ตอนที่ 510 ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเจอ
หอจุ้ยเซียน
ฉินหลิวซีมองบุรุษที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปภายในห้องก่อนมุมปากจะกระตุกยกยิ้มโดยไม่หุบลงสักนิด
เฟิงซิวสง่างามน่าดึงดูด เย่ว์ติ้งเปี่ยมด้วยกำลังวังชาดูน่าเกรงขาม จิ่งเสี่ยวซื่อหล่อเหลาสูงศักดิ์ สยงเอ้อร์ใสซื่อตรงไปตรงมา แต่ละคนดูดีไม่หยอก ชวนให้สบายตาสบายใจเสียจริง
บ่าวรับใช้ผู้เฒ่าเหลือบมองไปทางฉากกั้นลมแวบหนึ่ง เอ่ยกับเล่อสุ่ยเสียงเบาหวิว “คนที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยรู้จัก หากไม่มั่งคั่งก็สูงศักดิ์ ชาติกำเนิดไม่เลวทั้งนั้น ดูท่านายน้อยจะเทียบไม่ติดแล้ว”
เล่อสุ่ยอดกลั้นอยู่พักหนึ่ง เอ่ย “ท่านอย่าพูดแบบนี้อีกเลย ท่านกับนายท่านผู้เฒ่าล้วนมีความกระตือรือร้นต่างกัน ข้าดูทรงแล้วไม่ว่าจะนายน้อยหรือท่านเจ้าอาวาสน้อยก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้น โดยเฉพาะท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้นด้วย”
ไม่ใช่ว่าไม่เปิดกว้าง แต่ไม่มีทางยอมเปิดกว้างเลยต่างหาก
บ่าวผู้เฒ่านึกเสียดายเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยอะไร
สยงเอ้อร์ขยับเข้าไปนั่งใกล้เย่ว์ติ้งแล้วเอ่ย “กล่าวเช่นนี้ อาการอัมพาตของท่านก็ใกล้กลับมาหายเป็นปกติในเร็ววันนี้แล้ว แถมลงสมรภูมิรบได้อีกครั้งด้วย นี่ก็ดีสิ ท่านหารู้ไม่ตอนที่ข้าได้ยินข่าวว่าท่านเป็นอัมพาตยังน้ำตาไหลตั้งสองหยด วีรบุรุษอย่างท่าน นักรบที่อยู่ในสมรภูมิมาแต่กำเนิด ถ้าลงสนามรบอีกไม่ได้คงเสียดายน่าดู”
เย่ว์ติ้ง “สวรรค์คงเห็นใจเลยทำให้ข้าได้มาพบเจอกับท่านเจ้าอาวาสน้อย ตอนนี้ทำได้แค่ใช้ชาแทนเหล้าไปก่อน รอหายดีเมื่อไรต้องดื่มให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยสักจอก”
เขายกถ้วยชาขึ้นมาก่อนจะหันไปทางฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีกล่าวตอบ “ต่อให้หายดีแล้ว ทางที่ดีก็อย่าแตะเหล้าไปเลยหนึ่งปี กิจกรรมที่ใช้ความรุนแรงก็ไม่ได้ ต้องรักษาตัวให้หายดีก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เย่ว์ติ้งพยักหน้ารับ
งานฉลองดื่มเหล้าครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขา อาการอัมพาตของเขาดีขึ้น ประจวบกับเจอพวกสยงเอ้อร์ที่ร้านเฟยฉางเต๋าพอดี ซึ่งต่างก็มาเพื่อขอความช่วยเหลือในการรักษา ทั้งสองเองก็ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็นเลยเสนอการเลี้ยงสังสรรค์ครั้งนี้ขึ้นมา
ครั้งนี้จิ่งเสี่ยวซื่อรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าการเดินทางไปเซียงหนานเกรงว่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ในเมื่อได้รู้จักปรมาจารย์ศาสตร์เสวียนเหมินที่เก่งกาจอย่างฉินหลิวซี แม้แต่โรคอัมพาต นางก็ยังรักษาให้หายได้
“ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีฝีมือการรักษาล้ำเลิศ ศาสตร์การทำนายก็เช่นกัน เดี๋ยวข้าจะช่วยป่าวประกาศให้กึกก้อง ให้คนแห่มาเป็นผู้เลื่อมใสของอารามชิงผิงทั้งหมดเลย” สยงเอ้อร์ยกยอไปประโยคหนึ่ง
เดิมทีฉินหลิวซีอยากจะเอ่ยว่าไม่ต้องป่าวประกาศอะไรมากมาย ทว่าหากต้องการให้อารามชิงผิงมีหน้ามีตา กลายเป็นอารามอันดับหนึ่ง ผู้เลื่อมใสย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย หากเลื่อมใสกันมากเท่าไรเจ้าลัทธิเต๋าถึงจะมีอิทธิฤทธิ์มากขึ้นเท่านั้น จึงเอ่ยออกไป “เช่นนั้นหากปฏิเสธไปก็คงไม่ดี”
เย่ว์ติ้งขบคิด ที่แท้ก็อยากได้ผู้เลื่อมใสอย่างนั้นหรือ
เขาจิบชาอึกหนึ่ง พลางครุ่นคิดอย่างประหลาดใจกับการปรากฏตัวของพวกเขาในร้านของฉินหลิวซี ในเมื่อมาขอให้ช่วยรักษา แต่ดูท่าทีทั้งสองคนกลับไม่เหมือนคนป่วยแต่อย่างใด ถึงแม้จะถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอ แต่ก็นับว่าเป็นการเจอกันครั้งแรก เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยถามอย่างเสียมารยาท
จิ่งเสี่ยวซื่อเป็นคนดูสีหน้าคนออกจึงมองท่าทีประหลาดใจของเย่ว์ติ้งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มีเรื่องคลางแคลงใจแต่ไม่กล้าถามอย่างเกรงว่าจะเสียมารยาท ภายในใจก็ยิ่งชื่นชมนิสัยของเย่ว์ติ้ง เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าโดนพิษกู่ ตอนเดินทางไปรักษาตัวที่เซียงหนานเจอกับท่านเจ้าอาวาสน้อยเสียก่อนถึงได้รู้จักกัน”
“ใช่แล้ว ท่านไม่รู้หรอกว่าเขาโดนพิษกู่ครั้งนั้น น่าสะอิดสะเอียนใจมาก คืองี้…”
“เงียบไปเลย!” จิ่งเสี่ยวซื่อและฉินหลิวซีสบถออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย คนแรกสีหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย คนหลังพอนึกถึงภาพนั้นขึ้นมาก็ใบหน้าเขียวปั๊ด แวบเดียวสัมผัสรสอร่อยก็ทำเอาหมดความอยากอาหารไปทันที
สยงเอ้อร์ยิ้มเก้อ
เย่ว์ติ้งเอ่ย “ข้าอ่านตำราทหารมาไม่น้อย เซียงหนานดินแดนกว้างใหญ่มีไอพิษหนอนกู่มากมาย กระทั่งหมู่บ้านทางนั้นก็ยากจะต่อกรด้วย ทันทีที่ปรากฏว่ามีโจรป่าบุกรุก ถึงแม้จะเรียกกองกำลังมาก็ต้องพ่ายให้กับไอพิษหนอนกู่อยู่ร่ำไป พอเห็นความสุดยอดของภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมแล้ว คุณชายจิ่งโดนพิษเช่นนี้คิดว่าคงทรมานมากจริงๆ”
จิ่งเสี่ยวซื่อ “หนอนกู่ไม่ถูกขับจนกำเริบขึ้นมาก็ยังไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่จะดูดเลือดทีละนิดอย่างช้าๆ”
เย่ว์ติ้งแววตาวูบไหว เขารู้สถานะของจิ่งเสี่ยวซื่อแล้ว บุตรชายภรรยาเอกของตระกูลฉังอันโหว ทว่ากลับถูกพิษกู่เช่นนี้ คิดๆ ดูแล้วคงเป็นเพราะการแก่งแย่งชิงดีในตระกูลใหญ่
“รักษาได้แล้วก็ย่อมดี”
จิ่งเสี่ยวซื่อยิ้มข่มขื่น “เพิ่งสงบไปก็กำเริบมาอีกระลอก ถึงแม้พิษกู่จะกำจัดสำเร็จ แต่กลับโดนอาคมขโมยอายุขัย”
เย่ว์ติ้งตกตะลึง “ขโมยอายุขัยไปคืออะไรหรือ”
“ข้ารู้” สยงเอ้อร์ไม่รอให้จิ่งเสี่ยวซื่ออธิบายก็เล่าออกมาแล้ว
นานๆ ทีเย่ว์ติ่งจะเผยความสุขุมเย็นชาให้ฉายชัดบนใบหน้าซึ่งเปลี่ยนไปไม่น้อย เรื่องน่าประหลาดเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ ชวนให้คนฟังตกใจเกินไปแล้ว
เขารู้ว่าตระกูลใหญ่มีการช่วงชิงและมีแผนการมากมาย แต่นึกไม่ถึงว่าจะใช้แผนการร้ายกาจทำร้ายอีกคนได้เพียงนี้
กระบวนท่าประดาบยังประชันฝีมือกันได้ แต่ให้คนเหนือธรรมชาติร่ายมนตร์ใส่เช่นนี้จะสู้ด้วยอย่างไร
นี่ก็เหมือนมดสู้กับช้าง ถูกพลังที่แข็งแกร่งกว่าข่มอยู่มิใช่หรือไร
เย่ว์ติ้งมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ย “บนโลกมีศาสตร์ทำร้ายกันเช่นนี้ด้วยหรือ”
“โลกกว้างใหญ่สิ่งประหลาดใดไม่มีบ้าง ความดีความชั่วแบ่งออกเป็นสองทาง มีคนบำเพ็ญถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ย่อมมีคนบำเพ็ญวิถีมาร ทำร้ายลับหลังกันกว่านี้ก็ยังมี อย่างเช่นยืมชีวิตยืมโชคชะตา ลงมือลงไม้กับสุสานบรรพบุรุษคนอื่นอย่างเหี้ยมโหดเป็นต้น” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “เรื่องศาสตร์ต้องห้าม ขอแค่ยอมทุ่มเงินหน่อย ย่อมมีผู้บำเพ็ญวิถีมารยอมเสี่ยงทำ ทุกอย่างดูที่ผลประโยชน์”
ทุกคนต่างตระหนักถึง พลันก็รู้สึกเลื่อมใสในสายหลักธรรมทั้งสองอย่างบอกไม่ถูก
พอพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่มีใครพุ่งเข้าประเด็นหนักหน่วงอื่นอีก เลือกเพียงเรื่องผ่อนคลาย แต่ทั้งนี้สยงเอ้อร์กลับถามแต่เรื่องกลศึกจากบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจตัวอย่างของตนเสียครึ่ง สีหน้าและคำพูดกระตือรือร้นมากทีเดียว
เขาเองก็เป็นคนชอบเรื่องการต่อสู้เช่นกัน ฝีมือการฝึกฝนก็ไม่เลว ชื่นชอบเรื่องกองทหาร แต่ลำพังแค่มีความกล้าแต่ไร้กลศึก หากฝืนพุ่งเข้าใส่โต้งๆ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นความสะเพร่าในสนามรบ
เย่ว์ติ้งพอมองนิสัยของสยงเอ้อร์ออก จึงเอ่ย “หากอยากเป็นแม่ทัพ มิใช่ว่ามีเพียงความกล้าหาญพุ่งหาแต่ศัตรู ต้องเข้าใจแผนการกลศึกด้วย มิเช่นนั้นก็เหมือนส่งตัวเข้าไปเสียเปล่า ต่อให้ท่านไร้ซึ่งกลใด ข้างกายก็ต้องมีที่ปรึกษาเข้าใจเรื่องกลศึก ทั้งนี้ผู้นำเองก็ต้องฟังคำชี้แนะบ้างถึงจะถูก แม่ทัพที่รั้นเอาแต่ความคิดตนเป็นที่ตั้งย่อมมีไม่กี่คนที่มีจุดจบดีนัก”
เขานิ่งไปก่อนเอ่ยต่อ “นักรบเป็นทหารและเป็นคน มีพ่อแม่พี่น้องในครอบครัว อุทิศชีวิตให้บ้านเมืองและประชาราษฎร์ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าแล้ว เทียบกับแม่ทัพที่ตายโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เปล่าประโยชน์เกินไป”
จิ่งเสี่ยวซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตบบ่าสยงเอ้อร์ “ได้ยินหรือยัง คิดอยากจะเป็นทหารเป็นแม่ทัพ ต้องช่ำชองศาสตร์ทหารก่อน ลำพังแค่มีดีที่กระบวนท่าต่อสู้จะมีประโยชน์ใด เปลี่ยนแผนยังไม่เป็นมีแต่จะถ่วงให้แย่ลง ทำร้ายคนอื่นแล้วทำร้ายตนเองอีก”
“รู้แล้วน่า” สยงเอ้อร์ลูบศีรษะครู่หนึ่งแล้วมองไปทางเย่ว์ติ้ง “หากข้ามีเรื่องใดไม่เข้าใจจะขอคำชี้แนะจากแม่ทัพอย่างท่านได้หรือไม่”
“ไม่กล้าใช้คำว่าแม่ทัพหรอก ข้าเป็นพี่เจ้าอยู่หลายปี เรียกข้าว่าพี่เย่ว์ก็ได้ ข้ามีอีกนามว่าถิงเฟิง หากเจ้าส่งจดหมายมา ข้าตอบกลับแน่นอน”
สยงเอ้อร์ตีสนิทคนง่ายที่สุดแล้วก่อนจะรีบเรียกเขาว่าพี่ถิงเฟิง
เวลานี้มีพนักงานยกอาหารมาวาง เฟิงซิวอดใจไม่ไหวโพล่งขึ้นว่า “ไม่ต้องคุยกันแล้ว กินกันได้แล้ว”
กินข้าวกับพวกเกะกะลูกตาพวกนี้ไม่สนุกเลย ขัดตาเสียจริง
พวกเขาก็ไม่พูดให้มากความ เริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา กระทั่งกินกันเสร็จเรียบร้อยถึงเริ่มคุยกันต่อ เพียงแต่เวลานี้ด้านล่างมีเสียงโวยวายอึกทึกดังแว่วมา คลอไปด้วยเสียงร้องแหลมสูง
ทุกคนต่างสบตากัน
“ไปดูกันหน่อยหรือไม่”
พวกเขาไม่เกรงกลัวอะไรอยู่แล้วจึงพากันเดินออกจากห้องอาหารส่วนตัวไป มีคนเดินออกมาไม่น้อย ต่างเบียดเสียดทะลักไปถึงตรงบันไดเพื่อมองไปทางด้านล่าง