ตอนที่ 77 งานศพ
ในห้องพลันไม่มีผู้ใดเอ่ยคำใด มีเพียงโจวหนิงเยวี่ยกลั้นเสียงสะอื้นไห้
เป็นนานหลังจากนั้น ซินโย่วจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะถือเสียว่าวันนี้ไม่ได้มาที่นี่ แต่ข้ามีคำขอร้องหนึ่ง”
“คำขอร้องอันใด” มารดาโจวหนิงเยวี่ยสีหน้าคลายลง จากนั้นก็ระแวงขึ้นมาทันที
“รอให้เรื่องนี้ผ่านไป ข้าอยากมาคุยกับท่านน้าสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ได้ยินว่าซินโย่วมีคำขอร้องแค่นี้ มารดาโจวหนิงเยวี่ยก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ในความคิดนาง สาวน้อยที่พลันมากลายเป็นสหายบุตรสาวนางผู้นี้มีความลับมากมาย เกรงว่าไม่ได้ง่ายดายดังที่เห็น
แต่เรื่องเหล่านี้เทียบกับความยากลำบากตรงหน้าตอนนี้แล้วก็ถือว่าเล็กน้อยมาก อีกฝ่ายจะไม่พูดเรื่องที่เห็นวันนี้ออกไป ถือว่านางสองแม่ลูกยังไม่ถึงฆาต ส่วนจะกลับมาคุยเรื่องใด สิ่งที่ไม่อาจเอ่ยได้ ผู้ใดจะเปิดปากนางได้
ซินโย่วมองโจวหนิงเยวี่ยทีหนึ่ง ก็ถามมารดาโจวหนิงเยวี่ย “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”
ในใจมารดาโจวหนิงเยวี่ยรู้สึกขอบคุณขึ้นมาทันที สีหน้าเผยความรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณ เยวี่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับไปเรือนตะวันตกเถอะ”
“ข้า…”
“เชื่อฟังแม่ ไปเรือนตะวันตก” น้ำเสียงมารดาโจวหนิงเยวี่ยไม่เปิดโอกาสให้นางเอ่ยปฏิเสธ
ขณะต่อสู้กับความรู้สึก นางก็รู้ว่านางสังหารสามี มีเรื่องที่ต้องจัดการต่อจากนี้อีกมาก ไม่มีเวลามาแสดงอารมณ์สับสนอีก แต่จะให้บุตรสาวต้องมาเห็นสภาพในห้องตะวันตก ถือเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไป
ยามนี้มารดาโจวหนิงเยวี่ยเกิดความรู้สึกซาบซึ้งต่อซินโย่วจากใจ
ไม่ว่าคุณหนูผู้นี้มีเป้าหมายอันใด อย่างน้อยตอนนี้ก็พอจะช่วยเหลือนางได้
นางต้องการใครสักคนช่วยเหลือนางในยามนี้
“ขอบคุณ ขอบคุณ” มารดาโจวหนิงเยวี่ยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ถึงตอนนี้น้ำตาหยดหนึ่งเพิ่งจะค่อยๆไหลรินออกมา
โจวหนิงเยวี่ยร้องไห้วิ่งออกไป
กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งอยู่ในห้องตะวันตก โจวทงยังคงอยู่ในลักษณะดวงตาเบิกโพลง แต่ไร้ลมหายใจแน่นิ่งไปนานแล้ว
มารดาโจวหนิงเยวี่ยนั่งยองลงที่พื้น ใช้ผ้าเช็ดคราบโลหิตบนพื้น ตอนเพิ่งเริ่มต้นยังมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ค่อยๆ คล่องแคล่วขึ้นมา
ซินโย่วเห็นดังนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าประวัติมารดาโจวหนิงเยวี่ยไม่ธรรมดา
เห็นลักษณะท่าทางมารดาโจวหนิงเยวี่ย ย่อมต้องเคยผ่านเหตุการณ์นองโลหิตมาก่อน
ซินโย่วจัดที่วางพู่กันที่ล้มอยู่ให้เรียบร้อยเงียบๆ พลางมองพู่กันที่ตกอยู่ หนังสือที่หล่นกระจัดกระจาย
นางเอ่ยให้ความช่วยเหลือด้วยตนเอง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อช่วยให้มารดาโจวหนิงเยวี่ยผ่านด่านเคราะห์นี้ไปโดยไร้เป้าหมาย เป้าหมายที่สำคัญก็คืออาศัยการนี้หาดูว่าจะพบร่องรอยที่เป็นประโยชน์บ้างหรือไม่
จากการคาดเดาของนางก่อนหน้านี้ มีปากเสียงกันในห้องหนังสือมิใช่ห้องพัก ไม่แน่ว่ามารดาโจวหนิงเยวี่ยกำลังทำอันใดอยู่ในห้องหนังสือ
ในใจซินโย่วคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็หยิบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่ทันได้อ่านละเอียด มือหนึ่งก็ยื่นมาคว้าไป
ซินโย่วผงะถอยหลังก้าวหนึ่งพร้อมกับเก็บกระดาษจดหมายไว้ด้านหลัง แต่กลับพบว่าเป้าหมายของมือนั้นไม่ได้อยู่ที่กระดาษจดหมายในมือนาง แต่เป็นอีกใบหนึ่ง
มารดาโจวหนิงเยวี่ยยัดกระดาษใบนั้นเข้าปากรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าสว่างวาบ
ซินโย่วขมวดคิ้วมองดูสตรีที่กลืนกระดาษและกำลังสะอึกทรมานอยู่
มารดาโจวหนิงเยวี่ยพยายามกลืนลงไป “คุณหนูโค่ว ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ไม่เป็นผลดีต่อท่าน”
ซินโย่วไม่เอ่ยตอบอันใด ย่อตัวลงเก็บจานล้างพู่กันลายครามที่หล่นแตกกระจัดกระจาย ในใจได้รู้จักกับความว่องไวของมารดาโจวหนิงเยวี่ยแล้ว
มิน่าจึงกลายเป็นคนย้อนกลับสังหารสามีได้
“ท่านน้า บ่าวที่บ้านไม่อยู่กันหรือ อยู่ๆ จะกลับมากันหรือไม่” เก็บเศษกระเบื้องเรียบร้อย ซินโย่วดูเหมือนเอ่ยถามไปอย่างนั้น
“คิดว่าพรุ่งนี้ก็เป็นวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เช้าวันนี้จึงให้พวกเขากลับบ้านตนเองไปแล้ว รอวันที่สิบหกค่อยกลับมา” ตอนมารดาโจวหนิงเยวี่ยเอ่ยถึง ‘เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง’ น้ำเสียงก็สั่นเครือเล็กน้อย
ซินโย่วแอบถอนหายใจ
วันนั้นได้ยินโจวหนิงเยวี่ยบอกว่ารอวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงก็จะให้ชุนหยากลับบ้านไปหนึ่งวัน ไม่คิดว่ามารดาโจวหนิงเยวี่ยให้หยุดเพิ่มอีกหนึ่งวัน ให้กลับบ้านไปตั้งแต่วันที่สิบสี่
เห็นได้ชัดว่าการกระทำของคนเรายากคาดเดา วันหน้าต้องรอบคอบให้มาก
กาลเวลามักจะลบเลือนสิ่งต่างๆ ไปมากมาย ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ห้องฝั่งตะวันตกนอกจากจานล้างหมึกที่หายไปหนึ่งใบ ที่เหลือดูแล้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
ศพโจวทงจัดการเช็ดคราบโลหิตสะอาดแล้ว ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตั่งที่ห้องฝั่งตะวันออก เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะคลุมทับด้วยผ้าห่มผืนบาง มองดูแล้วคล้ายเพียงแค่หลับไปเท่านั้น
ในใจซินโย่วรู้ว่าแผนการควรค่อยเป็นค่อยไป ได้แต่จากไปเงียบๆ
กลับถึงเรือนตะวันออกร้านหนังสือ เรื่องแรกที่ซินโย่วทำก็คืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็หยิบกระดาษใบนั้นออกมาค่อยๆ อ่าน
ความจริงก็ไม่มีอันใดน่าอ่าน นี่เป็นหน้าสุดท้ายของจดหมายฉบับหนึ่ง มีเพียงคำลงท้ายตามมารยาทไม่กี่คำเท่านั้น เป็นประเภทที่ไว้ลงท้ายจดหมายส่วนใหญ่พวกนั้น เรื่องที่เดียวที่น่าสนใจก็คือชื่อที่ทิ้งท้ายไว้ ตงเซิง
แต่คิดจะอาศัยแค่ชื่อ ไม่รู้แซ่ไปตามหาคนเช่นนี้ ช่างดังงมเข็มในมหาสมุทรโดยแท้
ซินโย่วพับจดหมายเก็บ จัดการสั่งให้ฟางหมัวมัวไปถนนจี๋เสียงฟางสังเกตการณ์เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลโจว
ยามพลบค่ำ ฟางหมัวมัวก็นำข่าวกลับมา
“คุณหนูรู้ได้อย่างไร ผู้คนพากันโจษจันอยู่เรื่องหนึ่ง เจ้าบ้านชายตระกูลโจวตอนกลับมาพักกลางวันถึงกับป่วยตายกะทันหันขณะนอนหลับ ทิ้งภรรยาและบุตรสาวร่ำไห้น่าสลด พี่สาวของเจ้าบ้านชายมากันทั้งครอบครัว พี่สาวร่ำไห้น่าหดหู่…”
ซินโย่วคิดแล้วก็มีแผนการในใจ
เช้าวันต่อมา ซินโย่วเพิ่งออกจากบ้าน ก็พบกับต้วนอวิ๋นหลาง
“น้องชิง กลับบ้านด้วยกัน”
“พี่รองกลับไปก่อน ข้าไปซื้อของสักหน่อยค่อยกลับ”
“น้องชิงจะซื้ออันใดหรือ” ต้วนอวิ๋นหลางถามอย่างอยากรู้
“ละแวกถนนจี๋เสียงฟางมีร้านขนมร้านหนึ่ง ขนมอร่อยมาก ยังมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อที่แพร่มาจากทางใต้ขายด้วย ข้าคิดว่าจะซื้อกลับไปให้ท่านยายลองชิมสักหน่อย”
ขนมอร่อยหรือ
ต้วนอวิ๋นหลางรีบเอ่ยว่า “ข้าไปซื้อกับเจ้า อย่างไรก็ไม่รีบร้อนกลับบ้าน”
ซินโย่วลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ”
มีต้วนอวิ๋นหลางไปด้วยก็ยิ่งมองดูเหมือนไม่ตั้งใจนัก
สองพี่น้องพร้อมเสี่ยวเหลียนตรงไปร้านอู่เซียงไจ พอถึงที่นั่นก็เห็นคนต่อแถวกันยาวเหยียด
“ดูท่าขนมร้านนี้อร่อยจริง” ต้วนอวิ๋นหลางเข้าแถวรออย่างวาดหวังเต็มเปี่ยม
ซินโย่วยืนอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ คอยสังเกตฟังเสียงโดยรอบ
ตระกูลโจวเกิดเรื่องใหญ่เพียงนั้น กอปรกับนายกองร้อยโจวทงแห่งกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินที่นับว่ามีสถานะพิเศษ จึงไม่มีเหตุผลที่คนกำลังเข้าแถวเบื่อหน่ายกันอยู่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์
“ได้ยินกันไหม เจ้าบ้านชายที่มาอยู่ใหม่ในชุมชนตรอกเยี่ยนจื่อ ตายไปตอนนอนกลางวัน!”
“ข้ารู้ น้องชายของสะใภ้ตระกูลจี้ สะใภ้ตระกูลจี้ร้องไห้จนตาบวม”
“น่าสงสารจริง!”
“ใช่ น่าสงสารจริง”
ต้วนอวิ๋นหลางเงี่ยหูฟังจบก็รีบมาวิพากษ์วิจารณ์กับซินโย่ว “น้องชิง…”
เพิ่งเอ่ยปาก เขาก็พบว่าซินโย่วมีสีหน้าผิดปกติ
“น้องชิง เป็นอันใดไปหรือ”
“ที่พวกเขาพูดถึงเหมือนเป็นบ้านของสหายข้า!” ซินโย่วกัดริมฝีปากก่อนหันหลังเดินไป
ต้วนอวิ๋นหลางนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะรีบไล่ตามไป
ซินโย่วเดินเร็วมาก จ้ำพรวดเดียวมาถึงนอกประตูบ้านตระกูลโจวที่ประดับผ้าขาวไว้แล้ว มีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ดังแว่วออกมา
มาถึงนอกประตูตระกูลโจว ซินโย่วก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะมองผ่านประตูใหญ่ที่เปิดกว้างเข้าไปด้านใน
ในลานมีคนไม่น้อยมาไว้แสดงการปลอบใจครอบครัวผู้วายชนม์ โถงกลางตั้งเป็นโถงตั้งพิธีศพแล้ว
ยามนี้นางเดินเข้าไป ไม่มีคนมาถามไถ่อันใด ตรงไปยังข้างกายจี้ไฉ่หลันได้ทันที
จี้ไฉ่หลันเห็นซินโย่วก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย “น้องโค่ว เจ้ามาได้อย่างไร”
“วันนี้ข้ากับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องข้าจะกลับจวนรองเจ้ากรม คิดถึงร้านขนมที่พี่จี้เอ่ยถึง จึงได้คิดว่าจะไปซื้อขนมสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าได้ยินว่าบ้านน้องโจวเกิดเรื่องแล้ว จึงมาดูสักหน่อย”
จี้ไฉ่หลันขอบตาแดง “น้องโค่วช่างมีน้ำใจ”
“พี่จี้โปรดระงับความเศร้าด้วย ข้าอยากจะจุดธูปให้ท่านน้าสักดอก เยี่ยมน้องโจวสักครู่”
งานสีขาวประเภทนี้ทั่วไปจะไม่ปฏิเสธคนที่มาไว้ร่วมไว้อาลัย จี้ไฉ่หลันไม่คิดมาก นำซินโย่วกับ ต้วนอวิ๋นหลางเดินเข้าห้องโถงไป