ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 40 ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 40 ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง-1

ภายในค่ายทหารแนวหน้า

หลิวรุ่ยอิ่งกลับไปถึงกระโจมของตนเอง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีปัญหาในการนอนหลับ

แทนที่จะนอนพลิกตัวกลับไปกลับมาบนเตียง สู้ลุกขึ้นมาคิดอะไรบางอย่างดีกว่า

คิดถึงตรงนี้ หลิวรุ่ยอิ่งสวมอาภรณ์ลุกจากเตียงและจุดตะเกียงอีกครั้ง

เขามองดูเทียนบนโต๊ะพลันนึกถึงตนเองตอนอยู่กรมสอบสวนครั้งเยาว์วัย แอบออกจากเรือนกับสหายรุ่นราวคราวเดียวกันเที่ยวเตร่ยามค่ำคืนใต้แสงเทียน

คืนนั้นก็เฉกเช่นเดียวกับคืนนี้ต่างเปลื้องอาภรณ์พร้อมนอน

ทว่าแสงจันทร์ในคืนนั้นสว่างและอบอุ่นกว่าคืนนี้มากนัก

แสงจันทร์สาดส่องผ่านลายฉลุหน้าต่าง เขาเรียกสหายร่วมเรือนเบาๆ ทั้งสองประคองเทียนด้วยกันแล้วย่องออกไปเงียบๆ

การห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืนของกรมสอบสวนรับผิดชอบโดยกองปราบปราม เข้มงวดกวดขันยิ่งนัก

กองปราบปรามแตกต่างจากหน่วยอื่น ควบคุมดูแลเรื่องภายในกรมสอบสวนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากรมสอบสวนของกรมสอบสวนกลาง การจัดระดับยศตำแหน่งก็แตกต่างจากกองอื่น มีเพียงสี่ระดับด้วยกัน ภายใต้ผู้ตรวจการกอง และผู้คุมประพฤติ ตำแหน่งถัดไปเป็นผู้ปราบปรามกองและผู้พิพากษากอง

กองปราบปรามมีทั้งหมดสามร้อยสามสิบสามหน่วย ทุกหน่วยนำโดยกองปราบหนึ่งคนรับผิดชอบหัวหน้ากอง ผู้พิพากษาสองคนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้ากอง

หลิวรุ่ยอิ่งและชายหนุ่มวัยเยาว์คนอื่นๆ ร่ำเรียนและฝึกอบรมที่แสนน่าเบื่อในกรมสอบสวนวันแล้ววันเล่าจนรู้สึกซังกะตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแม้จะรู้ผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด กลับยืนกรานแสวงหาความตื่นเต้นอยู่ดี

ระหว่างทางทั้งสองเดินชิดติดกำแพงราวกับใช้วิชาตุ๊กแกท่องกำแพง หลบเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนของกองปราบปรามตลอดทาง

แม้ว่าสุดท้ายจะถูกจับได้และถูกไม้โบย แต่ประสบการณ์ในช่วงนี้กลับทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงมันจริงๆ

เพียงแต่บัดนี้ข้างกายไร้สหาย ค่ำคืนเดือนหงายก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนคราก่อน

หลิวรุ่ยอิ่งอยากทอดถอนหายใจ แต่แล้วก็นึกถึงบทกวีที่ฮั่ววั่งอ่านให้เขาฟังก่อนกลับกระโจม

‘ลางบอกวสันต์คล้อยต้อนรับหิมะปกคลุมทั่วนภา จึงไม่แปลกที่แมลงวันจะหนาวตาย’

ครึ่งประโยคแรกเข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวถึงทิวทัศน์ปลายวสันต์เหมันต์หวนในรัฐติง แต่ครึ่งประโยคหลังมีความหมายลึกซึ้งเล็กน้อย…เขามักจะรู้สึกว่าฮั่ววั่งกล่าวเป็นนัยสื่ออะไรบางอย่าง

“หรือว่า…เฮ่อโหยวเจี้ยนเฉกเช่นเดียวกับแมลงวัน…”

หลิวรุ่ยอิ่งขบคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่พบเบาะแสพลันโคลงศีรษะ ขณะเตรียมนอนลงอีกครั้งกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูเป็นระยะๆ

“นายกองหลิวหรือ”

เป็นเสียงของหัวหน้าอาคารฉิน

หลิวรุ่ยอิ่งเปิดประตูกระโจมต้อนรับเขาเข้ามาในกระโจม ทั้งสองนั่งลงในฐานะแขกและเจ้าบ้าน

“ค่ำคืนดึกดื่นหัวหน้าอาคารฉินมาถึงที่นี่มีธุระสำคัญอันใดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล่าวคำทักทายต้อนรับแขกใดๆ เพียงถามไปตามตรง

สีหน้าฉายแววประหม่าหลายส่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มีธุระสำคัญจริง”

หัวหน้าอาคารฉินล้วงเทียบเชิญสีสันสว่างสดใสสองใบและมอบให้หลิวรุ่ยอิ่งหนึ่งใบ

“นี่คือ…”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นหน้าปกเทียบเชิญเขียนด้วยลายมืออักษรขนาดใหญ่ตวัดอย่างงดงามว่า ‘ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุราเมืองจี๋อิง’ ครั้นเปิดดู นอกจากคำว่าพรุ่งนี้สองคำที่เหลือก็ว่างเปล่าขาวสะอาด

“หัวหน้าอาคารฉินคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม

“ข้าน้อยรู้สึกว่า ติ้งซีอ๋องเพียงอยากจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญกองทัพและประชาชนในวันพรุ่งนี้ ใช้วิธีนี้รวมกำลังพลใหม่เอาชนะใจผู้คน อาจจะฉวยโอกาสนี้แต่งตั้งผู้ว่าการหัวเมืองคนใหม่ อย่างไรเสียกองทัพสนามรบไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากผู้บังคับบัญชาแม้เพียงหนึ่งวัน ไม่เช่นนั้นหากไร้ผู้นำจะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูได้ใช้ประโยชน์จากมันหรือ”

หัวหน้าอาคารฉินลูบเคราสั้นๆ ของตนเองแล้วพูด

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นการกระทำเช่นนี้ก็อยากจะหัวเราะออกมา

เขาไม่เข้าใจ เหตุใดผู้มีอายุสูงวัยยามพูดจามักจะแสดงท่าทางเช่นนี้อยู่เรื่อย ดูเหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมและสัญลักษณ์ไปเสียแล้ว หากผู้ใดไม่ทำเช่นนี้ เช่นนั้นสิ่งที่พูดออกมาคงไร้น้ำหนัก กระทั่งไม่ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ

“เช่นนั้นหัวหน้าอาคารฉินคิดว่า ตอนนี้ผู้ใดมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นผู้ว่าการหัวเมืองคนใหม่ที่สุดหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ

แม้ว่าคำถามนี้จะตอบได้ไม่ง่ายดายเช่นคำถามก่อนหน้านี้ก็ตาม

หัวหน้าอาคารฉินคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ยังไม่ได้เอ่ยกล่าว

“เอาเถอะ นี่ไม่ใช่กิจธุระของเรา มาพูดถึงการเข้าร่วมงานจัดเลี้ยงสุรานี้อย่างไรดีกว่า หัวหน้าฉินอยู่อาณาจักรติ้งซีอ๋องมานาน มีประสบการณ์จะบอกเล่าหรือไม่”

ครั้นได้ยินสิ่งนี้หัวหน้าอาคารฉินยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าว “แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติ้งซีอ๋องจัดเลี้ยงสุรา แต่มักจะจัดขึ้นที่เมืองติ้งซีอ๋อง หาได้เกี่ยวข้องกับที่ว่าการรัฐติงข้าไม่ ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงไร้ประสบการณ์เช่นเดียวกัน…แต่หากกล่าวถึงจัดงานเลี้ยงสุรานอกเมืองหลวง เช่นนั้นก็เป็นครั้งแรกจริงๆ”

หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินสิ่งนี้ก็รู้สึกว่าสิ่งที่หัวหน้าอาคารฉินพูดนั้นเป็นความจริง

เพื่อแสดงความเคารพต่อห้าอ๋องใต้หล้า กรมสอบสวนจึงไม่ได้จัดตั้งอาคารกรมสอบสวนในเมืองหลวงของอาณาจักรห้าอ๋อง

ดังนั้น จึงมีสองสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวันพรุ่งนี้

ติ้งซีอ๋องทรงจัดงานเลี้ยงสุรานอกเมืองหลวงเป็นครั้งแรก

ติ้งซีอ๋องส่งเทียบเชิญคนจากกรมสอบสวนเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราเป็นครั้งแรก

“ในกรมสอบสวนมีเพียงเจ้าและข้าได้รับเชิญเท่านั้นหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม

“ไม่ใช่ขอรับ เทียบเชิญสองใบ ใบหนึ่งมีให้นายกองหลิวแต่เพียงผู้เดียว อีกใบเป็นของข้าน้อยและทุกคนในที่ว่าการรัฐติงเป็นเจ้าของร่วมกัน”

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

ในระบบนั้นตนเองเกี่ยวข้องกับสังกัดกรมสอบสวนกลางและอาคารกรมสอบสวนรัฐติงเป็นครอบครัวเดียวกันแต่คนละสายเลือด ในจุดนี้ฮั่ววั่งทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

เป็นการให้เกียรติตนเองไปโดยปริยาย และไม่ทำให้ทุกคนจากกรมสอบสวน ที่ว่าการรัฐติงดูไม่ดี

เพียงแต่มีเวลาเพียงคืนเดียว กะทันหันเกินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้เล็กน้อย

หลิวรุ่ยอิ่งตั้งตารอคอยงานในวันพรุ่งนี้เล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นภาพทิวทัศน์อย่างไรอีกครั้ง ขณะที่เขาพูดคุยกับหัวหน้าอาคารฉิน ทัพอีกาดำและทหารเมืองหลายพันนายถูกจัดกำลังเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงสุราในวันพรุ่งนี้

…………………………

บนถนนนอกหัวเมืองรัฐติง

ทังจงซงและคนข้างกายจูงม้าเดินช้าๆ

“คุณชายท่านอาจไม่ทราบว่าตอนนี้ราคาของแมลงตัวนี้พุ่งสูงขึ้น ปีก่อนแม่ทัพฟันเหล็กทองแดงนั้นหนึ่งตัวเพียงสิบตำลึงเท่านั้น แต่เพิ่งมาทราบหลังจากไปเที่ยวนี้ ปีนี้ในตลาดขึ้นเป็นตัวละห้าสิบตำลึง…”

เผียวเจิ้งหงกล่าว

ในที่สุดทังจงซงก็ได้พบกับเผียวเจิ้งหงระหว่างทาง

เผียวเจิ้งหงเห็นกับตาว่าคุณชายตั้งใจรุดหน้าตามหาตนเอง ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นแต่ก็อดรู้สึกเศร้าและเสียใจไม่ได้เช่นกัน

ขณะกำลังจะเอ่ยพูด กลับเห็นทังจงซงส่ายศีรษะเบาๆ เขาจึงเข้าใจในทันที เข้าใจในแก่นสารไม่เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ เพียงพูดถึงแมลงตัวนี้เท่านั้น

แต่เมื่อทังจงซงได้ยินคำพูดเหล่านี้ กลับไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้

‘ราคาว่าจ้างผู้ฝึกกระบี่ของรัฐเยวี่ยในปีนี้เป็นห้าเท่าของปีก่อน’

นี่เป็นความหมายแท้จริงในคำพูดของเผียวเจิ้งหง คนข้างกายไม่มีทางไม่ทราบ

“แพงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้าทดสอบคมเขี้ยวของมันด้วยตนเองหรือไม่ อย่าได้ถูกหลอกเชียว!”

ทังจงซงพูด

ในทำนองเดียวกัน คำพูดที่เผียวเจิ้งหงได้ยินกลับเป็น ‘รับประกันระดับผู้ใช้กระบี่ได้หรือไม่ อย่าได้ถูกหลอกเชียว’

“คุณชายกล่าวมาเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง ข้าน้อยพบร้านทันตกรรมดีๆ ในท้องถิ่นเพื่อเป็นหลักประกันการสำรวจเส้นทาง คาดว่าจะไม่ถูกหลอก” (ข้าพบผู้รับประกันมีชื่อเสียงน่าเชื่อถือในท้องถิ่นของรัฐเยวี่ย คงจะไม่มีปัญหาใด)

“อืม…เช่นนั้นคงไม่ผิดแน่ แต่เจ้าได้ลองประลองดูบ้างหรือไม่ จงรู้ไว้ว่าแม้แมลงบางชนิดจะดูดี แต่ไม่ยอมสู้สุดชีวิต สวยงามแต่ไร้ประโยชน์!” (ทักษะชักดาบจริงๆ มีกี่ส่วน ท่าดีทีเหลวหรือไม่)

ทังจงซงกล่าว

แม้ว่าเผียวเจิ้งหงจะรับประกันเช่นนี้ แต่เขาก็ยังหวาดผวาอยู่ดี

อย่างไรเสียจู่ๆ บุคคลผู้หนึ่งที่สามารถใช้กระบี่สังหารสืออีเฟิงอย่างรวดเร็วปรากฏตัวขึ้นในรัฐเยวี่ย จะเห็นแก่เงินเพียงน้อยนิดได้อย่างไร

คนเช่นนี้ไม่อาจใช้เงินวัดได้อีกต่อไป

เขาเต็มใจรับภารกิจลงมือสังหารสืออีเฟิงให้เผียวเจิ้งหง จะต้องมีเหตุผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้เป็นแน่

ทังจงซงเห็นว่าเผียวเจิ้งหงบาดเจ็บ ก็ไม่ถามให้มากความ แต่คำที่ออกมาจากปากเผียวเจิ้งหงกลับทำให้เขาสั่นสะท้าน

“นักเล่าเสียงพิฆาตจะสังหารข้า”

ทังจงซงรู้ว่านักเล่าเสียงพิฆาตอยู่ในรัฐติง

ในความเป็นจริง นักเล่าเสียงพิฆาตมารัฐติงเพราะโรงเรืองขวัญเชิญมาเป็นพิเศษ

แต่ว่าพวกเขาเชิญกลับมาคือนักเล่าเสียงพิฆาตนักเล่าเรื่อง หาใช่นักเล่าเสียงพิฆาตมือสังหารไม่

ชั่วครู่หนึ่ง ทังจงซงไม่ทราบว่าเหตุใดนักเล่าเสียงพิฆาตต้องการสังหารเผียวเจิ้งหง ได้รับภารกิจจากผู้ใด รับเงินจากผู้ใด นี่มุ่งเป้าไปที่เขาอย่างชัดเจน

ทังจงซงไม่ได้ถามเผียวเจิ้งหงว่าหลบหนีออกมาได้อย่างไร ขณะนี้เพียงต้องการรีบกลับหัวเมืองรัฐติงด่วน

…………………………

ภายในเมืองจี๋อิง

ทังหมิงนอนไม่หลับทั้งคืน ควบคุมกำกับกองทหารทุกนายเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงสุราในเมืองจี๋อิง

จวบจนกระทั่งทิศบูรพาขาวสว่าง เมื่อนั้นจึงจัดทุกอย่างให้เรียบร้อย

ค่ายที่หลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นๆ อาศัยอยู่ตั้งอยู่ห่างจากพื้นที่นี้มากกว่าสิบลี้

เนื่องจากเทียบเชิญไม่ได้ระบุเวลาไว้ชัดเจน หลิวรุ่ยอิ่งและหัวหน้าอาคารฉินหารือกันว่าจะเดินทางไปเร็วหน่อย

อย่างไรเสียมาเร็วสามารถรอได้ หากมาสายละก็…จะต้องไม่ดีแน่

อันที่จริง รอให้ทุกคนอาบน้ำแปรงผมแต่งกายให้เรียบร้อยรีบมาถึงงานเลี้ยงสุราในเมืองจี๋อิงก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว หาใช่เพราะพวกเขาอืดอาดไม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงซึ่งติ้งซีอ๋องเป็นผู้จัดงาน จึงแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศหน่อย

หลิวรุ่ยอิ่งถือเทียบเชิญในมือ รอให้ทัพอีกาดำตรวจสอบแล้วจึงเข้าไปในสถานที่

ครั้นเห็นทั้งสถานที่ไม่ได้ปิดล้อม ให้ความรู้สึกกล้าหาญและเด็ดขาด

ครั้นมองตามฝ่าเท้าพบว่ามีพรมนุ่มบางเบาไม่รู้กี่ชั้น เหยียบย่ำบนพื้นราวกับเดินบนผิวน้ำก็ไม่ปาน หากไม่ระวังจะรักษาสมดุลได้ยากเล็กน้อย

ด้านหน้าสถานที่จัดงานมีโต๊ะพร้อมที่นั่งทั้งหมดเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ดตัว ด้านหลังจัดที่นั่งไร้โต๊ะจำนวนสี่พันเจ็ดร้อยยี่สิบแปดตัว

ทหารทัพอีกาดำนายหนึ่งนำหลิวรุ่ยอิ่งไปด้านหน้าและนั่งแถวแรกที่มีโต๊ะจัดวาง แต่หัวหน้าอาคารฉินนำเหล่าสหายอาคารกรมสอบสวนรัฐติงที่เหลือนั่งอยู่แถวที่แปด

หลิวรุ่ยอิ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้สวรรค์ตัวยาวพร้อมฉากกั้นสามบาน ด้านหน้าวางโต๊ะกู่ฉินหินเขียวมรกต ถัดจากโต๊ะยังมีโต๊ะฉลุปิดทองเคลือบดำ ด้านซ้ายของโต๊ะเรียงชุดน้ำชาลายครามหลากสี ด้านขวาบนวางผลไม้ทางใต้หลากหลายชนิดจัดวางในจานผลไม้เคลือบลายดอกคำฝอย ถัดมาคู่กับเข็มจิ้มผลไม้สีฟ้าอ่อนเนื้อเดียวกัน บนโต๊ะเล็กวางกระถางกำยานสีไม้จันทน์ลายมังกรครามแปดช่อง ยังมีตะเกียงลายริ้วเมฆาหงส์เกี้ยวหงส์หรูหราจนถึงที่สุด

หลิวรุ่ยอิ่งหันกลับมามองพบว่าโต๊ะด้านหน้าแต่ละพื้นที่ล้วนจัดวางเช่นนี้ ในใจคิดว่าฮั่ววั่งย้ายวังอ๋องของตนเองมาที่นี่หรืออย่างไร แต่เมื่อมองดูอย่างละเอียดพบว่าไม่มีเครื่องรับประทานอาหารและเครื่องดื่มสุรา

ด้านหน้ามีแท่นเวทีสูง ยามนี้ด้านหน้าเวทีกลับล้อมรอบด้วยฉากกั้นแกะสลักไม้หนานมู่[1]เนื้อทองเคลือบสีดอกอิงเฉ่า[2]พับแปดบาน

หลิวรุ่ยอิ่งยกฝากาน้ำชาขึ้นอย่างระมัดระวัง กลิ่นหอมสดชื่นสบายๆ ฟุ้งกระจายทันที

“ดิ้นทอสิบชนิด”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแผ่นกระดาษสีแดงอยู่ใต้กาน้ำชาพร้อมเขียนชื่อชาเอาไว้

เมื่อมองดูน้ำชาในกา สีสันเรียกได้ว่างดงามละลานตาจนอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ดิ้นทอสิบชนิดทำจากเกสรดอกไม้สิบชนิดที่คัดเลือกตามระยะเวลาออกดอกภายในหนึ่งปีตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบ นับว่าเป็นชาดอกไม้ชนิดหนึ่ง

วิธีการทำชาดอกไม้นั้นส่วนมากคล้ายคลึงกับทั่วๆ ไปล้วนเป็นการชูรสดอกไม้ บ่มดอกไม้ ทับดอกไม้ แต่ขาดขั้นตอนพื้นฐานไป

อีกทั้งระยะเวลาการเก็บรักษาดิ้นทอสิบชนิดทั่วไปแล้วไม่น้อยกว่าสามถึงห้าปี ในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะ เกสรตัวผู้ทั้งสิบชนิดจะผสมผสานเข้ากันราวกับน้ำนม พึ่งพาอาศัยกันและกัน ธรรมชาติของดอกไม้ทั้งสิบชนิดก็ผสานเข้าด้วยกัน เช่นดอกเหมยเหมันต์ฤดูและดอกเบญจมาศสารทฤดู ชวนชมและมะลิ…หลังจากทำดิ้นทอสิบชนิดจากสิ่งนี้ นอกจากรสชาติที่ยอดเยี่ยมแล้วยังเป็นยาชูกำลังที่หายากอีกด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งลิ้มรสจนหมดถ้วยอย่างช้าๆ เม้มริมฝีปากรู้สึกถึงรสชาติที่ค้างอยู่ในคอไม่รู้จบ

…………………………………………………………..

[1] ต้นหนานมู่ หนึ่งในต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในจีน มีราคาสูงเนื่องจากเนื้อไม้มีสีทอง

[2] ดอกอิงเฉ่า ดอกพริมโรส

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท