Akuma Koujo ~Yurui Akuma no Monogatari~ – ตอนที่ 5.2 ฉันอายุได้สาบขวบแล้วค่ะ

Akuma Koujo ~Yurui Akuma no Monogatari~

 

มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่าเซริน่า

 

 

ปีหน้าเธอจะอายุได้ยี่สิบปีและมีปัญหานิดหน่อยกับคนรอบข้างเพราะเธอรู้สึกอายที่ถูกคนอื่นๆเรียกว่าแม่หนูทั้งๆที่อายุก็ปาไปหลักสองแล้ว แต่เพราะหน้าที่ยังดูเยาว์วัยของเธอพวกผู้เฒ่าผู้แก่จึงไม่มีท่าทีที่จะหยุดเรียกเธอแบบนั้จนตัวเธอยอมแพ้ที่จะแย้งไปแล้ว

 

ปัจจุบันเธอทำงานเป็นพนักงานโต๊ะประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนเวทย์มนต์สาขาหลักในเมืองหลวง

 

 

เธอเคยเป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ที่จบออกมาเมื่อหลายปีก่อน เธอมีความถนัดด้านเวทย์อัญเชิญเป็นพิเศษแต่คดีการอัญเชิญปีศาจในครั้งนั้นดันเกิดขึ้นในช่วงที่เธอเรียนจบพอดิบพอดี ผลก็คือเธอประสบปัญหาในการหางานเนื่องจากชื่อเสียงอันย่ำแย่ของผู้ใช้เวทย์อัญเชิญ

 

 

นอกจากนั้นเซริน่ายังเป็นแค่สามัญชนธรรมดาๆที่ไม่มีลู่ทางหรือเส้นสายใดๆ แต่โชคยังดีที่ศาสตราจารย์ของเซริน่าสมัยเรียนเกิดความเห็นใจและเสียดายที่จะปล่อยให้เธอไม่มีงานเพราะเขารู้ถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมในการเขียนวงเวทย์ของเธอดี เขาจึงได้เขียนคำแนะนำให้เธอได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แต่สุดท้ายเนื่องจากความสามารถในการสื่อสารและความเข้ากับคนอื่นๆได้ง่ายเธอจึงถูกส่งมาทำงานเป็นพนักงานประจำโต๊ะประชาสัมพันธ์

 

แต่ถึงอย่างนั้นเซริน่าก็ไม่ได้ไม่พอใจกับตำแหน่งของเธอเลย

 

 

เพราะสุดท้ายในเวลาว่างเธอก็ยังสามารถช่วยศาสตราจารย์ศึกษาวงเวทย์ที่เป็นสิ่งที่เธอรักได้ อีกทั้งเธอยังกลายเป็นที่นิยมในหมู่แขกที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเพราะความสามารถอันเป็นเลิศในด้านการบริการของเธอ

 

 

เธอเป็นคนที่มีนิสัยดีร่าเริงและสื่อสารเก่งถึงขั้นที่มีคนมาขอแต่งงานเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะอย่างนั้นเธอก็ปฏิเสธคำขอเหล่านั้นไปเพราะเธอยังรู้สึกว่าอยากจะทำงานนี้ต่อไปอีกซักหน่อย

 

 

 

 

 

ความน่ารักคือความถูกต้องยังไงล่ะ

 

 

นั่นคือข้อความจากต่างโลกที่เธอได้ยินโดยบังเอิญในขณะที่ทดลองเวทย์อัญเชิญ เสียงนั้นดังก้องออกมาจากวงเวทย์และถึงแม้จะเป็นภาษาที่เธอไม่เคยได้ยินแต่วิญญานของเธอกลับสามารถเข้าใจคำพูดนั้นและได้จดจำมันไว้ในฐานะ’ประสงค์แห่งเทพ’

 

 

ก็นะ เรื่องนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก จนกระทั่ง….

 

วันหนึ่งในขณะที่เซรีน่าได้เข้าไปช่วยงานประชาสัมพันธ์ในการทดสอบเวทย์มนต์ของโรงเรียนสาขาย่อยเนื่องจากการขาดคน และ ณ ที่นั่นเธอก็ได้พบกับผู้หญิงสองคนและเด็กทารก

 

 

คนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามน่าหลงไหลพร้อมกับผมสีบลอนด์เงางาม อีกคนหนึ่งสวมชุดเมดดูแล้วน่าจะเป็นผู้ติดตามของผู้หญิงอีกคนและเธอเองก็มีหน้าตาที่สวยงามมากเช่นเดียวกัน แต่ว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเซริน่าไม่ใช่หญิงสาวทั้งสองแต่กลับเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกอุ้มไว้โดยเมดสาว

 

เด็กสาวสวมชุดเดรสที่ราวกับถูกตัดไว้สำหรับตุ๊กตา บางทีคงเป็นชุดที่ตัดเป็นงานอดิเรกของพวกขุนนางสักคน เธอจับจ้องไปที่เด็กสาวจากด้านข้าง เมื่อมองไปที่เส้นผมสีทองอร่ามที่งดงามเหนือจินตนาการก็เกิดสงสัยขึ้มาว่าหรือจริงๆแล้วเมดสาวกำลังอุ้มตุ๊กตาอยู่จริงๆ

 

 

บางครั้งเองก็มีเหมือนกันที่พ่อแม่ของเด็กที่เข้ารับการทดสอบจะปฏิบัติกับลูกเหมือนพวกเขาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของตน ประคบประงมและจับพวกเขาแต่งตัวราวกับจะบอกว่าลูกของตนเป็นนางฟ้านางสวรรค์จนเซริน่ารู้สึกเบื่อหน่าย

 

 

แต่ในพริบตาที่เด็กสาวหันหน้ามาจ้องมองที่เซริน่าเธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนได้หยุดเต้นลง

 

ตุ๊กตาหรอ……? ไม่ ไม่ใช่หรอก แม้แต่ตุ๊กตาก็ไม่มีทางงดงามได้ถึงเพียงนี้แน่

 

 

การให้เด็กคนนี้สวมชุดธรรมดานั้นคงไม่ต่างไปจากการดูหมิ่นเหล่าเทพาทั้งปวง

 

 

ในดวงตาที่จ้องมองมาที่เซรินาเธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นเทพธิดาตัวเป็นๆ

 

ภายหลังเธอก็ได้ทราบว่าเด็กสาวมีความสามารถทางเวทย์อัญเชิญและเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเด็กสาวคนนั้นเป็นขุนนาง ในไม่กี่ปีข้างหน้าเธอคงได้เข้าไปที่โรงเรียนสาขาหลักแทนที่จะเป็นสาขาย่อยอย่างแน่นอน

 

 

เซริน่าจ้องมองที่ชื่อของเด็กสาวพร้อมกับกำมือแน่น หากเธอได้เข้าไปในตำแห่งที่เกี่ยวกับเวทย์อัญเชิญบางทีเธออาจจะได้ทำความรู้จักกับเด็กคนนั้นก็ได้

 

 

ความคาดหวังของเธอแทบจะปะทุออกมา

 

กึ๊ก……

 

 

เซริน่าตกใจเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้าไปยังทิศทางของเสียงฝีเท้า

 

 

พักหลังมานี้เซริน่ามัวแต่เพ้อถึงเด็กสาวที่สลักลึกอยู่ในความทรงจำของเธอ ทำให้เธอทำงานล่าช้าลงเพราะอย่างนั้นเธอจึงต้องทำงานล่วงเวลาถึงดึกดื่นเพื่อสะสางงานที่ตนทับถมไว้

 

 

เมื่อรู้สึกตัวเวลาก็ได้ล่วงเลยไปถึงช่วงค่ำเสียแล้วและมีเพียงแสงจากตะเกียงเวทย์มนต์เท่านั้นที่ยังสาดส่องอยู่ ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ดูเหมือนจะกลับกันไปหมดแล้ว

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียนที่นี่ยังคงมีพวกอาจารย์อยู่ เพียงแต่พวกเขาคงกำลังหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยของตนในห้องทดลองจนไม่ออกมาที่สำนักงานแห่งนี้อย่างแน่นอน

 

 

เพราะงั้นคนที่ยังหลงเหลืออยู่แถวๆนี้ก็คงเป็นพวกพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่ในขณะที่เธอกำลังเตรียมตัวเตรียมใจโดนดุให้กลับบ้านนั้น คนที่ปรากฏตัวออกมากลับเป็นผู้หญิงในชุดเดรสสีแดงเรียบๆที่ถูกตัดออกมาอย่างประณีต

 

“ท-ท่านรองผู้อำนวยการ?”

 

 

“……หืม ดูเหมือนยังมีคนอยู่สินะ”

 

ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่ารองผู้อำนวยการส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้เซรินา…แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกราวกับรอยยิ้มของนักล่า

 

ถึงแม้จะเป็นรองผู้อำนวยการแต่อายุของเธอถือได้ว่ายังสาวอยู่ อายุของเธอตอนนี้อยู่แค่ราวๆสามสิบปี……

 

 

เธอมีผมสีแดงสง่าที่ให้ความรู้สึกถึงความมุ่งมั่นแรงกล้า ริมฝีปากถูกแต่งแต้มด้วยสีกุหลาบ ตาสีฟ้าที่เปล่งแสงกดดันที่ทำให้ผู้คนต่างอยากหลีกเลี่ยงการสบตา ชุดเดรสเรียบง่ายสีแดงที่แสดงความน่าดึงดูดของแขนและขาออกมาได้ถึงที่สุดนั้นราวกับถูกตัดขึ้นไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ แม้แต่ใบหน้าที่ดุดันไปเล็กน้อยก็ยังเป็นส่วนเสริมที่ช่วยชูความงดงามของเธอออกมา

 

 

แต่ถึงแม้จะรวมทั้งหมดที่กล่าวมา ความงดงามเหล่านั้นกลับไม่ทำให้เซริน่ารู้สึกดึงดูดเลยแม้แต่น้อย

 

“ขอบคุณสำหรับความเหน็ดเหนื่อยนะ …..จริงสิ จะว่าอะไรไหมถ้าฉันมีเรื่องจะให้ช่วยซักหน่อย?”

 

 

“ด-ได้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ จะให้ฉันช่วยะไรดีคะ?”

 

ถึงแม้จะดึกดื่นมากแล้วแต่เซริน่าไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธคำร้องขอของรองผู้อำนวยการเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังมีความสงสัยอยู่ในใจ แม้ที่นี่จะมีรองผู้อำนวยการอยู่สองคนแต่ตำแหน่งของเธอเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์เพียงเท่านั้น และเธอแทบจะไม่เคยโชว์หน้ามาที่โรงเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอมาทำอะไรคนเดียวอยู่แถวนี้ในช่วงดึกๆดื่นๆกัน เซริน่าไม่เข้าใจ

 

“พอดีฉันอยากดูรายชื่อของคนที่ผ่านการคัดเลือกการทดสอบความถนัดด้านเวทย์มนต์….เอาเป็นซักช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ก็ได้”

 

 

“…ร-รับทาบค่ะ”

 

 

เธอจะอยากดูไปทำไมกันนะ…? เธอทำได้เพียงแค่ตั้งคำถามในใจเพราะไม่กล้าที่จะพูดออกไป แต่บางทีสีหน้าของเธอคงจะแสดงความสับสนออกมาให้เห็นชัดเจนเกินไปเพราะหลังจากนั้นรองผู้อำนวยการก็พูดออกมาราวกับอ่านใจเธอได้

 

 

“ฉันแค่อยากรู้ว่ามีลูกขนนางกี่คนที่จะกลายเป็นพลังให้กับประเทศแห่งนี้ในอนาคตเท่านั้นเองน่ะจ้ะ”

 

หลังจากพูดจบรองผู้อำนวยการก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและหัวเราะเล็กน้อย

 

 

“จ-จะเอามาให้เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”

 

เธอเชื่อคำพูดของรองผู้อำนวยการที่ราวกับถูกเตรียมการมาล่วงหน้าเป็นอย่างดีอย่างสุดใจจึงรีบนำหนังสือรายชื่อที่เธอเองก็มักจะแอบใช้อยู่เป็นประจำขึ้นมา

 

“ขอบคุณจ้ะ เดี๋ยวขอเวลาฉันสักครู่นะ”

 

 

เธอพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว…จนดูเหมือนกับว่าไม่ได้ต้องการดูรายชื่อโดยรวมแต่กำลังหาใรบางคนอยู่  

 

 

หลังจากที่หยุดมองอยู่ที่หน้าหนังสือหน้าหนึ่งอยู่สักพักเธอก็รีบปิดหนังสือและคืนมันให้เซริน่า

 

 

“แค่นี้แหละจ้ะ แล้วก็ฉันขอเตือนหน่อยว่าผู้หญิงไม่ควรจะมาอยู่คนเดียวดึกๆดื่นๆแบบนี้ ถ้ามีงานค้างล่ะก็ไว้ค่อยตื่นแต่เช้ามาเคลียร์ให้เรียบร้อยดีกว่านะ”

 

 

“ค-ค่ะ”

 

 

เซริน่าลุกขึ้นยืนตรงโดยอัตโนมัติพร้อมกับกล่าวรับทราบ จากนั้นรองผู้อำนวยการก็เดินหายไปในโถงทางเดินพร้อมกับแสงของตะเกียงเวทย์มนต์ที่สั่นไปมาในความมืดมิด

 

เซริน่ายืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่จนเสียงฝีเท้าของรองผู้อำนวยการหายไปในที่สุดจากนั้นเธอก็ฟุบกลับลงบนเก้าอี้ของตน

 

“……กลับบ้านดีกว่า”

 

 

ชื่อของเธอคืออัลเบอร์ทีน รองผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ของโรงเรียนเวทย์มนต์

 

 

ปกติแล้วคนในยศระดับเธอควรจะมีผู้ติดตามคอยอารักขาแต่พวกเขาถูกสั่งให้ไปอยู่แถวๆที่ไม่สะดุดตาคน

 

 

เธอไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาจากการนำผู้ติดตามจำนวนเยอะๆมาด้วยและคนที่เธอเชื่อใจเองก็มีอยู่เพียงหยิบมือที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี

 

“……….ซุมะนะ”

 

 

เธอเรียกชื่อของใครางคนออกมาอยางแผ่วเบาจากนั้นก็มีชายร่างผอมอายุราวๆยี่สิบปีปรากฏตัวออกมาจากความมืดและโค้งหัวให้กับเธอ

 

 

“พวกเด็กๆล่ะ?”

 

 

“ครับ ถึงแม้คุณหนูจะคิดถึงพวกท่านทั้งสองแต่ตอนนี้พวกเธอหลับเรียบร้อยแล้วครับ”

 

 

“อย่างงั้นหรอ…”

 

 

หลังจากพูดตอบกลับอัลเบอร์ทีนก็พูดกระซิบกระซาบที่แทบจะฟังไม่ได้ยินออกมา

 

 

“เขาไม่อยู่สินะ…”

 

 

ดูเหมือนอัลเบอร์ทีนจะไม่ได้รู้ตัวว่าเผลอกระซิบออกมา แต่ซุมนะได้ยินมันอย่างชัดเจน เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันหนักอึ้งที่อยู่ในน้ำเสียงเล็กๆนั่นและทำตาละห้อย

 

 

“ตามฉันมา”

 

“ครับ”

 

อัลเบอร์ทีนเริ่มเดินโดยไม่ได้หันกลับมามอง ซุมะนะก้มหัวให้กับเธออย่างเงียบๆและเริ่มออกเดินตามไป

 

 

ทั้งสองเดินต่อไปตามโถงทางเดินของโรงเรียนโดยมีตะเกียงเวทย์คอยเป็นแสงบอกทาง หลังจากเดินเลี้ยวไปมาตามเส้นทางที่วกวนจนสามารถทำให้คนทั่วไปสับสนและหลงทางได้ในที่สุดทั้งสองก็ได้มาถึงจุดหมาย บานประตูบานเดียวที่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างใต้ประตู

 

“ท่านกัสปาร์ลอยู่หรือเปล่าคะ?”

 

 

อัลเบอร์ทีนไม่ได้เคาะประตูแต่ส่งเสียงเรียกหาเจ้าของห้องด้วยเสียงที่ทั้งไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไปและไม่นานนักประตูก็ได้เปิดออกเผยให้เห็นชายชราร่างหนึ่งที่อยู่ด้านใน

 

 

“ท่านอัลเบอร์ทีนเองหรอกรึ ยินดีต้อนรับ”

 

 

ศาสตราจารย์กัลปาร์สแสดงรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับกล่าวต้อนรับแขกในช่วงค่ำของเขาซึ่งครั้งนึงเคยเป็นลูกศิษย์ผู้เก่งฉกาจของตัวเขาก่อนที่จะได้กลายมาเป็นรองผู้อำนวยการ

 

“นี่คืองานวิจยชิ้นใหม่ของท่านงั้นหรอคะท่านกัสปาร์ล…?”

 

 

การตกแต่งภายในของห้องไม่ได้มีการเปลี่ยนไปจากสมัยที่เธอเคยเป็นลูกศิษย์เลยแม้แต่น้อยจะมีก็เพียงแต่วงแหวนเวทย์มนต์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนถูกวาดไว้ทำเอาเธออดยิ้มอย่างเหนื่อยใจไม่ได้เมื่อเธอนึกถึงชื่อเล่นของอาจารย์ของเธอ ‘นักวิจัยสติเฟื่อง’

 

 

“ฮะฮะฮะ ก็นะ พอดีเมื่อเร็วๆนี้ข้าได้พบกับเด็กคนหนึ่งที่มีพลังเวทย์อันแข็งแกร่งและพรสวรรค์ด้านเวทย์อัญเชิญ เพราะงั้นก่อนที่เด็กคนนั้นจะเริ่มเข้าเรียนข้าก็เลยอยากปรับแก้พวกของที่มันมีปัญหาจากพลังเวทย์ที่มีไม่เพียงพอเสียหน่อย”

 

 

“อย่างนี้…..นี่เอง”

 

 

อัลเบอร์ทีนขมวดคิ้วอย่างช้าๆพร้อมกับนึกรายชื่อของเด็กที่เธอพึ่งอ่านไปก่อนหน้านี้

 

 

“ถึงที่นี่จะสกปรกไปหน่อยแต่สนใจนั่งจิบชาก่อนสักแก้วไหม?”

 

 

“……ฉันไม่รบกวนหรอกค่ะ ที่สำคัญกว่านั้นการวิจัยวงเวทย์ ’นั่น’ ไปถึงไหนแล้วหรือคะ?”

 

 

“ก็ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะแต่ว่า….ถ้าในสภาพของมันตอนนี้ที่พลังงานในการควบคุมยังต่ำอยู่การจะทำให้มันทำงานได้เป็นปกติคงยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก”

 

วงเวทย์ที่จะอัญเชิญปีศาจหรือภูติที่เจาะจงตัวโดยไม่ได้เป็นการอัญเชิญออกมาแบบสุ่มๆแต่เป็นการเลือกตัวตนที่แข็งแกร่งตามที่ผู้อัญเชิญตั้งใจไว้

 

 

สำหรับกัสปาร์ลนี่คืองานวิจัยที่น่าสนใจ ตามปกติแม้จะอัญเชิญภูตไฟออกมาสองตัวแต่ระดับพลังของทั้งสองก็จะมีความแตกต่างกันตามจำนวนเวลาที่พวกมันมีชีวิตอยู่

 

 

เป็นที่รู้กันดีว่าหากผู้ใช้เวทย์มนต์ภูติอัญเชิญภูติออกมาและภูติตัวนั้นเกิดถูกใจหรือชื่นชอบขึ้นมาทำให้ไม่เพียงแค่ภูติตนนั้นจะได้รับสติปัญญาที่สูงขึ้นแต่จะได้รับพลังที่สูงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ยังไงก็ตามเรื่องแบบนั้นแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้กับพวกตัวตนระดับสูงๆยกเว้นว่าผู้อัญเชิญคนนั้นมีความสามารถที่ไม่อาจทาบทานได้จริงๆ 

 

 

แต่หากสามารถสร้างวงเวทย์ที่สามารถบังคับให้ภูติหรือปีศาจที่ถูกอัญเชิญออกมาทำสัญญากับผู้อัญเชิญได้ล่ะก็แม้แต่นักอัญเชิญระดับต่ำก็จะสามารถทำสัญญากับพวกตัวตนระดับสูงได้

 

 

แต่ว่า กัสปาร์ลเกิดความสงสัยเคลือบแคลงใจขึ้นมา

 

“จะเอาเจ้านี่ไปทำอะไรกันแน่…?”

 

 

บรรยากาศเปี่ยนไปในพริบตาเมื่อกัสปาร์ลส่งสายตาอันเฉียบแหลมไปทางอัลเบอร์ทีน

 

 

“เพราะว่าตัวฉันเองก็รักในการวิจัยเช่นเดียวกับท่าน อีกทั้งในช่วงนี้เริ่มมีกระแสต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใช้เวทย์มนต์อัญเชิญขึ้นมามากมายเพราะงั้นถ้ามีสักวิธีที่จะสามารถช่วยสนับสนุนสามีของฉันด้วยเวทย์มนต์อัญเชิญได้ล่ะก็…”

 

 

ความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อเวทย์มนต์อัญเชิญเองก็จะเปลี่ยนไปด้วย

 

 

“อย่างนี้นี่เอง……สมกับเป็นท่านอัลเบอรทีนจริงๆ เอาล่ะถ้างั้นก็รับนี่ไป”

 

 

กัสปาร์ลยิ้มพร้อมกับยื่นวงเวทย์ตัวต้นแบบที่เขาได้ตะเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วให้เธอ

 

 

อัลเบอร์ทีนหายใจโล่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอได้ครอบครองสิ่งที่เป็นเป้าหมายในวันนี้ของเธอ

 

 

“ท่านกัสปาร์ล บุญคุณครั้งนี้ฉันต้องทดแทนคืนอย่างแน่นอนค่ะ…”

 

 

ขอโทษที่หายไปเดือนนึงครับ ช่วงนี้มหาลัยเปิดเลยต้องจัดการอะไรหลายๆอย่าง หลังจากนี้จะพยายามอัพให้เร็วขึ้นนะครับ ปล.แป้นพิมพ์กดไม่ค่อยติดถ้ามีตัวไหนพิมพ์ผิดสามารถแจ้งได้เลยนะครับ

Akuma Koujo ~Yurui Akuma no Monogatari~

Akuma Koujo ~Yurui Akuma no Monogatari~

Status: Ongoing
เธอเคยฝันถึงโลกที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง เธอมีครอบครัว ได้ไปโรงเรียน มีเพื่อน เคยขึ้นทั้งรถไฟ รถประจำทาง ได้ดูภาพยนต์มากมาย อ่านหนังสือหลายต่อหลายเล่ม และในโลกแห่งแสงแห่งนี้ เธอได้เติบโตจน เป็นผู้ใหญ่ ทว่าในท้ายที่สุด ณ ห้องสีขาวแห่งหนึ่ง เธอก็ได้ตกลงสู่ความมืดมิด ก่อนจะถูกปลุกขึ้นจากฝันและได้พบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นปีศาจไปเสียแล้ว ในโลกปีศาจนั้น เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย จน กระทั่งได้เผชิญหน้าเข้ากับการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่างที่ทรงพลัง หลังจากใช้ชีวิตในโลกปีศาจอย่างยาวนาน เธอไม่รู้ตัวเลยว่า ความปรารถนาถึงโลกแห่งแสงที่เคยฝันถึงซึ่งเก็บไว้อยู่ในห้วใจนั้นค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เธอถลาเข้ไปในวงเวทย์อัญเชิญที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา จากนั้น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เธอก็ได้มาอยู่ในร่างมนุษย์ที่เป็นเด็กทารก เธอได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรศักสิทธิ์ด้วยความหวาดกลัว เพราะแท้จริงแล้วในตอนที่เธอเป็นปิศาจ เธอมีพละกำลังอยู่แค่ในระดับทารกเท่านั้นและหากการที่เธอเป็นปีศาจถูกล่วงรู้ขึ้นมาคงเป็นเรื่องเลวร้ายมาก สุดท้ายแล้ว เธอเป็นศาจหรือมนุษย์กันแน่? ต่อจากนี้ไปเธอจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท