เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 179 เรานักกระบี่!

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 179 เรานักกระบี่!

“อย่าไปคิดมาก”

หนิงอี้ตบบ่าเด็กสาว “ต่อให้เจ้าไม่ได้ทำอะไร ก็ยังมีคนตายอยู่ดี สิ่งที่เราทำได้คือมีชีวิตต่อไป”

เผยฝานถือถ้วยกระเบื้องด้วยสองมือ ดื่มโจ๊กแปดสิ่งเลอค่าอึกเล็กๆ ก่อนขานรับเสียงเบา

เด็กสาวคิดมาก แต่ไม่เคยเผยออกมา

หนิงอี้ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ

ยุทธภพก็ดี การฝึกบำเพ็ญก็ดี สิ่งที่ฆ่าคนมากที่สุดไม่ใช่แค่ดาบและกระบี่

มีชีวิตต่อไป ความจริงเป็นหลักการที่ง่ายที่สุด

ท่านเผยหมินให้กระบี่ซ่อนไว้กับเด็กสาว ไม่ขออย่างอื่น ขอแค่นางมีชีวิตอย่างสงบ

หากลังเล ต่อให้มีพรสวรรค์เหนือชั้นในวิถีกระบี่ ก็ยากจะไต่ขึ้นตำหนักสุดท้ายได้ เด็กสาวยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก

หนิงอี้วางความคิดลง หรี่ตา ความคิดพวกนี้ผ่านไปในเพียงพริบตา ไม่ส่งผลถึงสภาพจิตใจของเขา

สองคนนั่งข้างทาง อยู่ในร้านน้ำชาเช่นนี้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบครึ่งช่วงเช้า

ก่อนจะกลับจวนอย่างไม่รีบร้อน

ตอนที่กลับมาถึงจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ก็พบว่าปากประตูคึกคักเป็นพิเศษ

ปกติ จะไม่มีใครมาจวนของหนิงอี้ หลังการสั่งสอนที่จวนเขาคราม ศิษย์จวนขานฟ้าที่มาท้ารบก็เก็บตัวเงียบไปนานแล้ว

ตอนนี้ประตูทางเข้ามีหญิงสาวรูปร่างอรชรยืนอยู่หลายคน ชุดคลุมบ่งชี้ชัดว่าเป็นศิษย์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ผู้นำในนั้นเป็นคนรู้จักของหนิงอี้

หญิงแบกกล่องพิณยักษ์มองหนิงอี้พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หนิงอี้ ข้ารออยู่หน้าจวนเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว”

ไม่มีเรื่องด่วนก็คงไม่มาหา

หลังจากซูมู่เจอบรรลุนิพพาน สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็เป็นเรือสูงตามน้ำ ได้ฉายาจวนอันดับหนึ่งในเมืองหลวง จวนขานฟ้าเสียหายอย่างหนัก ไม่มีใครแบกคานได้อีกแล้ว

หนิงอี้เคยนั่งสนทนามรรคกับอ้อยอิ่ง หญิงคนนี้มีพรสวรรค์สุดยอดจริงๆ มีหวังได้สำเร็จมหามรรค มีนางอยู่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว รุ่นหนุ่มสาวยังต้องไว้หน้านางสามส่วน ตามหลักน่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เหตุใดตอนนี้ถึงได้อยู่ในสภาพจนตรอก

หนิงอี้กดคำถามในใจลง มองหญิงแบกกล่องพิณยักษ์ ผลักประตูจวนสื่อว่าข้างนอกเสียงดัง ให้ไปคุยในจวน

ภายในจวนขุนนางรองท่องกระบี่แปะยันต์กั้นเสียง และยังมีค่ายกลมากมายของเด็กสาวเสริมพลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัยหรืออำพราง ก็พึ่งพาได้ดีอย่างยิ่ง

พอเข้าจวนมาได้ อ้อยอิ่งก็พูดทันที

“คุณชายครามกับกายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่าสู้กันแล้ว”

หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย

“การต่อสู้ครั้งนี้สู้จากในจวนเขาครามจนมาถึงนอกจวนเขาคราม สองคนหยดเลือดต่อสู้ ตัดสินอย่างยุติธรรม ผู้อาวุโสไม่สอดมือ” อ้อยอิ่งพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “หลังจบศึกสำนักศึกษา คุณชายครามทะลวงขอบเขตที่เก้า มีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่เก้าแล้ว!”

บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายกดพลังบำเพ็ญมาตลอด รอการมาถึงของงานราชวงศ์ใหญ่ และการเปิดของหุบเขานิรันดร์หมายความถึงการกำเนิดของโชควาสนาต้าสุย พวกเขาจึงเริ่มไม่กดพลังบำเพ็ญกันอีก

ก่อนหนิงอี้ลงเขา เจ้าภูเขาน้อยพันกร คนตาบอดฉีซิ่วและศิษย์พี่สามเวินเทา ก็ได้เอ่ยถึงสถานการณ์ใต้ฟ้าต้าสุยปัจจุบันกับเขา นอกจากปีศาจรุ่นเยาว์สามคนนั้นที่เก่งกาจที่สุดแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์อื่น ส่วนใหญ่กดพลังบำเพ็ญตนเองอยู่ขอบเขตที่แปด

คุณชายครามก็เป็นหนึ่งในนั้น

ข่าวที่คุณชายครามทะลวงขอบเขตที่แปดเป็นสิ่งที่อ้อยอิ่งคาดไม่ถึง นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จากที่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคาดการณ์ คุณชายคราม คุณชายสมุทร คุณชายพลัดพราก ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน หรือต้องรอหลังศึกษาศิลาหุบเขานิรันดร์ถึงจะทะลวงขอบเขตที่แปดไปขอบเขตที่เก้าได้”

หนิงอี้หรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้าเย้าหยอก “เหตุใดถึงคาดการณ์เช่นนั้นล่ะ เพราะเจ้าคิดว่าตัวเองสูงกว่าพวกเขารึ”

อ้อยอิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนพูดเสียงเบา “ก่อนหน้านี้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวรับแรงกดดันมาตลอด ข้าไม่มีทางเลือก สำนักศึกษาให้ทรัพยากรกับข้าเยอะมาก หากแพ้ในศึกสำนักศึกษา เช่นนั้นข้าก็จะออกหน้า ใช้กำลังของข้าคนเดียวท้าสู้กับสามคุณชายใหญ่ เพื่อแลกโอกาสรอดชีวิตให้กับถ้ำกวางขาว”

หนิงอี้หยั่งเชิงถาม “เจ้าทะลวงขอบเขตที่เก้าแล้วรึ”

อ้อยอิ่งตอบอืม “แต่ต่างจากคุณชายคราม ข้าเดินวิถีดนตรี ก่อนขอบเขตที่เก้าจะฝึกได้รวดเร็วยิ่ง แต่จะค้างอยู่ขอบเขตที่สิบนานมาก”

หนิงอี้จดจำไว้เงียบๆ

“แต่บทสรุปของศึกนี้กลับเหนือความคาดหมาย เหลียนชิงเผยพลังบำเพ็ญขอบเขตที่เก้าแล้ว กลับเอาชนะกายวิญญาณอมตะหลิงสวินแห่งเขาศิลาเต่าไม่ได้”

หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย เขามองอ้อยอิ่ง

“ใช่”

“แต่เหลียนชิงก็ไม่ได้แพ้เช่นกัน” เสียงอ้อยอิ่งซับซ้อนเล็กน้อย “บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่าหลิงสวินเหมือนจะมีวิชาแปลกประหลาด วิชาของเหลียนชิงทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เขาก็ทำอะไรคุณชายครามไม่ได้เช่นกัน สองคนสู้กันที่ใต้เขาคราม เหลียนชิงกระบี่ยาวสี่เล่มหักหมด กระดองเต่าของกายวิญญาณอมตะแตก ไม่มีใครได้เปรียบใคร ศึกนี้เผยวิชาของเหลียนชิงไปเยอะมาก”

“แขกจากแดนบูรพาแกร่งขนาดนี้เชียว” หนิงอี้พลันรู้สึกสนใจขึ้น เขาเคยได้ยินซ่งอีเหรินเอ่ยถึงกายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่า เมถุนแห่งเขาล่องโอฬารรวมถึงเซียนกระบี่น้อยแห่งเขาเชียง…

แขกจากเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาพวกนี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ไม่นึกเลยว่าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงครั้งแรกก็ก่อคลื่นลมเช่นนี้

“เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

“ถ้าบอกว่าเขาศิลาเต่าไปหาจวนขานฟ้าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เช่นนั้นเรื่องที่กู้ชางกับจงหลีเจอก็หมายความว่า…แดนบูรพามาพร้อมกับเป้าหมายอันแรงกล้า” อ้อยอิ่งมองดวงตาหนิงอี้ “เมถุนสองคนแห่งเขาล่องโอฬารไปหากู้ชางกับจงหลี บังคับให้ต้องสู้”

“แพ้” หนิงอี้เอ่ยการคาดเดาของตน

“ใช่” อ้อยอิ่งเงียบไปเล็กน้อย “พวกเขาสองคนยังอยู่ขอบเขตที่แปด นี่เป็นข่าวที่ข้ารู้…ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติการบำเพ็ญของคุณชายสมุทรกับคุณชายพลัดพรากสู้สองคนนั้นแห่งเขาล่องโอฬารไม่ได้ แต่สำนักศึกษาวางแผนไว้ว่าจะตระหนักศิลาโบราณหุบเขานิรันดร์ก่อนค่อยทะลวงพลัง”

“สำนักศึกษาพันปี มีแต่พวกไม่เอาไหน” หนิงอี้พูดเชิงเย้ยเยาะนิดๆ “แม้แต่ทะลวงพลังยังต้องไปด้วยกัน ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

อ้อยอิ่งเงียบลง

“สี่แดนต้าสุย เมืองหลวงอยู่ตรงกลาง ตั้งแต่อดีตมา สำนักศึกษาอยู่ในเขตที่รุ่งเรืองของเมืองหลวง ทรัพยากรบำเพ็ญมีมากที่สุด ผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะปรากฏมาไม่ขาดสาย ตอนนี้แดนบูรพายิ่งใหญ่ พวกเขามาหาสำนักศึกษาก็เพื่อพิสูจน์ว่าในรุ่นเยาว์ พวกเขาแกร่งกว่าเมืองหลวง”

อ้อยอิ่งเอ่ยเสียงแหบ “เมืองหลวงไม่ได้เฝ้าระวัง หากรู้ว่าจะมีศึกนี้ บทสรุปคงไม่น่าเวทนาเช่นนี้”

หนิงอี้ยิ้ม “รุ่นเยาว์แดนบูรพาอยากพิสูจน์ว่าตัวเองแกร่งกว่าเมืองหลวง พิสูจน์ว่าตนเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า…เหตุใดพวกเขาไม่ไปหาเยี่ยหงฝู ไม่ไปหาเฉาหลัน และยังมีเซียนจุติแห่งที่พำนักเทพคนนั้นล่ะ พูดตรงๆ คือหยิบมะเขือนิ่มมาบีบ สำนักศึกษาตกอับ ถึงได้โดนแดนบูรพาเหยียบย่ำ”

ศิษย์สตรีถ้ำกวางขาวหลายคนข้างหลังอ้อยอิ่งหน้าเขียวอมแดง เกิดความละอายใจนิดๆ พูดไม่ออก

“ส่วนเจ้าที่ไม่มีใครมาหา…สองคนแห่งเขาล่องโอฬาร หนึ่งคนแห่งเขาศิลาเต่า ยังเหลือจากเขาเชียงอีกคน” หนิงอี้มองอ้อยอิ่งพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าจำไม่ผิด เซียนกระบี่น้อยแห่งเขาเชียงหวังอี้อายุน้อยมาก สิบสามหรือสิบสี่ปี เด็กน้อยยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ได้ยินว่าเข้าเขาเชียงก็ช้า ดังนั้นต่อให้เป็นอัจฉริยะมากกว่านี้ พลังบำเพ็ญก็ไม่สูงเท่าไร มาหาคนขอบเขตที่เก้าอย่างเจ้า หาเรื่องให้ตัวเองโดนดูถูกชัดๆ”

อ้อยอิ่งมีสีหน้าสบายใจ

“หลายวันมานี้มีคนไปๆ มาๆ นอกสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เหมือนอยากจะท้าสู้ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิก” ตอนที่อ้อยอิ่งพูดประโยคนี้ นางมีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์ใด “ไม่ว่าใครมาหาข้า พวกเขาก็จะไม่ชนะ”

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ท่านหญิงพิณ เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เก้า คนที่มาถึงก้าวนี้ได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่เจ้าน่าจะรู้ว่ามีคนฝึกแสงดารา และก็มีคนฝึกท่วงทำนอง”

“วัดด้วยเจตจำนงกระบี่ แม้หวังอี้จะอายุน้อย แต่ก็หมายความว่าเขามีเวลาสั่งสมแสงดาราน้อย พลังบำเพ็ญไม่สูงมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าขอบเขตเจตจำนงกระบี่ของเขาจะต่ำ” หนิงอี้ชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นแรกของปราณกระบี่สู้กับผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดได้ ขั้นสามเท่ากับขอบเขตที่เก้า หนึ่งขั้นหนึ่งชั้นฟ้า หากเขาเป็นอัจฉริยะที่สุดแห่งยุคจริงๆ กระบี่ในฝักตอนนี้ก็มีสองชั้นฟ้าแล้ว หลังศึกษาศิลาและทะลวงไปอีกขั้น เช่นนั้นปราณกระบี่ขั้นสามก็จะสู้กับเจ้าได้”

อ้อยอิ่งมองหนิงอี้เงียบๆ

“หากข้าเป็นเซียนกระบี่น้อยแห่งเขาเชียงหวังอี้ จะต้องรอจบการศึกษาศิลาหุบเขานิรันดร์แล้วค่อยมาท้าสู้เจ้าแน่นอน”

หนิงอี้เอ่ยจบก็มองท่านหญิงพิณ พบว่านางเผยรอยยิ้ม

“อะไรกัน ข้าพูดไม่ถูกหรือ”

หนิงอี้นึกไปถึงคำพูดตนเมื่อครู่ตามจิตใต้สำนัก งุนงงเล็กน้อย เขาพบว่าตนไม่ได้พูดอะไรไม่เหมาะสม แต่เหตุใดท่านหญิงพิณถึงยิ้มล่ะ

“คุณชายหนิงอี้ เจ้าพูดถูกต้องมาก”

“รบกวนเจ้าแล้ว” อ้อยอิ่งมองหนิงอี้ด้วยความชื่นชม ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าไม่กังวล เพราะต่อให้หวังอี้มีปราณกระบี่ขั้นสาม ก็สู้ข้าไม่ได้”

หนิงอี้ไม่แน่ใจ

หวังอี้มีปราณกระบี่ หรืออ้อยอิ่งจะไม่มีกลอุบายอื่นเลยหรือ

ก่อนหน้านี้นางก็บอกแล้วว่าตนฝึกวิถีดนตรี นี่ก็เป็นวิชาสังหารที่แกร่งที่สุด

“ข้ามาที่นี่ ไม่ใช่แค่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้กับคุณชายหนิงอี้ แต่อยากจะเตือนเจ้า การแสวงหาแต่เพียงขอบเขตแสงดารา…ไม่ใช่เรื่องดี” นางมองหนิงอี้พลางพูดจากใจจริง “พลังบำเพ็ญแสงดาราสูง ไม่ได้หมายความว่าจะมีอานุภาพสังหารแข็งแกร่ง”

หนิงอี้ย่อยคำพูดอย่างละเอียด

เขานึกไปถึงช่วงเวลาที่เดินทางกับสวีจั้ง

ทุกครั้งที่สวีจั้งออกกระบี่จะไม่ใช้แสงดารามากเท่าไร นี่เป็นการบดขยี้ด้วยขอบเขตปราณกระบี่

สังหารราชันดาราพลิกสมุทรได้ ไม่ใช่แค่กระบี่ฟาดที่มีพลังทำลายล้างยิ่งใหญ่นั้น พลังบำเพ็ญของพลิกสมุทรในตอนนั้นเหนือกว่าสวีจั้งไปไกลมาก แต่หลังสวีจั้งใช้ปราณกระบี่ก็สังหารผู้บำเพ็ญราชันดาราสิบอันดับแรกใต้ฟ้าต้าสุยได้!

นี่คืออานุภาพสังหาร

“อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยไหว้วานให้ข้านำหินศิลามาให้เจ้า” อ้อยอิ่งมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ตอนที่สำนักศึกษาปัดกวาดสุสานของท่านเคียงกระบี่ก็พบเศษหินศิลา ในนี้เหมือนจะมีของล้ำค่าบางอย่าง”

นั่นเป็นก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือ เล็กและเก่าแก่

หนิงอี้รับหินศิลามา

“หุบเขานิรันดร์จะเปิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ศิษย์สำนักศึกษาจะมาแจ้ง” อ้อยอิ่งโค้งตัว ก่อนพูดยิ้มๆ “ยุครุ่งเรืองนี้ จะขาดเจ้าไปได้อย่างไร”

หนิงอี้แสดงความเคารพกลับด้วยรอยยิ้ม

หลังส่งอ้อยอิ่งกลับ

ภายในจวนเหลือเพียงหนิงอี้กับเด็กสาว

เด็กสาวมองหนิงอี้หยั่งเชิงลองใช้จิตเชื่อมต่อหินศิลา

ทันใดนั้น กระบี่บินสามเล่มในทะเลวิญญาณของเขาก็สั่นไหวขึ้น

จิตไร้รูปเชื่อมต่อ หินศิลาในมือหนิงอี้ลอยขึ้นช้าๆ มีความเป็นเทพดึงฐานรากไว้

หินศิลาแตก ปราณกระบี่กระจาย

อักษรแถวเล็กค่อยๆ เขียนพู่กันขึ้น ขยายออกไปช้าๆ

‘เรานักกระบี่ ใฝ่หาเพียงปราณกระบี่ ไม่ใฝ่หาแสงดารา…รุ่งอรุณตระหนัก พลบค่ำสิ้นก็ไม่เกรง!’

………………………….

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท