ตอนที่ 180 หมอกหุบเขานิรันดร์เปิด เคียงกระบี่ตื่น
รุ่งอรุณตระหนัก…พลบค่ำสิ้นก็ไม่เกรง
หนิงอี้มองหินศิลานั้น ดูท่าศิษย์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคงขุดศิลาหินขนาดเท่าฝ่ามือนั้นออกมาได้ไม่นาน ในหินศิลานั้นยังมีกลิ่นอายดินใหม่ๆ อยู่เลย
ในหินศิลานี้ซ่อนปราณกระบี่ไว้บางๆ
หนิงอี้ใช้ทะเลวิญญาณเชื่อมต่อกับรูปปั้นหินเคียงกระบี่ ดูดปราณกระบี่ในหินศิลานี้เข้าไปในทะเลสาบจิต
เคียงกระบี่เป็นหนึ่งในยอดเซียนกระบี่ที่เป็นที่ยอมรับในต้าสุยสองพันปีมานี้ว่าแข็งแกร่งที่สุด ปีที่สำนักศึกษารุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด สามยอดเซียนกระบี่สำนักศึกษาที่มีเฉาผีแห่งจวนขานฟ้าเป็นผู้นำได้สร้างมรสุมที่แดนอุดร วางแผนการลึกลับ หมายปองจะทำลายการทะลวงพลังของเคียงกระบี่ แต่ก็ถูกเขาสังหารลงทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
จะเห็นได้ถึงความเฉียบคมของปราณกระบี่และความทรงพลังของอานุภาพสังหาร
หนิงอี้ไม่รู้ว่าขอบเขตปราณกระบี่มีทั้งหมดกี่ขั้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคียงกระบี่ยืนอยู่บนยอดสุด
หลังจากเชื่อมต่อทะเลวิญญาณ อักขระในหินศิลาที่วาดขึ้นด้วยปราณกระบี่ก็สลายเป็นสายลมอย่างรวดเร็ว ลอยล่องหายไป
หากคนอื่นได้ไปก็จะไม่เห็นอักษรเล็กปราณกระบี่นี้
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ด้วยนิสัยของท่านเคียงกระบี่ หากยึดมั่นจะฝากมรดกไว้ให้กับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจริงๆ ก็ไม่ต้องใช้วิธีเช่นนี้ ซ่อนไว้ในบางแห่ง รอชนรุ่นหลังค้นพบ เคียงกระบี่ในตอนนั้น ความเป็นเทพเหือดแห้งลงเร็วมาก แผนการลับทำให้เขาดับสูญไปในโลกนี้สำเร็จ ไม่อาจฝากร่มเงาผาสุกไว้ให้กับสำนักศึกษาได้
หินศิลานี้ ความจริงแล้วตอนที่เคียงกระบี่ปิดด่านบำเพ็ญฝึกฝนในแดนเทวาใหญ่ ก็ได้หยิบหินศิลามาสักก้อน อักษรแถวนี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาตระหนักรู้ได้โดยบังเอิญ ไม่นับว่าเป็นมหามรรคอะไร ต่อให้เห็น ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก
แก่นสำคัญที่แท้จริงคือปราณกระบี่นั้นในหินศิลา
…..
ลานบ้านจวนขุนนางรองท่องกระบี่เงียบงัน เข็มตกยังได้ยิน
หินศิลานั้นที่ลอยอยู่ตกลงกลางฝ่ามือช้าๆ แต่หนิงอี้กลับมีสีหน้าปกติ เขาหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดผ่านแก้ม เส้นผมแกว่งไกว ตัวแน่นิ่งเหมือนหินผา
เด็กสาวข้างกายเห็นดังนั้นก็วางยันต์จิตสงบแผ่นหนึ่งกับยันต์รวมวิญญาณอีกแผ่นไว้รอบตัวหนิงอี้
การตระหนักรู้
โชควาสนาที่หาได้ยากยิ่งนี้ จะเกิดขึ้นกับอัจฉริยะเท่านั้น
ช่วงนี้หนิงอี้เจอกับคอขวดบนการบำเพ็ญปราณกระบี่
เขาหยุดอยู่ขั้นแรก
และหินศิลานี้ของเคียงกระบี่ ปราณกระบี่ในนั้นเชื่อมต่อกับเขาพอดี ทำให้เขาจับเจอการทะลวงพลังเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง
“ผู้บำเพ็ญ มุ่งสู่ความตายและถือกำเนิด”
“เป็นนักกระบี่ หากมีเพียงแสงดารา แต่ไร้ปราณกระบี่ เช่นนั้นเมื่อฝึกถึงปลายทางก็จะเป็นเพียงความว่างเปล่า”
“บนเส้นทางบำเพ็ญ แสงดาราคือกาย ปราณกระบี่คือวิญญาณ สองสิ่งจะขาดสิ่งใดไปไม่ได้”
เสียงลอยล่องดังขึ้นในทะเลสาบจิตของหนิงอี้
หนิงอี้พลันตกใจตื่น เขาพบว่าตนอยู่บนเมฆ รูปปั้นเคียงกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือกระบี่บินสามเล่มนั้นราวกับถอดความเป็นหินออก มองตนด้วยรอยยิ้ม
ศาสตร์ลี้ลับมหามรรคเข้ามาอย่างเชื่องช้า
“หากใฝ่หาเพียงปราณกระบี่ ไม่มีแสงดารา ก็ไม่อาจจุดดาราชะตา ฝึกปราณกระบี่ถึงปลายทางก็ได้แค่ขั้นหก แม้จะอัจฉริยะกว่านี้ก็ยังมีขีดจำกัด”
หนิงอี้สับสนเล็กน้อย คำพูดนี้เตือนเขา เหมือนเอาน้ำมนตร์ราดศีรษะ
เขาฝึกแสงดาราช้ามาก ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล แสงดาราส่วนใหญ่จะต้องส่งให้ที่ราบกระดูก ให้ขลุ่ยกระดูกพัฒนาขึ้นไปในระหว่างคืนชีพ ต้องให้ตันเถียนน้ำวนความเป็นเทพนั้นในกายตนอิ่มท้องก่อนถึงจะใคร่ครวญเรื่องการทะลวงพลัง…ปัญหานี้ทำให้หนิงอี้เป็นทุกข์มาก ขลุ่ยกระดูกหล่อหลอมกายและจิตได้ ให้ประโยชน์มากมาย แต่ต้องการทรัพยากรมากเกินไป ยากจะควบคู่กันไปได้
ขอบเขตที่แปด ขอบเขตที่เก้าหลังจากนี้ จะทำอย่างไร
อ้อยอิ่งมาที่จวน คำพูดพวกนั้นของนางทำให้หนิงอี้เกิดความคิดหนึ่ง
เซียนกระบี่น้อยหวังอี้แห่งเขาเชียง อายุน้อยมาก แต่มีกำลังรบแข็งแกร่งมาก เพราะขอบเขตปราณกระบี่สูงจนไร้เหตุผล ผู้บำเพ็ญอายุเท่ากัน เป็นนักกระบี่ได้ก็เป็นขนหงส์เขากิเลนแล้ว จากข้อมูลในเมืองหลวง หวังอี้เป็นนักกระบี่สองชั้นฟ้า ขอบเขตปราณกระบี่ ทุกหนึ่งขั้นหนึ่งชั้นฟ้าจะมีความต่างกันอย่างยิ่ง
หากตอนนี้หนิงอี้เป็นศัตรูกับหวังอี้ หากไม่ใช้ความเป็นเทพ มีโอกาสสูงมากที่จะถูกเซียนกระบี่น้อยที่มีปราณกระบี่สองชั้นฟ้าสยบลง
หากหนิงอี้ก็แสวงหาปราณกระบี่สูงสุดเหมือนกันล่ะ
คำพูดนั้นเมื่อครู่ของเคียงกระบี่เป็นการเตือน
แม้ขอบเขตปราณกระบี่จะมีอานุภาพสังหารแข็งแกร่ง แต่นี่เป็นการพัฒนาที่ไม่สมดุล หากหนิงอี้แสวงหาแต่ปราณกระบี่ ไปถึงขั้นหก ก็เท่ากับไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบ ก็จะไม่มีทางพัฒนาไปได้อีก
เงื่อนไขของปราณกระบี่ขั้นเจ็ดจะต้องจุดดาราชะตา
วิชาลับและแสงดารา สองเส้นทางนี้ปูไปด้วยกัน เหมือนดอกไม้ที่ขึ้นบนต้นงิ้วด้วยกัน ฝึกแค่อย่างเดียว แสวงหาจุดสูงสุด ก็จะเจอกับคอขวดที่ไม่อาจข้ามผ่านได้
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร”
หนิงอี้ยืนตรงหัวสะพาน มองเคียงกระบี่ทางนั้นของเมฆหมอกพลางถามอย่างจริงจัง
รูปปั้นหินตอบด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อทุกอย่างพร้อม จะผ่านไปได้อย่างราบรื่นเอง”
หนิงอี้จนปัญญานิดๆ
ความจริงนี่เป็นคำตอบที่มีก็ดีกว่าไม่มี คำพูดนี้เหมือนกำลังโน้มน้าวให้หนิงอี้ยอมรับชะตา ควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
เคียงกระบี่ที่นั่งตรงหัวสะพานเหมือนรู้สึกได้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย มองทอดไกลผ่านเมฆหมอกหลายชั้น ราวกับกำลังมองทิวทัศน์โลกภายนอกพลางพูดงึมงำ “หนิงอี้ เจ้ารู้หรือไม่ หุบเขานิรันดร์อยู่มานานมากแล้ว…ตอนที่ข้ายังฝึกบำเพ็ญ หุบเขานิรันดร์ก็อยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
หลังเขาออกจากภูเขาคราม รูปปั้นหินเคียงกระบี่ก็ไม่ตอบสนองอีกเลย กระบี่บินสามเล่มที่ทับอยู่นั้น ตอนที่หนิงอี้สู้กับหานเยวียที่ภูเขาแดงและกำลังเข้าตาจนนั้น เขาก็เคยปลุกตื่นยอดอาวุธสังหาร แต่ก็พบว่ารูปปั้นหินนี้กดทับไว้แน่น ใช้ไม่ได้เลย
เดิมทีเขาคิดว่าผู้อาวุโสท่านนี้สลายเป็นสายลมไปแล้ว ทุกอย่างดับสูญไปในศึกนั้นกับราชาเพลงปราชญ์บนฟ้าเขาคราม ไม่เหลืออะไรเลย…หรือนี่จะเป็นดวงวิญญาณกัน
“รู้สึกได้ แต่ก็แค่รู้สึก” เสียงของเคียงกระบี่ไม่มีความสุขทุกข์ปะปนเลยแม้แต่นิด เหมือนกำลังเล่าเรื่องหนึ่ง
เคียงกระบี่เอ่ยราบเรียบ “หุบเขานิรันดร์เปิดแล้ว”
สายลมข้างนอกเหมือนจะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย
กฎเหล็กบนฟ้าเมืองหลวง ยันต์สีแดงฉานนั้น หลังสายลมพัดผ่านก็สดใหม่ขึ้นหนึ่งสองส่วน
พลันเกิดพายุพัดเข้ามา
พัดเมฆหมอกบนภูเขาสูงยิ่งบางแห่ง ทำให้มันเผยโฉมหน้าแท้จริงมุมหนึ่งในสายตาปุถุชน
จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ผู้บำเพ็ญมากมายที่รออยู่ในจวน ตอนนี้ลืมตาขึ้น รู้สึกได้ในใจ สายตามองไปทางที่หมอกบดบังมุมเขา
รถม้าดอกบัวสีดำหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งของเมืองหลวง กายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่า เมถุนแห่งเขาล่องโอฬาร เซียนกระบี่น้อยแห่งเขาเชียง คนและม้าบนถนน ตอนนี้สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง
เหมือนมีอะไรเพิ่มมาบางอย่าง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่เหมือนกับฝนใบไม้ผลิเข้าสู่ยามราตรี
ความหนาวเหน็บผ่านพ้นไป ใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้ผลิบาน
พายุพัดผ้าบางชั้นหนึ่งออก
เด็กสาวนั่งในลานบ้านเล็ก มองต้นครามหมื่นปีที่วางบนสันกำแพงลานบ้าน ใบไม้ยาวขยับ โค้งตัวไปทางนั้นเหมือนก้มศีรษะ และเหมือนแสดงความเคารพสูงสุด
เด็กสาวไม่ต้องเขย่งเท้าก็ชูสองมือสูงหยิบต้นครามหมื่นปีลงมาได้ นางกอดใบเขียวพลางพูดอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นดอกไม้ของสวีจั้ง จะก้มหัวให้คนอื่นไม่ได้”
หลังพูดจบ ต้นครามหมื่นปีก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง เด็กสาวยกมานิ้วหนึ่ง ดีดใบยาวเบาๆ ก่อนจะวางลงบนสันกำแพงอีกครั้ง
ใบเขียวที่อาบสายลมใบไม้ผลิขยับไปทางในลานบ้าน
หนิงอี้ในลานบ้านเหมือนยังอยู่ในสภาวะตระหนักรู้
……
“นับจากข้าในตอนนั้นก็ผ่านไปสองพันปีแล้ว สหายเก่าตายจาก ยุคสมัยเปลี่ยนไป จักรพรรดิต้าสุยเปลี่ยนไปหลายท่าน” เสียงเคียงกระบี่ดังขึ้นในทะเลสาบจิต มีความปลงเสี้ยวหนึ่ง
“คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ที่ข้ารู้จักดีในตอนนั้น ตอนนี้ต้องหลับใหลไปชั่วนิรันดร์แล้วแน่ๆ”
หนิงอี้ได้ฟังคำพูดของเคียงกระบี่แล้วพลันรู้สึกซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
สองพันปีมานี้ ความเป็นเทพเหือดแห้งจึงเสียจิตสำนึกรู้ตัวไป ตอนนี้บังเอิญได้หนิงอี้ส่งความเป็นเทพให้อีกครั้ง
“ท่านเคียงกระบี่ ท่านยังมีโอกาสคืนชีพอีกหรือไม่”
หนิงอี้มองเคียงกระบี่พลางกำหมัดแน่น
เคียงกระบี่ส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ห่างไกลเกินไป ข้าไม่รู้ ตอนนั้นข้าไม่ได้ตาย เพียงแค่ตอนทะลวงพลัง ความเป็นเทพเหือดแห้ง ดังนั้นปราณกระบี่จึงผนึกกายเนื้อ แล้วก็ผ่านมาสองพันปี หากความเป็นเทพมากพอ…บางที ข้าอาจจะมีโอกาสคืนชีพกลับมาได้จริงๆ”
หนิงอี้ตาเป็นประกาย
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่อยากคืนชีพมาแล้ว สภาพเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับข้า” เคียงกระบี่กดเสียงต่ำลง เขายิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว ตื่นขึ้นมาจะมีความหมายอะไร”
“หนิงอี้ ช่วงนี้เหมือนเจ้าจะได้โชควาสนาใหม่มารึ เดิมทีวิญญาณข้าเข้าสู่ห้วงหลับใหล บ่มเพาะอยู่บนฟ้าบ่อความเป็นเทพแท้ๆ แต่กลับตื่นขึ้นมาได้” เคียงกระบี่ตรวจสอบทะเลสาบจิตของหนิงอี้ เขาเห็นบ่อน้ำเล็กจากที่ราบกระดูก กระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศที่ชิดกับขอบบ่อน้ำทำให้เคียงกระบี่ตาเป็นประกาย
เขาหรี่ตาลง พูดอย่างจริงจัง “เจ้าของกระบี่โบราณเล่มนี้มีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่เท่าฟ้า ศักยภาพแข็งแกร่งยิ่ง อย่างน้อยนางก็เดินบนเส้นทางชีวิตนิรันดร์ได้ไกลกว่าข้า”
นี่คือกระบี่โบราณของผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ ผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงนั้นอยู่ในโลกมนุษย์ได้แปดร้อยปี จนถึงตอนนี้ในสำนักเต๋า กระทั่งใต้ฟ้าต้าสุย ยังไม่มีใครแซงนางได้
หนิงอี้ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “ก่อนหน้านี้ข้าไปแดนอุดรถึงได้มีพวกนี้”
สวีชิงเยี่ยนอยู่ทางนั้นของขลุ่ยกระดูก เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด นางจึงส่งความเป็นเทพออกมาทั้งหมด ใส่เข้าไปในบ่อน้ำได้พอดี ดังนั้นถึงได้ปรากฏแดนเทวาแดนผาสุกที่มีความเป็นเทพสมบูรณ์ที่นี่
“ข้าหลับใหลมานานมาก ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ค่อยๆ ทำความคุ้นชิน…ความเป็นเทพที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกสบายมาก” เคียงกระบี่พูดพึมพำ “บางทีร่างข้าอาจจะสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่ดวงจิตยังอยู่ ข้าเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาแดงแล้ว”
หนิงอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่รบกวนผู้อาวุโสพักผ่อน”
เขาไม่รู้ว่าตอนที่ตกจากภูเขาแดง หากไม่มีซ่งอีเหรินอยู่บนยอดเขา เคียงกระบี่ก็เตรียมจะรับช่วงต่อร่มกระดาษมัน ทำการฆ่าล้างครั้งใหญ่ในวงล้อมคลื่นสัตว์ปีศาจ
เคียงกระบี่ยิ้ม ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น
ชั่วครู่ต่อมา
เคียงกระบี่มองหนิงอี้ก่อนจะโยนคำถามหนึ่ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหุบเขานิรันดร์คืออะไร”
………………………….