พ่อบ้านในชุดสีดำเปิดประตูรถอย่างรู้หน้าที่
ร่างเล็กๆ ท่าทางเย็นชาก้าวลงมาจากรถสปอร์ต
พวกอาจารย์ที่ถูกรถคันนั้นดึงดูดความสนใจไปถึงกับอ้าปากค้าง
เด็กชายตัวน้อยสวมเสื้อหนังมีฮู้ดคลุมศีรษะ ฮู้ดตัวนั้นถูกดึงขึ้นเหนือศีรษะและปิดบังใบหน้าเล็กๆ นั้นไปกว่าครึ่ง
เขาสวมแว่นกันแดดปิดหน้าราวกับเกลียดแสงอาทิตย์อย่างมาก
แต่ทุกคนก็ยังสามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจน ผิวพรรณของเขาขาวผ่องราวกับหิมะ ผมสีดำของเขาทิ้งตัวอยู่ใต้ฮู้ดและข้างใบหูของเขา เด็กชายใช้นิ้วเรียวของตัวเองเกี่ยวผมของตัวเองเล่นเล็กน้อยพลางกวาดสายตามองรอบตัวราวกับไม่ใส่ใจ เขาเคลื่อนสายตามองผู้คนที่เดินสัญจรไปมาอยู่นั้นพร้อมกับวิเคราะห์รูปร่างและปริมาณไขมันในร่างกายของแต่ละคนไปด้วย
“คนพวกนี้ดูน่าอร่อยทีเดียว” เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างรถเอียงศีรษะพลางยิ้มออกมา
แม้อิริยาบถนั้นจะดูธรรมดา แต่มันกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างมากเมื่อเด็กชายเป็นผู้กระทำ ดวงตาราวกับทับทิมของเขาราวกับมีกลิ่นอายแห่งความมืดแผ่ออกมา
อาจารย์ที่เดินสวนกับเขาไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรด้วยซ้ำ คนพวกนั้นล้วนแต่ตกตะลึงกับการที่โลกนี้ยังมีเด็กชายหน้าตางดงามเช่นนี้อยู่ เด็กชายเหมือนกับเพิ่งเดินออกมาจากหนังสือการ์ตูน อาจารย์ทุกคนต่างก็ไม่สามารถละสายตาออกจากเขาได้เลย
เด็กชายตัวน้อยชินกับการถูกจ้องมองมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสายตาพวกนั้น
แม้เขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาจากผู้คนที่จ้องมองมาที่เขาได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด และเพียงแค่เหลือบมองไปยังบริเวณที่ตกอยู่ใต้เงามืดในโรงเรียนอนุบาล เขามองที่ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากบางของตัวเอง
หากว่ากันตามจริง เด็กชายแต่งตัวเหมือนพวกลูกคนรวยไม่มีผิด
เงาสีดำตัวน้อยที่อยู่ในความมืดนั้นไม่คิดที่จะระวังเขาแม้แต่นิดเดียว
มันไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ไป๋หลี่ซ่างเสียเลียริมฝีปากเสร็จ เขาจะพูดออกมาว่า ”ชักอยากกินขึ้นมาแล้วสิ”
เงาสีดำนั้นตั้งใจว่าจะหลอกให้เขากลัวเหมือนอย่างที่มันหลอกคนอื่น ดังนั้นทันทีที่ไป๋หลี่ซ่างเสียเดินเข้ามาหามัน มันจึงยื่นมือที่มีเล็บสีดำของตัวเองออกไปและเตรียมที่จะบีบคอเขา
แต่แล้วมันก็ต้องตกใจ เพราะจู่ๆ เด็กชายฐานะร่ำรวยที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้ก็ปล่อยปราณฉีอันชั่วร้ายที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนออกมา
แม้อยากจะหนี แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะเด็กชายฐานะร่ำรวยคนนี้จัดการกลืนมันเข้าไปทั้งตัว
หลังจากเด็กชายจัดการของหวานของตัวเองเสร็จ เขาก็หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมอีกครั้ง จากนั้นจึงใช้น้ำเสียงทรงอำนาจถามขึ้นด้วยความเด็ดขาดว่า ”ท่านพ่อมั่นใจหรือว่าท่านแม่อยู่ที่ทิศตะวันออกของมิติแห่งนี้จริงๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายน้อย” พ่อบ้านชุดดำเคลื่อนสายตาลง ปลายจมูกของเขาสันเป็นคม ”ที่นี่คือโรงเรียนอนุบาลแห่งที่แปดที่ท่านจะต้องเข้าเรียนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทฝากไว้ว่า ถ้าหากองค์ชายน้อยถูกไล่ออกจากโรงเรียนอีกละก็ เขาจะจับท่านเปลื้องผ้า แล้วเอาท่านไปห้อยไว้ระหว่างเขตแดนของโลกมนุษย์กับแดนปีศาจเพื่อให้ทุกคนได้เห็นเรือนร่างอันงดงามของท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เด็กชายฐานะร่ำรวยแค่นหัวเราะอย่างดูถูก ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนไหล่ เขาจามออกมาเสียงดัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
พ่อบ้านชุดดำรู้สึกไม่สบายใจนัก เขารีบพูดใส่หูฟังบลูทูธที่ใส่อยู่ในหูอย่างรวดเร็วว่า ”องค์ชายน้อยเหมือนจะเป็นหวัด ข้าควรทำอย่างไรดี ข้าควรพาเขาไปฉีดยาหรือเปล่า แต่เขาก็ทำพยาบาลกลัวแทบตายทุกครั้งที่ถูกฉีดยาเลยนี่นา! ต้องบอกฝ่าบาท ใช่! พวกเราต้องแจ้งให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้!”
เด็กชายฐานะร่ำรวยกระตุกริมฝีปากขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโอหังว่า ”ข้าก็แค่จามนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น พอสักทีน่า กลับไปที่ที่เจ้ามาซะ อย่ามารบกวนข้า ข้าจะไปหาลูกน้องในโรงเรียนเอง”
ปีศาจล้วนเกิดมาพร้อมความต้องการเป็นผู้ควบคุม
เด็กชายฐานะร่ำรวยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาไม่เคยเคารพใคร
ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อบอกว่าท่านแม่ของเขาไม่ชอบตอนที่พวกเขาเข่นฆ่ามนุษย์อย่างโหดเหี้ยม เขาก็คงกินวิญญาณของพวกมันไปนานแล้ว
เด็กชายฐานะร่ำรวยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง บนริมฝีปากของเขายังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
แต่กลิ่นอายแห่งความกระหายเลือดที่แต่งแต้มรอยยิ้มนั้นอยู่กลับรุนแรงอย่างมาก คนที่ไม่รู้จักเขาดีอาจเห็นเขาเป็นราวกับเทพบุตรตัวน้อย
แต่ในความเป็นจริงนั้น การมาถึงของเขาทำให้ปีศาจที่อยู่ในรัศมีสิบลี้รอบบริเวณนี้ร้อนใจอย่างมาก
เด็กชายฐานะร่ำรวยลืมเรื่องตอนที่เขาอยู่ในท้องแม่ไปจนหมด แต่ในความทรงจำของเขามักจะมีมือนุ่มๆ คู่หนึ่งคอยลูบท้องอย่างแผ่วเบาอยู่เสมอ
ตอนนั้น ข้ามักจะ… มักจะ… ทำอะไรกันนะ เขานึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้นก็รู้ว่าในเวลานั้นเขามีความสุขอย่างมาก
ดังนั้นเขาจึงอยากพบท่านแม่โดยเร็วที่สุด
แต่เขาแตกต่างจากท่านพ่อ เพราะเขายังมีเรื่องอื่นอีกหลายเรื่องที่สนใจนอกจากการตามหาท่านแม่ และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนรอบข้างกลัวเขา
มนุษย์เป็นเพียงแค่ของเล่นสำหรับเขา
คนพวกนั้นทั้งละโมบ ขี้ขลาด และไร้ประโยชน์ ทั้งยังเกรงกลัวคนที่ร่ำรวยกว่าและมีอำนาจมากกว่าตัวเองเสมอ
เหมือนอย่างที่ท่านพ่อของเขาเคยพูดไว้ ถ้าคิดจะเรียกลมเรียกฝนในยุคสมัยนี้ เขาจะต้องปลอมตัวเป็นมนุษย์ให้สำเร็จ และขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดให้ได้เสียก่อน
เด็กชายฐานะร่ำรวยหัวเราะขึ้นอีกครั้ง เขาปล่อยให้อาจารย์คนหนึ่งจูงมือเขาพร้อมกับเดินเข้าสู่ห้องเรียนด้วยท่วงท่าอันเย็นชา
“คนคนนี้คือเพื่อนใหม่ของพวกเราจ้ะ ไป๋หลี่ซ่างเสียตัวน้อย เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ หวังว่าหลังจากนี้ไป๋หลี่ซ่างเสียน่าจะช่วยพวกเราตอนเรียนร้องเพลงภาษาอังกฤษด้วยกันได้นะจ๊ะ…” แม้แต่ตอนที่อาจารย์แนะนำเขาอยู่ที่หน้าชั้นเรียน เธอก็ยังไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจที่อยู่ในดวงตาตัวเองเอาไว้ได้
ในกรุงปักกิ่งแห่งนี้ มีตระกูลผู้ลากมากดีอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่มีนักเรียนเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลจากผู้อำนวยการด้วยตัวเองเช่นนี้ และเด็กคนนี้ที่เธอกำลังจูงอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อเด็กๆ ในชั้นเรียนได้ยินว่าเขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ พวกเขาก็ดูดนิ้วและเอียงศีรษะเล็กๆ ของตัวเองพร้อมกัน เขาเป็นคนต่างชาติหรือ
เด็กทุกคนย่อมชอบมองของสวยๆ งามๆ พวกเขาเข้าไปรุมล้อมเด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้นแล้วมองเขาด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสาเพราะอยากเป็นเพื่อนกับเขา
แต่กลับมีคนคนหนึ่งที่ขมวดคิ้วเล็กๆ ของตัวเองเข้าหากันอย่างแรงทันทีที่เด็กชายฐานะร่ำรวยคนนี้มาถึง
กลิ่นอายชั่วร้ายหนาแน่นเช่นนี้มันอะไรกัน
เขาเป็นปีศาจหรือ
ไม่ ไม่ใช่ ถ้าเขาเป็นปีศาจ ฉันต้องสัมผัสถึงเขาได้อย่างแน่นอน
เสี่ยวชิงเฉิงยังหรี่ตาอยู่อย่างนั้น
แน่นอนว่าเด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้นย่อมรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เขาจึงมองไปทางเสี่ยวชิงเฉิงอย่างอวดดี สายตาของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอันตราย
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง เขาก็รู้ว่ามนุษย์คนนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ถึงเขาจะไม่สามารถบอกได้ว่ามนุษย์คนนี้มีความแปลกประหลาดตรงไหน แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อมนุษย์คนนี้ก็ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เด็กชายฐานะร่ำรวยก็หรี่ตาลงเช่นกัน
เด็กทั้งสองคนยังไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว แต่ทั้งคู่กลับดูมีท่าทีเป็นศัตรูต่อกันอย่างมาก
เรื่องนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับเด็กอ้วนแซ่เฉิง เพียงแค่มองชุดที่เด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้นสวมอยู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขามาจากพื้นฐานครอบครัวที่คล้ายกัน พวกเขาทั้งคู่ล้วนมาจากตระกูลของคนมีเงิน
เด็กอ้วนแซ่เฉิงได้รับอิทธิพลจากผู้เป็นแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงเผลอวางแผนการที่จะจับมือกับไป๋หลี่ซ่างเสียเอาไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว
หลังจากอาจารย์ออกไปจากห้อง เขาก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้นก่อน พร้อมกับพาเด็กอีกสองคนไปกับเขาด้วย ”ซ่างเสีย นายก็ไม่ชอบหน้าเจ้าเด็กบ้านนอกคนนั้นเหมือนกันใช่ไหม ตอนที่แม่ฉันถามว่าครอบครัวของพวกเขาทำงานอะไร ฉันก็อยู่ด้วย พวกเขาบอกว่าที่บ้านเปิดอู่ซ่อมรถ เหม็นสาบคนจนซะไม่มี!”