องครัวเข้าร้านเพิ่ม ระหว่างทางก็เลยหิ้วกับข้าวติดไปฝากฉันด้วย”
หลังจากที่หลินจินซานอธิบาย เขาก็ทักทายเซี่ยไห่ มอบกล่องอาหารคืนให้เซี่ยเหลยและพูดอย่างรวดเร็วว่า
“ลุงเซี่ย ผมขอไปทำงานก่อนนะครับ” หลังจากหลินจินชานพูดจบเขาก็รีบวิ่งหนีไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามกาลเวลาดีกว่าฝืนชะตาจนต้องเจ็บช้ำนะคะ
เซี่ยไห่เตรียมโดนพี่ชายลงโทษเลย ไปแกล้งลูกสาวเขา
ไหหม่า(海馬)