ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 73 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 73 พลานุภาพไม่เปล่งผ่านอักษร-2

เบื้องหน้า หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวโผล่ออกมาเพียงครึ่งตัว

มันมีสามหน้าหกแขน แต่งกายราวกับเด็ก

ใบหน้าหน้าตรงผ่าเผย เลือดไหลออกจากดวงตาสามดวงบนใบหน้า

ใบหน้าซีกซ้ายขาวซีด โกรธเกรี้ยวคำรามดุจฟ้าร้องเดือดดาล!

กายเขียวมรกต ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงแผดเผา สุริยันจันทราหมุนวนด้านหลังศีรษะ

บนมือทั้งหก ฝั่งซ้ายว่างเปล่า ฝั่งขวาสามข้างถือกระบี่ สากกระทุ้ง แส้ แสดงท่าทางโอ้อวด

เห็นเพียงมันกดมือซ้ายบนม่านควัน และทั้งตัวของมันก็กระโดดออกมาทันที

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่ารูปร่างของมันเตี้ยแคระ เท้าเปลือยเปล่าเหยียบพื้นถึงเพียงเอวของตนเท่านั้น

เขาชี้กระบี่ไปทางหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวและรักษาระยะห่างจากมัน คิดไม่ถึงว่ามันจะเหวี่ยงแส้เขียวมันขลับในมือเส้นนั้น

แส้เส้นนี้ยาวยิ่งนัก เกรงว่าจะไกลออกไปถึงห้าหรือหกจั้งได้

หลังเหวี่ยงออกไป ทั้งห้องหินศิลานี้ไม่มีที่ให้หลบภัยแม้แต่หนึ่งชุ่น

หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจที่หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวมีร่างเตี้ยแคระเช่นนี้ แต่กลับเหวี่ยงเงาแส้ไปทั่วทั้งนภาได้อย่างไร

มือมันสั่นไหว แส้ยาวหมุนรอบเหนือศีรษะหลิวรุ่ยอิ่ง จากนั้นม้วนไปทางลำคอของเขา

หลิวรุ่ยอิ่งรีบใช้กระบี่สกัดกั้น แส้ฟาดเข้าด้ามกระบี่ต่อเนื่องจนเหนือความคาดหมาย ทำให้กระบี่เกือบหลุดจากมือของเขา…

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็สกัดกั้นมันไว้ได้

เขาไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใช้อาวุธชนิดอ่อนเช่นนี้มาก่อน…แต่หากกล่าวถึงความเก่งกาจประหนึ่งงูพิษ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาประสบพบเจอ

หลิวรุ่ยอิ่งหันมองซ้ายขวา ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพื้นที่ในห้องหินศิลา ดูเหมือนมันขยายออกไปตามการเคลื่อนไหวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…

ทางเลือกสุดท้ายเขาทำได้เพียงถอยหลังกรูด แต่ปรากฏว่ากำแพงด้านหลังเคลื่อนย้ายไปตามเขาด้วย

แต่ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงอย่างไร แส้ของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวกลับสัมผัสโดนเขาอยู่เสมอ…

“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”

แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะรู้ว่าไม่มีคำตอบ แต่ก็อดโพล่งคำถามออกไปไม่ได้

เงาแส้ในมืออีกฝ่ายหยุดชะงักชั่วครู่ ไม่เอ่ยคำใดจริงๆ

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าขาของมันดูเหมือนจะพิการ เท้าข้างหนึ่งคล้ายอ่อนแรงเอียงไปอีกข้างหนึ่ง

ครั้นเห็นสิ่งนี้หลิวรุ่ยอิ่งจึงย่อตัวลงและแทงกระบี่ หมายโจมตีจุดอ่อนของมัน

คาดไม่ถึงว่ามันจะมั่นคงดุจเขาไท่ซาน เหยียบคมกระบี่หลิวรุ่ยอิ่งด้วยเท้าเปล่า เสมือนว่ามีของหนักหนึ่งพันจินหล่นทับจนเขาไม่อาจดึงกระบี่กลับคืน

ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยู่ห่างจากมันเพียงกระบี่เดียวท่านั้น…

หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวเก็บแส้กลับไปสลับให้มือสามข้างที่ว่างอยู่อีกด้าน

ขณะเดียวกันมือที่จับกระบี่ยกชูขึ้นสูง ราวกับจะฟาดฟันมาทางหลิวรุ่ยอิ่ง

ไม่มีทางเลือก เขาจำต้องดึงมันอย่างแรง ส่งผลให้หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวยกเท้าขึ้นอย่างเงียบเชียบ…

หลิวรุ่ยอิ่งออกแรงมากเกินไปจนตีลังกาหงายไปข้างหลัง เพียงรู้สึกถึงแสงสีขาววูบวาบเหนือศีรษะจึงลนลานยกกระบี่ปัดป้อง แต่กลับถูกกดทับด้วยแรงมหาศาลจนแขนแทบหัก…

ใบหน้าขาวซีดซีกซ้ายหันกลับมาพ่นไฟแห่งกรรมพวยพุ่งขึ้นไปแผดเผาในอากาศ ไม่รู้ว่าใช้กระทำสิ่งใด

จนแล้วจนรอดหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไม่เอ่ยออกมาสักคำเดียว แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่รู้ว่ามันเป็นเทพอะไรกันแน่ พูดได้หรือไม่ รู้เพียงแต่ตอนนี้ตนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายเลิกใช้แส้ยาวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข้อได้เปรียบจากระยะที่ไกลกัน

ตนเองอาศัยการเคลื่อนไหวโจมตี บางทีอาจจะได้เปรียบในการเริ่มก่อนก็เป็นได้

ระหว่างครุ่นคิดอยู่นั้น หลิวรุ่ยอิ่งกระจายร่างออกไป ร่ายรำกระบี่ดาราในมือรวดเร็วดุจเงาสีรุ้ง ล้อมรอบหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไว้

ทว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวกลับตวัดกระบี่วิเศษในมือตามร่างของหลิวรุ่ยอิ่ง

ยิ่งกว่านั้นเขามีสามหน้าเก้าดวงตาร่วมด้วยช่วยกัน จับทุกการเคลื่อนไหวของหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว

“อ๊าก!”

หลิวรุ่ยอิ่งตะโกนเสียงดังลั่น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ

ขณะเดียวกันก็แยกจิตเข้าสู่อินหยางสองขั้วกลางจุดตันเถียนในกาย หวังจะปลุกธรรมลักษณ์บรมครูช่วยปราบศัตรู

แต่ปรากฏว่าเมื่อจิตเข้าสู่ภายในกลับมืดมน…ราวกับว่าแสงไฟถูกเป่าออกไปจากโลกใบเล็ก มืดสนิทไปทั้งผืน แม้แต่ดวงดาวบนสวรรค์ยังสูญเสียความแวววาวไปเช่นกัน

การเคลื่อนไหวร่างกายออกกระบี่อย่างรวดเร็วเช่นนี้ กินพลังของหลิวรุ่ยอิ่งค่อนข้างมากทีเดียว

เขาพบว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวเอาแต่ป้องกันไม่โจมตี จึงพบช่องโหว่ดึงกายกระโดดหนีออกมา

ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมพลังธาตุไฟที่เพิ่งฟื้นตัวในจุดเหม่า จับกระบี่สองมือฟันออกไปในแนวขวางระดับอก

กระบี่นี้ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของพลังอันแรงกล้าเป็นขีดจำกัดที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้

ฟันกระบี่ออกไป แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับปิดเปลือกตาลงเล็กน้อย

เขารู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สำเร็จหรือล้มเหลว อยู่หรือตายล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว

ชีวิตย่อมคู่ควรทิวทัศน์วสันตฤดู ความตายก็จบลงด้วยดีเช่นกัน

ไม่คาดคิดว่าหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวจะไม่ป้องสกัดหรือหลบเลี่ยง

กระบี่ฟันหน้าอกของเขาโดยไร้การปัดป้องต่อต้านใดๆ กระทั่งหลิวรุ่ยอิ่งยังไม่รู้ว่ากระบี่ของตนฟันเข้าเป้าหรือไม่…

ก่อนพลังที่เหลือจะหมดลง ตัวกระบี่ยังนำพาหลิวรุ่ยอิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้า

ก่อนจะก้าวไปสองสามก้าว ความรู้สึกสบายส่งมาจากเอวพลันยับยั้งพลังของเขา…

หลิวรุ่ยอิ่งก้มศีรษะมอง แส้ยาวเส้นนั้นพันรอบเอวของตนอยู่

ไร้หนทาง เขาทำได้เพียงทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ร่างกายหมุนกลับประหนึ่งลูกข่างเพื่อถอนตัวออกมา

ฉวยโอกาสก่อนที่แส้ของอีกฝ่ายจะคืนกลับ หลิวรุ่ยอิ่งคว้าแส้ไว้แน่นและกระชากมันอย่างแรง อาศัยแรงเหวี่ยงให้ตนพุ่งเข้าหาหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวพร้อมกับตวัดฟันกระบี่อีกครั้ง

ความจริงแล้วกระบี่นี้เกินความคาดหมายของทุกคน

แม้แต่หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวก็ไม่คาดคิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะใช้แผนพละกำลังที่สะท้านฟ้าดินจนภูติผียังต้องร้องคร่ำครวญเช่นนี้!

ครั้นเห็นแสงกระบี่นี้ แม้แต่ม่านควันที่เขาอาศัยหลบซ่อนยังต้องหลีกทางให้เล็กน้อย

หลิวรุ่ยอิ่งมีเพียงตาสองดวง ไร้ข้อได้เปรียบใดๆ ยามต่อกรกับสามหน้าเก้าดวงตาของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาว

ทว่าสายตาของเขาในยามนี้กลับราบเรียบยิ่งนัก

ไร้ความตื่นเต้นเลือดพล่านในยามสังหาร

ไร้ความโศกเศร้าที่เห็นเงาของตนแล้วเกิดสงสารขึ้นมา

และยิ่งไร้ความรู้สึกเหนื่อยล้าเพราะพลังปราณในกายถูกดูดออกไปจนสิ้น

สงบนิ่งดุจอาวุธเหล็กไม่ขยับเขยื้อน

สงบนิ่งทว่าเยือกเย็น

เหมือนแสงจันทร์ทว่าไร้ความอ่อนโยน

หลิวรุ่ยอิ่งแย้มยิ้ม

รอยยิ้มนี้สงบนิ่งมากเช่นกัน

ไร้กังวลต่อความปลอดภัยของตน

ไร้ความเศร้าโศกแห่งความตายชั่วพริบตา

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความโดดเดี่ยวของการพ่ายแพ้ในสมรภูมิรบ

สงบนิ่งละม้ายคล้ายบุปผาบานอย่างเงียบๆ

สงบนิ่งทว่าโอหัง

เหมือนหยาดฝนที่หนาวเหน็บทว่าไร้อุณหภูมิ

นี่ถือเป็นการประเมินความสามารถของตนสูงเกินไปหรือไม่

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้

แต่เขารู้ว่าหากต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ นั่นย่อมเป็นหนทางที่ควรจะไป

ไม่ว่ากระบี่เล่มนี้จะทำลายแสงสุริยันหรือไม่

ไม่ว่ากระบี่เล่มนี้จะกำจัดคนเลวข้างองค์จักรพรรดิได้หรือไม่

ขณะที่เขากำลังจะออกกระบี่

ห่างออกไปสามจั้ง

หลิวรุ่ยอิ่งเสริมแรงเพิ่มอีกนิด มือขวากดปลายกระบี่ให้ราบ

ห่างออกไปสองจั้ง

เปลวเพลิงแผดเผารอบๆ หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวทำให้ใบหน้าของเขาแดงไปทั้งแถบ หลิวรุ่ยอิ่งหรี่ตาจ้องทิศทางปลายกระบี่ตั้งแต่ต้นจนจบ

ห่างออกไปหนึ่งจั้ง

‘หมับ!’

กระบี่ต้องสังหารของหลิวรุ่ยอิ่งถูกหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวจับแน่นทั้งสองมือ ไม่อาจขยับได้

ทันใดนั้น เขาเห็นแสงกระบี่สีครามสายหนึ่งสว่างวาบตรงหน้า ตามมาด้วยความเย็นวาบที่ทรวงอก

เขาก้มศีรษะ กระบี่หนึ่งเล่มแทงจากหน้าอกไปถึงแผ่นหลัง แทงตนเองทะลุ…

หลิวรุ่ยอิ่งยกมือซ้ายหมายจะเอื้อมไปจับคมกระบี่

ในใจเขาคิดว่าแม้ต้องตายก็ต้องแสดงท่าทีออกมาบ้าง ไม่อาจล้มลงไปอย่างเรียบง่ายเพียงนั้น!

ในเมื่อตอนเกิดเลือกไม่ได้ เช่นนั้นก่อนตายตนเองก็ขอเป็นผู้กำหนดบ้างไม่ใช่หรือ

ครั้นคิดได้ดังนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่คว้าตัวกระบี่เล่มนั้นอีก ตรงกันข้ามกลับยืดกายพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว

เขาใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายและใช้พลังปราณครั้งสุดท้ายส่งกระบี่ในมือไปข้างหน้าอีกแรงหนึ่ง

ต่อให้จะยังแทงไม่โดนเขา แต่ขอเพียงส่งไปข้างหน้าอีกแรงหนึ่งก็ยังดี

แม้จะครึ่งแรงก็ยังดี

‘ตู้ม!’

ทันใดนั้น พลังปราณรุนแรงในกายหลิวรุ่ยอิ่งระเบิดดังลั่นดีดร่างกายกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับกำแพง

หลิวรุ่ยอิ่งยังคงประหลาดใจว่าเหตุใดกำแพงนี้ถึงฟื้นคืนขึ้นมาครั้ง เห็นใบหน้าที่สามของหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวที่ซ่อนอยู่ในม่านควันจู่ๆ ก็อ้าปากดูดควันหนาทึบทั้งหมดนี้เข้าไปในท้องเหมือนวาฬตัวยาวดูดน้ำ…

“เหล่าสือรู้สึกอย่างไร”

“ตระหนักรู้ยืดหยุ่นเป็นเลิศ ความศรัทธามุ่งมั่นโดดเด่น!”

หน้ากากอสูรเขี้ยวยาวไม่รู้ว่ากายอยู่แห่งหนใด แต่กลิ่นอายของตนต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ราวกับสถานที่นี้คือดินแดนแห่งสวรรค์อันบริสุทธิ์ บรรจุครบทุกความงดงามไว้ในโลก

ทุกสิ่งแปลกประหลาดและทุกอย่างล้วนแตกต่าง!

บางครั้งมีกลุ่มคนเดินเหินบนเมฆา ส่องแสงสว่างเจิดจ้า

ในประเทศชาติมีดอกไม้อยู่ทั่วทุกแห่งหน สว่างสดใส

แสงลึกลับวูบวาบเดี๋ยวหายไปเดี๋ยวปรากฏขึ้น

เสียงลึกลับดังก้อง ผันผวนไม่สิ้นสุด

ตำหนักวัง หอสำนัก พฤกษาศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีจิตวิญญาณ

จากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ทุกสรรพสิ่งล้วนมีสีสันสง่างาม

แม้สถานที่นี้จะไม่มีสุริยันจันทราแย่งชิงความรุ่งโรจน์ในดินแดนแห่งสวรรค์อันบริสุทธิ์ แต่กลับมีดวงดาราพรั่งพราวทั่วทั้งนภา โคจรทั้งวันทั้งคืนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แบ่งฤดูกาล

ภูเขาสูงตระหง่าน หุบเหวลึก สิงสาราสัตว์ เป็นเพราะทุกสิ่งล้วนอยู่ในนั้น

เมื่อมองไปข้างหน้า มีบ่อวิเศษเรืองขวัญอีกแปดบ่อ แต่ละบ่อสีสันแตกต่างกัน

เหนือบ่อวิเศษ บุปผาทั้งสิบสีสันวิจิตรบานตลอดปี ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลงแม้สรรพสิ่งผันแปร

ในแต่ละดอกยกเว้นดอกที่สิบมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ครั้นมองจากรูปลักษณ์สง่างามผ่าเผย น่าเกรงขามอย่างยิ่ง

เหล่าสือจากปากของชายที่อยู่ตรงกลางก็คือหน้ากากอสูรเขี้ยวยาวที่ไล่บี้หลิวรุ่ยอิ่งจนตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ยามนี้แปลงกายเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับอีกเก้าคน

“เฝ้ามองสถานการณ์ไปก่อน การเปล่งผ่าน ‘พลานุภาพ’ ขาดช่วงไปนาน แต่ก็ยังต้องระวัง…เหล่าสือ เรื่องนี้หนักใจเจ้าแล้ว”

ชายที่อยู่ตรงกลางกล่าว

…………………….

ภายในโรงเตี๊ยมพูนโชค หัวเมืองรัฐติง

“เถ้าแก่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่มาส่งตำราให้ข้าอาศัยอยู่ที่ใด เขามีนามว่าหลิวรุ่ยอิ่ง”

เจ้าหมิงหมิงถือจดหมายฉบับหนึ่งต้องการส่งมันให้หลิวรุ่ยอิ่ง

ไม่มีทางเลือก นางไม่ทราบที่อยู่ของหลิวรุ่ยอิ่งจริงๆ ตอนนี้จำต้องถามเจ้าของร้านเท่านั้น

“อืม…คนที่ดื่มสุรากับคุณหนูทั้งสองคืนนั้นหรือ”

เจ้าของร้านถามยืนยัน

“เขานั่นแหละ คนที่บอกว่าตนเองเป็นชาวยุทธ์ ทั้งยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ฉูดฉาด!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวเข้าประเด็น

นางจำเครื่องแบบทางการนายกองชุดนั้นของหลิวรุ่ยอิ่งได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

“ฮ่าๆ คุณหนูผู้นี้อาจจะไม่ทราบ…เขาคือใต้เท้านายกองกรมสอบสวน สิ่ง ‘ฉูดฉาด’ ที่ท่านเอ่ยถึงเป็นเครื่องแบบทางการนายกองกรมสอบสวน คนมากมายอยากสวมใส่ล้วนใส่ไม่ได้”

บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เจ้าของร้านได้ยินคนกล้าออกความคิดเห็นว่าชุดเครื่องแบบกรมสอบสวนฉูดฉาดเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงอดหัวเราะไม่ได้

“คุณหนูของเราถามเจ้าว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด หาใช่เขากระทำสิ่งใดอยู่ เจ้าฟังคำถามให้ชัดเจนสิ! ดูหูของเจ้าก็ไม่เล็กนี่นาแถมเนื้อแน่นอีก…”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากรอบหนึ่งทันที

แต่นี่ไม่น่าจะเป็นภาพน่ารักน่าชมของเด็กผู้หญิง ในสายตาของเจ้าของร้านกลับน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ถูก…จึงกระแอมเบาๆ พลางกล่าว

“คุณหนูท่านนี้พูดถูก เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน…ใต้เท้านายกองผู้นี้แปลกหน้ายิ่งนัก ดูเหมือนจะไม่ใช่คนของอาคารกรมสอบสวนของหัวเมืองรัฐติง คงมาจากนอกเมืองเพื่อจัดการธุระ ข้าน้อยก็ไม่รู้แน่ชัด แต่หากคุณหนูทั้งสองอยากตามหาคนละก็ สามารถไปถามอย่างละเอียดได้ที่อาคารกรมสอบสวน”

เจ้าของร้านกล่าว

หลังจากที่เจ้าหมิงหมิงถามที่อยู่อาคารกรมสอบสวนจากเขาจนแน่ชัดแล้วจึงมอบจดหมายให้เกาลัดคั่วน้ำตาล วานให้นางไปส่งต่อ ส่วนตนหันหลังกลับขึ้นไปห้องพักชั้นบน

นางไม่อยากปรากฏตัวออกไปข้างนอกอีกแล้ว…ตอนนี้ทั้งหัวเมืองรัฐติงต่างรู้ว่ามีหญิงงามเพริศพริ้งสะท้านโลก ทั้งยังพาสาวใช้แสนน่ารักและแปลกประหลาดมาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมพูนโชคด้วย

สิ่งนี้ทำให้คุณชายเจ้าสำราญปลิ้นปล้อนนั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกและข้างในโรงเตี๊ยมพูนโชคทั้งวันทั้งคืน รอนางลงไปชั้นล่างและออกไปข้างนอกอีกครั้ง

หากสามารถกล่าวสักหนึ่งหรือสองประโยคจนเอาชนะใจแม่นางผู้นั้นได้ เช่นนั้นคงจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

เดิมทีในหัวเมืองรัฐติงก็มีทังจงซงอยู่แล้ว!

ครั้นเขาลงมือก็ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงกับเขา…อย่างไรเสียต่อให้พรุ่งนี้เจ้าจะสามารถเพียงไหนจะเอาชนะจวนผู้ควบคุมรัฐติงได้หรือ ไม่ว่าเบื้องหลังจะแข็งแกร่งเพียงใดจะเอาชนะฐานะผู้ควบคุมรัฐติงได้หรือ

ตอนนี้นับว่าดีขึ้นแล้ว ครั้นเขาไม่อยู่ บรรดาคนเจ้าสำราญในหัวเมืองรัฐติงราวกับสูญเสียกระดูกสันหลังไปแล้วจริงๆ…ทุกวันว่างเสียจนไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่มีทางเลือกนอกจากจับกลุ่มก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งไม่เว้นวัน

แต่มักจะมีสายตาเย็นชารุนแรงสายหนึ่งมุ่งเป้าไปที่เจ้าหมิงหมิงอย่างแน่วแน่และเด็ดขาด

นางรู้ว่าเป็นผู้ใดและรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใด

แต่ตนยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี…ว่ากันตามตรง นางยังไม่อยากฆ่าคน

……………………………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท