ตอนที่ 509 พี่น้องของข้าเป็นคนโง่คนหนึ่ง
นอกจากสยงเอ้อร์ ที่อยู่ตรงนี้มีไม่กี่คนที่โง่จริงๆ จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป เกือบทั้งหมดรู้ถึงสิ่งสำคัญข้อนี้
สยงเอ้อร์ร้อนใจ เอ่ยถาม “ทำไมหรือ เจ้าถูกมนต์แล้ว ยังไม่แก้ ไม่กลัวต้องเสียชีวิตนี้ไปหรือ”
“เจ้าโง่ ไม่ได้ยินที่เจ้าอาวาสน้อยบอกหรือ มนต์นี้หากแก้แล้ว ผู้ที่ควบคุมอยู่เบื้องหลังจะมีผลสะท้อนกลับ ก็จะรู้ว่าข้าได้แก้มนต์นี้แล้ว เส้นทางการกลับเมืองหลวงคงไม่สงบนัก นี่ถึงจะเกือบเอาชีวิตไม่รอด” จิ่งเสี่ยวซื่อจ้องมองเขา เอ่ย “หากมนต์ยังไม่คลาย พวกเขาจะไม่ระวังตัว รอพวกเรากลับถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ค่อยแก้ก็เหมือนๆ กัน อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะถูกทำร้าย”
ก็หมายความว่าตอนนี้รอไปก่อน กลับเมืองหลวงโดยปลอดภัยก่อน
สยงเอ้อร์ครุ่นคิด ดูเหมือนจะมีเหตุผล
“เจ้าวางแผนก็ถูก เพียงไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรต่อเจ้าหรือไม่ ช่วงนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าเจ้าโชคร้ายเพียงใด” สยงเอ้อร์ไม่วางใจนัก
จิ่งเสี่ยวซื่อมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “เรื่องนี้ต้องพึ่งท่านเจ้าอาวาสน้อยแล้ว”
สยงเอ้อร์เองก็มองไปยังฉินหลิวซีด้วยดวงตาเปล่งประกาย เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย หากยามนี้ไม่แก้ เขาจะตายหรือไม่”
ฉินหลิวซี “ขอเพียงมีเงินเพียงพอ”
ก็หมายความว่า มีเงินทุกอย่างก็ตกลงกันได้
สยงเอ้อร์รีบพยักหน้าราวกับไก่น้อยจิกข้าว เอ่ย “มีๆๆ เงินเท่าใดพวกเราก็จ่ายได้”
เขาเอ่ยพร้อมควักห่อผ้าออกมาจากอก หยิบตั๋วเงินออกมาหลายใบ ยัดใส่มือนาง “ท่านเอาไปก่อน ถ้าไม่พอเดี๋ยวพวกเราค่อยไปหาเงินมาเพิ่มให้อีก”
เฟิงซิวเหลือบมอง ทั้งหมดมีค่ากว่าหนึ่งพันตำลึง จึงเอ่ย “ช่างใจกว้างยิ่งนัก ตระกูลร่ำรวยก็เป็นเช่นนี้”
สยงเอ้อร์โกรธ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เมื่อเทียบกับชีวิตของเสี่ยวซื่อ เงินทองนับหมื่นก็เป็นเพียงปุยเมฆ”
ฉินหลิวซียื่นตั๋วเงินให้เฉินผี ออกคำสั่ง “เอาชิ้นหยกให้เขา”
เฉินผีรับคำ ไม่นานก็หยิบชิ้นหยกสลักอักขระคาถาร้อยด้วยเชือกแดงหนึ่งชิ้นส่งให้จิ่งเสี่ยวซื่อ “นำติดตัวไว้ก็พอ”
จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ยขอบคุณ รับมาคล้องคอเอาไว้
สยงเอ้อร์เดินเข้ามาดูใกล้ๆ เอ่ยถาม “เท่านี้ก็พอแล้วหรือ มนต์นั้นหากไม่แก้ไม่ใช่ว่าจะสลบไม่ฟื้นอย่างวันนี้อีกแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่แล้ว ยังไม่ถึงยามต้องตาย”
สยงเอ้อร์พ่นลมหายใจออกมา เมื่อฟังประโยคเมื่อครู่ให้ดี ไยจึงรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ปกติเล่า
จิ่งเสี่ยวซื่อยังจำได้ว่าฉินหลิวซีถามวันเวลาเกิดของจิ่งอู่ จึงเอ่ยออกมา
ฉินหลิวซีคำนวณชั่วครู่ ทว่าแปลกเล็กน้อย เอ่ย “วันเกิดนี้ไม่ถูกนี่ ไม่มีเส้นกรรม”
จิ่งเสี่ยวซื่อหัวใจเต้นรัว เอ่ยถาม “ท่านจะบอกว่า ไม่ใช่คนผู้นั้นที่ชิงอายุขัยข้าไปหรือ จริงสิ แม่เลี้ยงของข้า ยังเป็นญาติผู้น้องของท่านพ่อข้าด้วย ท่านบอกว่ามีความสัมพันธ์ญาติสนิท ต่อให้เขาไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของข้า ก็นับว่ายังมีความสัมพันธ์เป็นญาติของข้า”
“ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความหมายของข้าคือวันเกิดของน้องชายราคาถูกผู้นี้ของเจ้าไม่ถูก นี่คงไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริงของเขา” ฉินหลิวซีเอ่ย “ในเมื่อไม่ใช่วันเกิดของเขา เช่นนั้นแน่นอนว่าเชื่อมเส้นกรรมไม่ได้”
สยงเอ้อร์เอ่ยขึ้นมาในตอนนั้น “เสี่ยวซื่อ ข้าจำได้ว่าตอนจิ่งอู่เกิด ดูเหมือนจะเป็นในชนบทหรือไม่ สตรีผู้นั้นบอกว่าไม่สบายไปแช่น้ำพุร้อนที่ชนบท สุดท้ายคลอดก่อนกำหนดมิใช่หรือ”
จิ่งเสี่ยวซื่อพยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้ นางคงปิดบังวันเกิดที่แท้จริง ระมัดระวังตั้งแต่แรกแล้ว ไม่รู้ว่าป้องกันกลัวคนอื่นรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กนอกคอกหรือว่ากลัวมีคนทำร้ายเขา”
“ไม่ว่าย่างไร ก็เพียงพอให้รู้แล้วว่ามีแผนการอยู่ในใจ” สยงเอ้อร์เอ่ยเสียงหยัน “ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่ใช่ดอกไม้ขาว ทว่าเป็นดอกบัวใจดำ”
จิ่งเสี่ยวซื่อมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยถาม “หากไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริง มนต์นี้ไม่อาจทำลายได้หรือ”
“ได้อย่างไร มีเจ้าก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่หากรู้วันเกิดที่แท้จริงของอีกฝ่าย จะเร็วและง่ายขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีก็ได้ เพียงมีขั้นตอนมากขึ้นเท่านั้น”
จิ่งเสี่ยวซื่อพ่นลมหายใจ เอ่ยต่อ “ข้าวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากกลับถึงเมืองหลวงค่อยเชิญท่านแก้มนต์นี้ ไม่รู้ว่าได้หรือไม่ ห่างไกลนับพันลี้ ไม่รู้ว่าจะลำบากหรือไม่”
“ครั้งแรกที่เจอดึงลากข้าอย่างกับอะไร ยามนี้ทำมาเป็นระมัดระวัง รู้จักเกรงอกเกรงใจแล้วหรือ” ฉินหลิวซีมองเขาหัวเราะหึออกมา
จิ่งเสี่ยวซื่อตกใจ ยกมือขึ้นประสาน “ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแล้ว ได้โปรดอภัยด้วย กำลังอยู่ในภาวะโชคร้าย ไม่ระวังตัวมิได้”
ฉินหลิวซีพยักหน้าพลางเอ่ย “หากเจ้าไม่รีบก็อยู่เมืองหลีต่ออีกสักหน่อย ช่วงเวลานี้ พวกข้าเองก็ต้องเข้าเมืองหลวง”
จิ่งเสี่ยวซื่อดวงตาเป็นประกาย “จริงหรือขอรับ”
“แน่นอน”
สยงเอ้อร์ขยับเข้ามาใกล้ “ไม่รีบ ไม่รีบ หากได้เดินทางร่วมกับท่านเจ้าอาวาสน้อย ระหว่างทางต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน”
เฟิงซิวคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม “ถึงตอนนั้นอย่าได้ตกใจจนฉี่ราดก็แล้วกัน”
สยงเอ้อร์ไม่เข้าใจ ทว่าจิ่งเสี่ยวซื่อมีท่าทางครุ่นคิด วาจานี้มีความนัยแฝงอยู่ เส้นทางไม่ราบรื่นอย่างนั้นหรือ
ต่อมาเขาถึงได้รู้ เส้นทางนั้นมีความน่าสนใจมากเพียงใด กระทั่งยากที่จะลืมเลือนตลอดช่วงชีวิตนี้ ช่างเป็นที่น่าจดจำ
พวกเย่ว์ติ้งมาถึงร้านเฟยฉังเต๋า เห็นว่าในร้านเต็มไปด้วยผู้คนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บ่าวรับใช้ชราเข้าไปถามด้านใน “วันนี้พวกเรามาไม่ถูกเวลาหรือไม่”
นอกจากรักษาแบบธรรมดา พวกเขายังรักษาจิตใจอยู่ในห้องเต๋าร้านเฟยฉังเต๋าด้วย อย่างไรห้องนั้นก็ช่วยรักษาได้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้นเย่ว์ติ้งก็คงไม่ดีขึ้นรวดเร็วเพียงนี้
“เข้าไปในห้องเต๋าเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สยงเอ้อร์จ้องมองเย่ว์ติ้งที่นั่งอยู่บนรถเข็น กระซิบกับจิ่งเสี่ยวซื่อ “เจ้าดูเขาสิ เหมือนแม่ทัพเจิ้นตงหรือไม่”
“อย่าเสียมารยาท” จิ่งเสี่ยวซื่อถลึงตาให้เขา
อีกฝ่ายนั่งรถเข็นตอนอายุยังน้อยเพียงนี้ กลายเป็นคนพิการ สิ่งที่คนเช่นนี้เกลียดที่สุดคือการมีคนจ้องมองเท้าของเขา เจ้าโง่นี่ ไม่รู้จักอ่านสีหน้า ซื่อตรงยิ่งนัก
“ไม่ใช่ เหมือนจริงๆ นะ เหมือนกับในภาพวาดอย่างกับแกะ อีกทั้งได้ยินมาตลอดว่าแม่ทัพเจิ้นตงสู้รบอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ขาพิการแล้วหรือ” สยงเอ้อร์ดวงตาลุกวาวขึ้นมา เห็นเย่ว์ติ้งเข้ามาในร้าน ผลักจิ่งเสี่ยวซื่อออกเดินเข้าไปหา ยกมือประสานพลางยิ้มโง่เขลา “ขอสอบถามท่าน ใช่แม่ทัพเจิ้นตงหรือไม่”
จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด รีบเดินเข้าไปห้ามสยงเอ้อร์ เอ่ยขอโทษเย่ว์ติ้งด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “ขออภัยด้วย พี่น้องของข้าเป็นคนบ้า หากล่วงเกินสิ่งใดต้องขออภัยด้วย”
เขาจ้องสยงเอ้อร์เขม็ง “ยังไม่ขอโทษอีกหรือ กลับไปข้าจะให้ท่านลุงขังเจ้า”
“เจ้าก็เอาแต่รังแกข้า” สยงเอ้อร์ไม่พอใจ เอ่ยอย่างน่าสงสาร “ข้าเพียงคิดว่าคล้ายจึงได้ถามดูเท่านั้น”
เย่ว์ติ้งยิ้มพลางเอ่ยถาม “ท่านรู้จักข้าหรือ”
เอ๋
สยงเอ้อร์ผลักจิ่งเสี่ยวซื่อออกอีกครั้ง เอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี “ท่านเอ่ยเช่นนี้ หรือว่าท่านคือแม่ทัพเจิ้นตงจริงๆ หรือ ท่านเป็นแบบอย่างของข้าเลยนะ ตาเฒ่าที่บ้านของพวกข้ามักไม่ได้ดั่งใจเอาพวกเราไปเปรียบเทียบกับท่าน ข้าไม่เคยเจอท่านมาก่อน แต่เคยเห็นภาพวาดของท่าน อยู่ในอันดับที่ห้าของแม่ทัพผู้มีชื่อเสียง แม้อันดับท่านจะลดเพราะพิการ…อื้อๆ”
จิ่งเสี่ยวซื่ออุดปากสยงเอ้อร์เอาไว้ ยิ้มอย่างละอายใจ “ต้องขออภัยจริงๆ พี่น้องผู้นี้ของข้าเป็นคนบ้าจริงๆ ข้ากำลังอยากให้เจ้าอาวาสน้อยช่วยฝังเข็มให้เขาเผื่อความจำจะได้ยาวนานขึ้น”
เจ้าโง่ พูดไม่เป็นก็เงียบไปเถิด
ใบหน้าของสยงเอ้อร์อดกลั้นจนแดงก่ำ เนื้ออ่อนที่เอวยังถูกจิ่งเสี่ยวซื่อบิดแรงๆ เจ็บจนดวงตายิ่งเบิกโต