ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! – ตอนที่ 20 ความบังเอิญที่เหลือเชื่อจนเกินไป

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ชักใย ชายคนนี้พูดเรื่องอะไรกัน? วาคาดะ ซายูริเอียงคออย่างฉงน อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เด็กสาวถาม โนอาได้ใช้มือแตะไปที่หน้าผากของตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงนุ่มลึก

“ว่ากันว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เกิดมาเท่าเทียมกัน แต่มนุษย์บางจำพวกก็เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่นมากนัก”

น้ำเสียงของโนอาดูเคร่งขรึม จริงจัง แต่ขณะเดียวกันก็ดูสงบและเยือกเย็น

“พระเจ้ามองว่าคนพวกนั้นเป็นดั่งลูกรักของตน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ใช่แล้ว ด้วยความที่ผมพิเศษกว่าคนอื่นๆ ผมจึงรับรู้ถึงความผิดปกติรอบๆ ตัวคุณได้ในทันทีที่มอง”

ไอ้หมอนี่มันเพ้อเจ้ออะไรของมัน ยูริยังคงฉงน

ตกลงว่าไอ้หมอนี่นอกจากจะดูลึกลับแล้วยังเบียวอีกด้วยงั้นหรือ? แบบพวกที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกของโลกใบนี้ จุดศูนย์กลางของความวุ่นวายทั้งมวลหรืออะไรแบบนั้น

“ช่วงนี้คุณรู้สึกบ้างไหมว่าความบังเอิญต่างๆ เกิดขึ้นรอบตัวคุณมากเกินไป ไม่ว่าคุณจะพยายามทำอะไรทุกๆ อย่างมันก็ดูออกมาดั่งใจหมด”

คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวฉุกคิดขึ้นมา ถ้าเกิดว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดล่ะ ในโลกที่มีเวทมนตร์ สิ่งเหนือธรรมชาติและพลังลึกลับ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกก็ได้

ความบังเอิญ…

เมื่อคิดถึงจุดนั้น ร่างของเด็กสาวก็พลันเย็นวาบขึ้นมา ความทรงจำของเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัว

ความทรงจำในช่วงสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่เธอกำลังคิดหาวิธีในการเดินทางมายังเมืองรัตติกาลอีกครั้ง และมิสเตอร์ไบรอันก็บังเอิญติดเชื้อวัณโรคตายจนทำให้เธอต้องเดินทางมาที่นี่

ความบังเอิญตอนที่เธอไปซื้อของที่ตลาดและได้รับมีดมาจากพ่อค้าขายมีดและมันบังเอิญเหลือเล่มสุดท้ายพอดี

ความบังเอิญตอนที่เธอกำลังจะเดินทางไปยังเขตสลัมแล้วเจอกับรถม้าของมาร์คัส

ความบังเอิญตอนที่เธอดันไปเจอกับเด็กไร้บ้านสองคนนั้นพอดี แถมอีกฝ่ายยังมาหาเธอด้วยตัวเองอย่างจงใจ

ทั้งหมดนั่นคือเหตุการณ์ที่ถูกใครบางคนกำหนดเอาไว้แล้วอย่างงั้นหรือ?

เมื่อคิดไปคิดมาความบังเอิญพวกนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อจนเกินไปจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญด้วยซ้ำ

ราวกับตระหนักได้ว่าสีหน้าของตนซีดเผือดเพียงใด เด็กสาวพยายามทำใจให้เย็นลง ก่อนจะพูดกับโนอาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

ความหวาดกลัวบางอย่างเกาะกินหัวใจ มันคือความกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้และไม่เข้าใจ

“คุณ—คุณเห็นอะไรในตัวของฉันกันแน่”

เธอตระหนักได้ว่าเสียงของตนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเพียงใด แต่เธอไม่สามารถทำใจให้สงบได้ในสถานการณ์แบบนี้เลย

อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกและสบายหูราวกับจะสะกดให้ใจเย็นลง

“เส้นด้ายสีทองนับไม่ถ้วนพันแขนพันขาของคุณ ขณะที่กรรไกรสีเงินและขาวพยายามจะตัดเส้นด้ายพวกนั้น”

น้ำเสียงของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างเลยล่ะ

“กรรไกรและด้ายต่างต่อสู้กันเองและยังไม่มีฝั่งไหนได้รับชัยชนะ”

“ด้ายคือสิ่งที่พยายามควบคุมคุณอยู่ ส่วนกรรไกรคือพลังบางอย่างของผู้ปรารถนาดีที่จะตัดการควบคุมเหล่านั้น”

วาคาดะ ซายูริตัวสั่นเทา

อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรด้วยเจตจำนงของตัวเองเลย แล้วที่เธอตัดสินใจเดินทางไปยังเขตสลัมนั่นเกิดจากตัวเองรึเปล่า?

บางทีที่เธอตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นในครั้งนั้นอาจจะเกิดจากการชี้นำของใครบางคน ใครบางคนที่เธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ต้องการอะไร และทำไมต้องเป็นเธอ

“อย่ากังวล คุณสามารถตัดการเชื่อมโยงของตัวคุณกับเส้นด้ายพวกนั้นได้”

โนอายิ้มนุ่มลึกเป็นการปลอบใจ

“โชคดีที่ผมเป็นคนพิเศษ ผมจึงมองเห็นความพิเศษในตัวคุณได้ ผมรู้สึกได้ว่าคุณมีบางสิ่งที่น่าสนใจ ถ้าโลกนี้เป็นนิยาย เราทั้งคู่คงเป็นตัวเอกของโลกใบนี้”

ฮ่าฮ่า หลงตัวเองซะไม่มี

ยูริยิ้มแห้ง ก่อนจะถามออกไป

“แล้วฉันจะตัดการชักใยนี่ออกได้ยังไง ใครกันคือคนที่ชักใยชะตากรรมของฉันอยู่”

หลังจากถามคำถามนั้นออกไป ชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าคนพิเศษคนนั้นก็ได้มองหน้าเธอนิ่งๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด

“…มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว”

อันตราย? อันตรายอะไร? ซายูริเอียงคออย่างสับสน จะมีอะไรอันตรายไปกว่าการที่ชะตาชีวิตของตัวเองถูกควบคุมอีก?

“สำหรับคำถามแรกที่ถามว่าทำยังไงให้หลุดจากการควบคุมของเส้นด้ายเหล่านั้น ผมขอแนะนำให้คุณทำสิ่งที่คุณคิดจะทำก่อนหน้านี้”

ถ้อยคำน่าสงสัยเหล่านั้นทำให้เด็กสาวครุ่นคิดอย่างสับสน สิ่งที่เธอคิดจะทำก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?

ใช่เรื่องที่อยากจะออกไปซื้อน้ำผลไม้เย็นๆ มาดื่มรึเปล่า?

“เอ่อ การตัดเส้นด้ายที่คอยควบคุมชะตากรรมของฉันคือการดื่มน้ำผลไม้ให้มากๆ เหรอ?”

เธอสังเกตุเห็นว่ามุมปากของโนอากระตุกแผ่วเบา

“…เปล่า ผมคงใช้คำคลุมเครือไปหน่อย จำได้รึเปล่าว่าก่อนหน้านี้คุณเข้าไปทำอะไรในเขตสลัมน่ะ”

คราวนี้วาคาดะ ซายูริก็ต้องตกใจอีกครั้ง

เขารู้ได้ยังไงว่าเธอเคยเข้าไปในเขตสลัมมาก่อน เธอไม่เคยบอกใครเลยเพราะมันอันตรายเกินกว่าที่จะบอก

แถมทุกๆ ครั้งที่เธอเข้าไปเธอมักจะปลอมตัวเสมอๆ เลยด้วย แล้วชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงรู้เรื่องของเธอได้

ยูริสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความลึกลับ ความลึกลับบางอย่างที่น่าสะพรึง หรือบางทีเธออาจจะแค่คิดไปเองก็เป็นได้

“…ใช่ ฉันเคยเข้าไปในเขตสลัมมาก่อน ตอนนั้นฉัน…”

ฉันตั้งใจที่จะก่อความวุ่นวายและทำให้คนฆ่ากันเอง

ยูริกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ เธอไม่แน่ใจว่าควรบอกอีกฝ่ายในเรื่องนี้ดีรึเปล่า

“…ฉันตั้งใจที่จะก่อตั้งศาสนาและก็ชักจูงผู้คนให้มาเคารพบูชาฉัน”

นั่นคือเหตุผลอีกข้อ ตอนแรกก็กะว่าจะหาเรื่องฆ่าคนพวกนั้นอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ เธอดันแสดงตัวว่าเป็น ‘ข้ารับใช้แห่งเทพ’ ไปซะอย่างงั้น

“อืม…ใช่ วิธีการตัดเส้นด้ายที่คอยควบคุมชะตากรรมของคุณอยู่คือวิธีการนั้นแหละ”

อย่าบอกนะว่า

ยูริเอียงคออย่างฉงน

วิธีการตัดเส้นด้ายพวกนั้นคือการที่เธอจะต้องสร้างองค์กรทางศาสนาหรืออะไรแบบนั้นขึ้นมาเหรอ? มันเกี่ยวอะไรกัน?

“ถ้าอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของผู้ชักใย คุณจะต้องสร้างลัทธิขึ้นมา แน่นอนว่าอนาคตคุณควรทำให้มันกลายเป็นศาสนาซะ”

โนอายืนยันความคิดของเธอด้วยคำพูดนั้น

“การทำแบบนั้นจะช่วยให้เส้นด้ายแห่งโชคชะตาถูกตัดขาด ยิ่งศาสนาของคุณใหญ่เท่าไหร่ก็จะตัดเส้นด้ายแห่งชะตากรรมได้มากเท่านั้น”

ถึงจะดูไม่น่าเชื่อถือก็เถอะ…แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย ถึงยังไงซะเธอก็ต้องการทำแบบนั้นอยู่แล้ว

“สำหรับคำถามที่สอง คนที่คอยควบคุมชะตากรรมของคุณเป็นใคร ผมคงบอกไม่ได้ในตอนนี้ การบอกคุณในตอนนี้เป็นเรื่องอันตราย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ”

คำตอบของโนอาดูราวกับนักต้มตุ๋นไม่มีผิด มันเป็นคำตอบที่ชวนให้รู้สึกฉงนสงสัยเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก แต่ตอนนี้ยูริก็รู้ตัวดีว่าเธอทำอะไรไม่ได้มากนัก

“ตอนนี้ด้ายพวกนั้นยังไม่แฝงเจตนาร้ายเอาไว้มากนัก”

โนอาพูดเพื่อทำให้เธอสบายใจขึ้น

“คุณยังไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันในตอนนี้”

เฉพาะตอนนี้…เด็กสาวกลืนน้ำลายเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ฮันน่าคงกำลังรอเธออยู่ เธอเอ่ยว่า

“ขอบคุณสำหรับคำเตือน” เธอโบกมือ “ไว้อนาคตฉันมีเรื่องอะไรฉันจะมาถามอีกแล้วกัน”

“ด้วยความยินดีครับ”

อีกฝ่ายโค้งตัวเล็กน้อยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

ยูริไม่สบายใจเอาซะเลย

เธอได้รับรู้ถึงความจริงบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวจากปากของอีกฝ่ายแล้ว

ใครบางคนควบคุมชะตาชีวิตเธออยู่อย่างลับๆ การกระทำหลายๆ อย่างของเธอที่ขัดกับนิสัยของตัวเธอเองอาจจะเกิดมาจากการชักนำของอีกฝ่ายก็เป็นได้

ว่าแต่โนอาเป็นใครกันแน่ ทำไมหมอนั่นถึงรู้ล่ะว่าฉันถูกใครบางคนควบคุมอยู่ เหตุบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาคือการชี้นำโดยใครบางคนจริงๆ งั้นหรือ?

มิสเตอร์ไบรอันตายทำให้เธอต้องมาที่เมืองรัตติกาล นั่นคือการสละหนึ่งชีวิตเพื่อเธองั้นหรือ?

ถึงตอนนี้ผู้ชักใยจะยังไม่เผยเจตนาร้าย และการควบคุมชะตากรรมทั้งหมดนั่นจะส่งผลดีต่อเธอมาตลอดก็ตาม แต่เธอก็ยังอดหวั่นกลัวไม่ได้

ตอนที่ฮันน่าให้เงินไปซื้อน้ำมะนาวให้โรนา ตอนนั้นเธอแวะไปตลาดเพื่อที่จะได้ซื้อมีด แต่ด้วยความ ‘บังเอิญ’ มีดเหลือเล่มสุดท้ายพอดี

และตอนที่เธอต้องการจะเดินทางไปยังถนนเตาไฟ เธอก็ ‘บังเอิญ’ เจอกับมาร์คัสที่ขับรถม้ามาพอดี และ ‘บังเอิญ’ เหลือเกินที่ตอนขากลับหมอนั่นมารับตัวเธอ

และ ‘บังเอิญ’ เหลือเกินที่เธอเจอกับเด็กไร้บ้านสองคนนั้นทำให้ติดเชื้อวัณโรคมา

แต่ช่างโชคดีที่ฮันน่าเป็นแวมไพร์ทำให้เธอสามารถรอดชีวิตมาได้ ใช่แล้ว ช่างโชคดีซะจริงๆ

เดี๋ยวนะ ไม่สิ โชคดีงั้นหรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็เสียวสันหลังวาบ ราวกับว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านต้นคอ ขนลุกซู่ราวกับถูกน้ำแข็งมาประคบกะทันหัน

เหตุบังเอิญต่างๆ ที่เธอเผชิญมันเกิดจากการชักใยของใครบางคนก็จริง แต่ว่าเธอถูกชักใยมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะ? ตอนที่มิสเตอร์ไบรอันตายงั้นหรือ? ไม่ใช่เลย เธอพอเดาได้แล้วว่าถูกชักใยมาตั้งแต่ตอนไหน

ตั้งแต่แรกแล้วที่เธอร่วงหล่นลงมาบนโลกใบนี้ เด็กสาวนอนสลบอยู่หน้าบ้านของฮันน่า ฮันน่าเป็นแวมไพร์ แวมไพร์รักษาวัณโรคได้ และเธอก็ติดเชื้อวัณโรคจากการไปถนนเตาไฟ

และฮันน่าก็ช่วยรักษาเธอได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนแรกที่เธอเจอตอนมาโลกใบนี้ไม่ใช่ฮันน่า เธอจะได้มีโอกาสไปถนนเตาไฟหรือไม่ จะติดวัณโรคหรือไม่

ทุกๆ อย่างมันถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นแล้ว กำหนดให้เธอเจอฮันน่า กำหนดให้เธอติดวัณโรค และกำหนดการกระทำและโชคชะตาของตัวเธอเอง ทุกๆ อย่างมันคือการจัดฉาก

ความบังเอิญแห่งโชคชะตา ซายูริเรียกมันว่าอย่างงั้น

ด้วยการตระหนักรู้นี้เองที่ทำให้เธอตัวสั่นหนักกว่าเดิม

เจตจำนงของตัวเธออาจจะไม่ใช่เจตจำนงเสรีก็เป็นได้

ทุกสรรพสิ่งเป็นดั่งกลไกและฟันเฟื่องที่คอยชักนำชะตากรรมของเธอ

อ่า ให้ตายสิ

ตอนนี้เธอรับรู้แล้วว่าเธอถูกควบคุมชีวิตมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่แรกที่เจอกับฮันน่า ทุกๆ อย่างคือการชักใยแห่งชะตากรรม

เด็กสาวยืนนิ่งอยู่หน้าห้องหมายเลขเจ็ดเป็นเวลานานแสนนาน

 

“ยูริจัง ทำไมทำหน้าซีดแบบนั้นล่ะ”

ฮันน่าขมวดคิ้ว ในมือถือหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง

หญิงสาวสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนเบาบาง เสื้อนอนเชื่อมติดกับกระโปรงตัวยาวดูพลิ้วไหว

มันเป็นชุดประเภทเดรสที่เสื้อจะเชื่อมติดกระโปรง ตัวของเธอนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงและถือหนังสือขึ้นเหนือหัว สายตาเพ่งพินิจไปยังวิชาประวัติศาสตร์ตรงหน้า

วาคาดะ ซายูริมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆ

เธอไม่รู้จะพูดยังไงดี

ฮันน่า พี่สาวของเธอและเธอเจอกันด้วยการลิขิตของชะตากรรมที่ใครบางคนเขียนขึ้น มันทำให้เธอรู้สึกไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายมากนัก

“มีเงินสักสองสามปอนด์ไหมคะ?”

เธอแสร้งทำเป็นหิว หวังว่าจะนำเงินพวกนั้นไปซื้อของอร่อยๆ มาปลอบใจตัวเอง และหวังจะคลายความสั่นกลัวจากก้นบึ้งในตอนนี้ได้บ้าง

“หือ พี่มีนะ”

ฮันน่าเอียงคอพลางทำท่าราวกับกำลังพยายามดมกลิ่น

“ยูริจัง? กลัวอะไรอยู่”

ให้ตายสิ เธอลืมไปเลยว่าอีกฝ่ายสามารถดมกลิ่นความรู้สึกได้

ยูริเริ่มประมวลผลในสมอง กำลังคิดถึงเรื่องที่จะแก้ตัวกับอีกฝ่าย และทันใดนั้น เธอก็คิดออก

“เอ่อ ดูเหมือนว่าผลกระทบจากจันทร์หายนะจะพึ่งทำงานล่ะมั้งคะ”

เด็กสาวแถ

“เมื่อกี้ได้ยินเสียงเพรียกแปลกๆ ที่ไม่รู้ความหมาย และไม่รู้ทำไมถึงกังวลแบบนี้น่ะค่ะ เลยว่าจะขอเงินไปหาอะไรกินสักหน่อย”

ด้วยรูปประโยคที่สมเหตุสมผลและทักษะการแสดงที่ดีเยี่ยมแม้จะสติแตก ฮันน่าเลยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“มันก็มีบ้างที่ผลกระทบจากจันทร์หายนะจะแสดงผลในอีกหลายวันให้หลัง”

อีกฝ่ายอธิบาย

“แต่ในเวลาแบบนี้การกินไม่ช่วยอะไร ยูริจังอยากนอนเลยไหม?”

ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ? เด็กสาวฉงน แต่เธอยังไม่อยากนอนตอนนี้เนี่ยสิ

“ยังแล้วกันค่ะ”

เธอส่ายหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือมาอ่าน เธอนั่งบนขอบเตียงและเปิดมันอ่าน

ฮันน่าที่เห็นภาพนั้นไม่พูดอะไร เธอเองก็อ่านหนังสือของตัวเองต่อไป

ทั้งสองอ่านหนังสืออย่างสงบสุขท่ามกลางความเงียบงันยามราตรี….

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Status: Ongoing
“ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!” เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ “ไม่เอา” ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่” “ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่” น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ” เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด “ทำไม?” ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น” “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ” “พนันกันไหมล่ะ?” ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท