เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกติดใจกับคำพูดนั้น นางจึงเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับมองไปทางต้นเสียง
หญิงฐานะร่ำรวยแต่งตัวดูดียืนอยู่ใกล้ๆ พร้อมสะพายกระเป๋าถือไว้บนไหล่ซ้าย มือขวาของนางจับมือของเด็กชายตัวอวบอ้วนหน้าตาเซ่อซ่าอยู่
เด็กคนนั้นอ้วนเกินไป แต่เขาก็ยังเลียไอศกรีมแท่งอย่างมีความสุข บางทีการเลี้ยงดูของเขาอาจจะมีปัญหาก็เป็นไป เพราะเจ้าตัวอ้วนนี่เอาแต่มองคนอื่นด้วยสายตาบึ้งตึงอย่างมาก เขาคงได้รับอิทธิพลมาจากความเย่อหยิ่งของผู้เป็นแม่ จึงคิดว่าตัวเองอยู่สูงและคอยแต่จะดูถูกผู้อื่น
“แม่ครับ คนบ้านนอกพวกนี้เป็นใครหรือ”
เขาดูอายุมากกว่าเฮ่อเหลียนชิงเฉิงเล็กน้อย แต่ตอนที่เอ่ยปากพูดก็ยังไม่ลืมที่จะปรายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกด้วย
หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นหัวเราะเสียงเบา คำพูดของนางชัดเจนอยู่แล้วในตัวเอง ”ลูกเรียกพวกเขาว่าคนบ้านนอกได้ยังไง เธอเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของแม่สมัยเรียน แต่ตอนนี้เธอก็แค่ถังแตกต่างหาก ลูกห้ามดูถูกพวกเขาเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม”
ถังแตกหรือ เด็กชายตัวน้อยหัวเราะ เขารู้สึกรังเกียจที่จะผูกมิตรกับเด็กอ้วนคนนั้น ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เวยเวยคนสวย ผมขอตัวเข้าเรียนก่อนล่ะ จำที่ผมพูดไว้ด้วยล่ะว่าอย่าไปเตร็ดเตร่ที่ไหน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยู่เสมอว่าสีหน้าบนใบหน้าของลูกชายคล้ายกับองค์ชายอยู่มากทีเดียว ดังนั้นนางจึงรีบพยักหน้าโดยไม่ต้องตอบ
หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นมองปฏิกิริยาของทั้งคู่แล้วหัวเราะออกมาทันที ”เวยเวย ไม่เจอหน้ากันสามปี ตอนนั้นเธอเป็นถึงคนดังของมหาลัย และยังเป็นคนที่สามารถพลิกสถานการณ์ทุกอย่างได้อย่างง่ายดายด้วยไม่ใช่หรือ ฉันคิดว่าตอนนี้เธอจะได้เป็นทนายแล้วเสียอีก แต่ดูจากที่เห็นแล้วมันคงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นกระมัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมอง ในเวลาเดียวกันนั้นรอยยิ้มของนางก็พลันเหยียดกว้างขึ้น ”ใช่ ฉันไม่ได้เป็นทนาย ทำไมหรือ การเป็นทนายมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม ก็ไม่เชิง” หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นดูสง่างามทุกครั้งที่นางเอ่ยปากพูด ”ฉันก็แค่อยากคุยกับเธอเพราะพวกเราไม่ได้เจอกันนานเท่านั้นเอง ฮิๆ ถ้าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นทนาย แล้วทำอะไรอยู่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแผ่นหลังของลูกชายที่กำลังเดินเตาะแตะเข้าไปในโรงเรียน เมื่อไม่มีความจำเป็นให้นางอยู่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลต่อ นางจึงตอบอย่างไม่แยแสยว่า ”อู่ซ่อมรถ”
“อู่ซ่อมรถ?” หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นถามเสียงสูงติดจะอวดดี ก่อนที่จะหัวเราะขึ้น ”เอ่อ เธอลงลำบากมากเลยสินะ เวยเวย สามีของฉันร่วมลงทุนสร้างโรงเรียนอนุบาลนี้ขึ้นมา แล้วตอนนี้เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงเรียนอีกด้วย ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกได้เลยนะ บางครั้งความมั่นใจในตัวเองก็ไม่มีค่ามีราคาอะไรมากนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว ”ไม่ล่ะ ขอบใจ”
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงมีสีหน้าไร้กังวลเฉกเช่นเดิม หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นก็นึกถึงสมัยที่นางอยู่มหาลัยขึ้นมาได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ นางมักจะโดดเรียนและดูลึกลับอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่นางปรากฏตัวขึ้น ความสนใจของทุกคนจะถูกนางขโมยไปในทันที
สมัยนั้นมีนักศึกษาในมหาลัยหลายคนพยายามจีบเฮ่อเหลียนเวยเวย จนถึงทุกวันนี้ หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นก็ยังรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่นางคิดถึงจำนวนคนที่ชื่นชมในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย
ถ้าคนที่เคยชื่นชมนางรู้ว่าอดีตหัวกะทิของคณะนิติอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นกำลังทำกิจการอู่ซ่อมรถอยู่ละก็ มันจะต้องกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาแน่
ดูเหมือนว่าต้องหาเวลาไปพบปะสังสรรค์กับทุกคนหน่อยแล้ว
หญิงฐานะร่ำรวยส่งกระเป๋าตัวเองให้พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลัง ก่อนบอกกับเด็กอ้วนว่า ”ถ้ามีใครรังแกลูก ลูกต้องบอกให้แม่รู้นะเข้าใจไหม ลูกต้องเชื่อฟังคุณครู แล้วก็ห้ามกินขนมในห้องเรียนด้วย”
“แล้วแม่จะมารับผมทันทีที่โรงเรียนเลิกใช่ไหม” เด็กอ้วนติดแม่มาก เขาเบะปากก่อนจะพูดต่อ ”ทำไมโรงเรียนที่พ่อลงทุนด้วยถึงยอมรับเด็กบ้านนอกแบบหมอนั่นเข้ามาล่ะครับ เขาหล่อกว่าผมมากๆ เลย แบบนี้เขาก็กลบรัศมีผมหมดสิ”
หญิงฐานะร่ำรวยคนนั้นหัวเราะ ”พอได้แล้ว ยังไงลูกกับเขาก็มีพื้นฐานครอบครัวต่างกัน อีกอย่างเขาจะไปดีกว่าเสี่ยวหังของเราได้ยังไง ลูกสูงกว่าเขาตั้งคืบแน่ะ”
เมื่อได้ยินคำชมนั้น เด็กอ้วนก็ยืดอกและเชิดปลายคางขึ้น
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหัวเราะเมื่อพวกเขาได้ยินบทสนทนานี้ ลูกชายของคุณสูงกว่าเขาก็จริง แต่ทำไมคุณไม่บอกด้วยล่ะว่าลูกของคุณอ้วนกว่าเด็กคนนั้นถึงสามเท่า
ส่วนเรื่องหน้าตา ทุกคนที่มีตาย่อมมองออกว่าเด็กอ้วนคนนี้เทียบกับเด็กผู้ชายอีกคนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ถ้าเด็กถูกเลี้ยงดูมาอย่างบิดเบี้ยว เขาอาจจะชั่วร้ายยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
ตัวอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ก็คือเด็กอ้วนแซ่เฉิงผู้นี้ เขามักจะหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าของเฮ่อเหลียนชิงเฉิง ดังนั้นเขาถึงจงใจบอกทุกคนในชั้นเรียนว่าบ้านของอีกฝ่ายเปิดอู่ซ่อมรถ
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงไม่คิดที่จะสนใจเด็กอ้วนด้วยซ้ำ เมื่อมองจากที่ไกลๆ แล้ว เด็กชายดวงตาสีดำคู่โตเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นว่าพวกมันไม่เหมือนกับตาของมนุษย์ธรรมดา แสงสีทองที่แผ่ออกมาจากนัยน์ตาของเขาทำให้พวกมันดูคล้ายกับตาแมวที่สว่างไสวเป็นประกาย ผมหน้าม้าบนหน้าผากที่ได้รับการเล็มมาเป็นอย่างดีปรกลงปิดบังดวงตาของเขาตอนที่เขาเคลื่อนสายตาลง
“เสี่ยวเฮย กลับมานี่” ไม่มีใครได้ยินคำสั่งของเขา
นอกจากสุนัขปีศาจที่กำลังจะยื่นกรงเล็บของมันออกไปฉีกเด็กอ้วนคนนั้นเป็นชิ้นๆ
ไม่มีใครมองเห็นภาพนี้
เด็กชายตัวน้อยยื่นมือออกไปลูบขาของสุนัขปีศาจ ร่างเล็กๆ ของเขาสูงเพียงแค่ต้นขาของมันเท่านั้น ”เราจะฆ่าคนตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนไม่ได้ อีกอย่าง โรงเรียนก็น่าเบื่อมากทีเดียว มีของไว้เล่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ในขณะเดียวกันนั้น ริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ทว่ากลับดูชั่วร้ายอย่างมาก
เด็กตัวเล็กๆ พวกนี้น่ารักอย่างมาก หลังจากการเรียนการสอนในช่วงแรกสิ้นสุดลง ทุกคนก็แนบศีรษะลงกับโต๊ะตัวเล็กของตัวเองเพื่อพักผ่อนทันที
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงกำลังหลับอยู่เช่นกัน ใบหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มนั้นจึงยิ่งดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานนัก เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาเพื่อเอาขนมมาให้ เธออยากอยู่ข้างเขาระหว่างรอผู้ใหญ่มารับหลังเลิกเรียน
เด็กอ้วนแซ่เฉิงไม่พอใจ ทันทีที่เลิกเรียน เขากับเพื่อนๆ จึงตรงเข้ามาล้อมเฮ่อเหลียนชิงเฉิงเอาไว้ ”ไอ้บ้านนอก ฉันขอเตือนให้นายฟังที่ฉันพูด แล้วเรียกฉันว่าลูกพี่ซะ ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่!”
เด็กอ้วนแซ่เฉิงอายุมากที่สุดในหมู่พวกเขา ดังนั้นเขาจึงใช้น้ำเสียงเช่นเดียวกันกับพวกผู้ใหญ่
สีหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนชิงเฉิงขณะมองอมยิ้มที่ตกอยู่ข้างเท้า เวยเวยคนสวยอนุญาตให้เขากินขนมได้แค่สัปดาห์ละครั้งเพื่อป้องกันฟันผุ ดังนั้นอมยิ้มไม้นี้จึงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะได้มาง่ายๆ แต่มันกลับต้องมาเสียไปเพราะเรื่องนี้!
ดี ดีมาก!
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงจ้องเด็กอ้วนแซ่เฉิง ก่อนจะแยกเขี้ยวออกมาอย่างช้าๆ พลังอันรุนแรงราวกับว่ามีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นภายใต้ดวงตาคู่นั้น
ตอนนั้นเองที่คุณครูเดินเข้ามาในห้องเรียน เธอปรบมือเข้าหากันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักว่า ”เอาล่ะเด็กๆ ใกล้ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว รีบมาต่อแถวเร็วเข้าจ้ะ เราจะได้ไปทานอาหารเที่ยงกัน”
ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนชิงเฉิงจึงตั้งสติได้ เขาต้องไม่ก่อเรื่องในโรงเรียน แม้เขาจะอยากสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กอ้วนคนนี้ แต่เขาก็ต้องรอจนกว่าพวกเขาจะออกไปจากโรงเรียนก่อน ไม่อย่างนั้นเวยเวยคนสวยจะต้องรู้เรื่องนี้เข้า และมันไม่คุ้มกับปัญหาที่จะตามมาหลังจากนั้น
หลังจากคิดได้เช่นนี้ เฮ่อเหลียนชิงเฉิงจึงจัดการสลายพลังของตัวเอง เขาหยิบถ้วยใส่ข้าวใบเล็กๆ ของตัวเองพร้อมกับเป่าเบาๆ ระหว่างที่เดินไปต่อแถว
เขาเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุด และยังเป็นคนที่เตี้ยที่สุดอีกด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมถูกจัดให้อยู่หัวแถว
เด็กอ้วนแซ่เฉิงมองสีหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับคิดว่าเขาคงทำให้คู่ต่อสู้กลัวจนหัวหดได้ในที่สุด เขารู้สึกภูมิใจอย่างมาก แล้วจัดการกวาดข้าวสามถ้วยลงท้องในคราวเดียว!
ในขณะที่เฮ่อเหลียนชิงเฉิงกำลังจัดการอาหารของตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถแลมโบกินีสีดำรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้วพุ่งเข้ามาจอดที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม…