ตอนที่ 869 ความเจ็บปวดของทังอี้
ทันทีที่รถเบนซ์ของหลินม่ายเคลื่อนออกจากบ้านของคุณพ่อไป๋ หลินม่ายก็ทอดสายตาออกไปบนถนนอย่างเหม่อลอย
เธอมองเห็นร่างคุ้นเคยแอบซุ่มอยุ่ตรงมุมถนน และมองเข้าไปในบ้านตระกูลไป๋
คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคุณแม่ไป๋
หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อยที่คุณแม่ไป๋ยังไม่กลับไป จนกระทั่งตอนนี้ยังคิดอยากพบเจอครอบครัวไป๋ทั้งหมดอีกด้วย
วันนี้มีลมกระโชกและหิมะตกหนัก อากาศด้านนอกหนาวมาก ร่างกายของเธอแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งเมื่ออยู่นอกบ้านนานหลายชั่วโมง
ถึงแม้ว่าคุณแม่ไป๋จะน่าสงสาร แต่หลินม่ายก็ไม่คิดอยากจะพูดคุยด้วย
ความรักที่มาช้าเช่นนี้มันไม่สามารถชดเชยความเจ็บปวดในใจของเธอได้เลย
ทันทีที่คุณแม่ไป๋เห็นรถเบนซ์ของหลินม่ายขับออกมา หล่อนก็รีบหลบเข้าซ่อนตัวในมุมถนนอีกครั้ง
หล่อนกลัวว่าหากหลินม่ายเห็นตน อีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดี แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือหลินม่ายเห็นหล่อนแล้ว
ฟางจั๋วหรานขับรถไปที่บ้านของเฝิงเยว่จู๋ตามที่ไป๋เซี่ยผู้เป็นพี่ภรรยาบอกกล่าว
ระหว่างทาง หลินม่ายก็เห็นทังอี้
คราวนี้แทนที่อีกฝ่ายจะเดินคอตกกลับ แต่เขากลับนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนนแล้วยังสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าที่ดูหดหู่
มันดูไม่สอดคล้องกับผู้คนที่เดินไปมาอย่างมีชีวิตชีวาเลย อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับถนนที่เต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงประดับประดา
แต่หลินม่ายก็เพิกเฉยต่อสิ่งนี้
โลกของผู้ใหญ่ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ไม่ว่าจะเศร้าหรือสุข คุณจะต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง
ถนนเต็มไปด้วยหิมะและค่อนข้างลื่น รถของฟางจั๋วหรานไม่ได้ขับเร็วนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งห่างจากทังอี้อย่างรวดเร็ว
หลินม่ายก็ไม่สนใจเขาด้วยเช่นกัน
เทศกาลปีใหม่นี้เป็นวันเวลาที่ผู้คนเต็มไปด้วยความสุข แต่ทังอี้กลับรู้สึกหดหู่ใจมาก นับตั้งแต่วันที่ 28 ของปีใหม่ทางจันทรคติ
โบนัสสิ้นปีเป็นเงินเดือนจำนวนสองเท่า ทั้งหมดจะถูกจ่ายออกในวันที่ 28 เดือนสิบสอง
มีการแจกจ่ายของสำหรับวันหยุดหลังเลิกงานในช่วงบ่ายวันนี้
แต่ละตำแหน่งมีโบนัสสิ้นปี และเงินเดือนสองเท่าที่แตกต่างกัน
และวัสดุทั้งหมดที่ได้รับแจกจ่ายสำหรับวันหยุดจะรวมอยู่ในของข้างต้นนี้ด้วย
แน่นอนว่าของแจกจ่ายสำหรับปีใหม่นี้มีเนื้อสัตว์สิบชั่ง ปลาสิบชั่ง แอปเปิ้ล และสาลี่หนึ่งกล่อง ทั้งยังมีลูกอมและเมล็ดแตงโมด้วย
แม้แต่การไฟฟ้าหรือการประปาที่มีกำไรค่อนข้างมาก ยังไม่สามารถเทียบกับว่านถงกรุ๊ป
ในบ่ายวันที่ 28 ของเดือนจันทรคติที่สิบสอง หลังจากได้รับวัตถุดิบสำหรับปีใหม่ ทังอี้เรียกรถสามล้อเพื่อมาขนสิ่งของเหล่านี้ ก่อนจะนั่งมันกลับด้วยไป เวลานี้เขาวางของทั้งหมดลงที่ชั้นล่างของบ้าน
ขณะทังอี้กำลังจัดการทุกสิ่งอยู่นั้น สายตาของเหล่าเพื่อนบ้านก็เต็มไปด้วยความริษยา แต่เขาไม่สนใจ พร้อมกับเรียกภรรยาให้ลงมาตรวจสอบของต่าง ๆ และแบกมันเข้าบ้าน
เหลยซิ่งซึ่งเป็นภรรยาของเขาเห็นว่าทังอี้นั่งรถสามล้อกลับมา และใช้จ่ายอย่างหนัก ก็เผยสีหน้าไม่ค่อยดีนักในเวลานี้
หล่อนไม่สนใจเพื่อนบ้านที่กำลังเฝ้ามองอย่างใคร่รู้ เวลานี้หล่อนเริ่มดุด่าทังอี้อย่างโจ่งแจ้ง
หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาจะใช้เงินไปกับการเรียกสามล้อทำไม?
ไม่ใช่ว่าฟาร์มผักที่เขาบริหารอยู่ไม่มีรถสามล้องั้นหรือ เขาสามารถยืมสิ่งเหล่านั้นได้ อีกทั้งสามล้อของบริษัทก็สามารถขี่กลับมาแล้วค่อยนำไปคืนในวันพรุ่งนี้ได้
หล่อนพูดเสียงดังจนคนฟังต้องรู้สึกเจ็บปวดแก้วหู
ฝูงชนทั้งหมดที่คิดสอดรู้สอดเห็นถึงกับหลบออกไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
รายได้ต่อเดือนของทังอี้สูงกว่าผู้อำนวยการโรงงานของรัฐบาลหลายแห่ง
การเสียเงินเพียงไม่กี่หยวนเพื่อเรียกสามล้อกลับบ้านนี้อาจจะเรียกว่าขนหน้าแข้งไม่อาจร่วง
หากเป็นคนงานในหน่วยงานอื่น ๆ ที่ได้รับค่าจ้างตายตัวเพียงหนึ่งร้อยหยวน คนเหล่านั้นต่างหากสมควรเป็นคนที่ไม่ควรใช้เงิน
แม้ทังอี้จะอารมณ์ไม่ดีนัก แต่เมื่อถูกดุด่าจากเหลยซิ่งเช่นนี้ เขาก็ยังไม่แสดงอาการหงุดหงิด
ทั้งสองสามีภรรยาขนของขวัญสำหรับวันหยุดเข้าบ้านต่อไป
หลังจากปิดประตู ทังอี้มอบโบนัสสิ้นปีและเงินเดือนสองเท่าของเขาให้ด้วยความเต็มใจ
ปีนี้เขาได้รับโบนัสสิ้นปีเป็นจำนวนเงิน 3,000 หยวน ซึ่งมันสูงกว่ารัฐวิสาหกิจทั่วไปมาก
ในยุคนี้ บริษัทอื่น ๆ ไม่อาจจ่ายโบนัสเป็นเงินเดือนสองเดือนได้
ด้วยการจัดจ้างที่ดีอย่างนี้ทำให้ทังอี้ปฏิบัติต่อว่านถงกรุ๊ปอย่างดี โดยเฉพาะตลาดผักฝูตัวตัวที่เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของ
เขาหวังว่าเหลยซิ่งจะยกย่องว่านถงกรุ๊ปหรือตลาดผักฝูตัวตัวสักหน่อย
แต่เหลยซิ่งกลับไม่คิดภูมิใจเท่านั้น อีกทั้งยังดูถูกเขาสารพัด ด้วยการดุด่าว่าเขาโง่เขลาและไร้เดียงสากับเรื่องเหล่านี้
อีกทั้งยังประชดประชันว่า “คุณทำงานหนักให้กับว่านถงกรุ๊ป แต่ว่านถงกรุ๊ปให้โบนัสสิ้นปีกับคุณ 3,000 หยวน แค่นี้คุณก็มีความสุขแล้วเหรอ? โง่จริง!”
คำพูดที่ดีทำให้ผู้ฟังอบอุ่นใจ แต่คำพูดเลวร้ายทำให้จิตใจผู้ฟังแข็งกระด้าง
ทังอี้อึดอัดกับสถานการณ์นี้มาก
ในวันส่งท้ายปีเก่าและวันแรกของปีใหม่ ภรรยาของเขายังคิดตำหนิเขาในเรื่องเล็กน้อย โดยไม่เคยมองเห็นความดีของเขาเลยในตลอดเวลาที่ผ่านมา
หลังจากถูกดุด่ามานานแรมปี เขาทนฟังคำตำหนิจากภรรยาทุกวัน ความอดทนในจิตใจก็ใกล้จะพังทลายลงทุกที
ในตอนเช้าของวันใหม่ ทังอี้อยากจะกินเฉ่ากานเป็นอาหารเช้า
นี่เป็นวันปีใหม่และรายได้ของเขาก็สูงพอสมควร ดังนั้นการกินเฉ่ากานชามเดียวจึงไม่มากเกินไปนัก
แต่ภรรยาของเขากลับเย้ยหยันว่า “โอ้โห คุณหาเงินได้แค่หยิบมือ แต่กลับอยากกินเฉ่ากานงั้นเหรอ? อย่าลืมสิว่าคุณก็มีครอบครัวต้องเลี้ยงดู!”
ทังอี้โกรธจัด ก่อนจะเปิดฉากทะเลาะกับเหลยซิ่งยกใหญ่ สุดท้ายเขาไม่อยากจะถกเถียงกับอีกฝ่ายต่อไป เขาโกรธจัดจนไม่ทันได้กินมื้อเช้าและออกจากบ้านไปด้วยความหิวโหย
เขาเดินอยู่บนถนนมาเกือบทั้งวัน อีกทั้งท้องก็ยังหิวมาก
ทังอี้ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงนี้กำลังคิดทบทวนว่าเขาควรจะกลับไปยอมรับผิดทั้งหมดดีหรือไม่?
ชีวิตครอบครัวใครบ้างที่ไม่วุ่นวาย? ใครบ้างที่ไม่ต้องพยายาม
เขาดับบุหรี่ในมือก่อนจะเดินกลับบ้าน
ขณะที่เขาเดินกลับบ้าน ภรรยาของเขาก็กลับบ้านไปพร้อมกับเด็กทารก
มันไม่ง่ายเลยที่เหลยซิ่งจะกลับบ้านไปหาแม่ในวันนี้
เพราะลูกของหล่อนยังเดินไม่ได้ และหล่อนยังต้องแบกของขวัญมากมายด้วย
หล่อนลังเลที่จะนั่งรถแท็กซี่ออกจากบ้าน เมื่อคิดอย่างนั้นจึงใช้รถประจำทางแทนเพราะราคาถูกกว่า
อีกทั้งยังมีทารกติดสอยห้อยตามมาด้วย กว่าจะมาถึงบ้านของแม่ก็ใช้เวลาพอสมควร
โดยปกติแล้วเมื่อลูกสาวที่แต่งงานแล้วกลับมาที่บ้าน หล่อนจะมาพร้อมกับสามีที่ช่วยถือของขวัญหรืออุ้มลูก
แต่เหลยซิ่งกลับมาที่นี่เพียงคนเดียว หล่อนจึงถูกพ่อแม่พี่น้องของตนถามเซ้าซี้ว่าทะเลาะกับสามีมาหรือไม่
มันจะไม่เกิดเรื่องหากพวกเขาไม่ถาม แต่เมื่อพวกเขาถาม เหลยซิ่งก็แทบจะร้องไห้ออกมาทันที
ทังอี้ไม่เคยโต้เถียงกับหล่อนมาก่อน แต่คราวนี้เมื่อเงินเดือนของเขาสูงขึ้น เขากล้าที่จะต่อว่าหล่อน
แน่นอนว่าผู้ชายมักจะทำตัวผิดแปลกไปเมื่อพวกเขามีเงิน
เหลยซิ่งรับประทานมื้อกลางวันที่บ้านของแม่ด้วยความหดหู่ ก่อนจะกลับบ้านพร้อมกับทารกน้อย
หลังจากเห็นว่าทังอี้กลับมาที่บ้านแล้ว หล่อนรีบพ่นคำหยาบคายใส่เขาด้วยความโกรธจัด “คุณยังรู้ทางกลับบ้านอยู่เหรอ ฉันนึกว่านอนตายอยู่ข้างนอกนั่นแล้ว!”
ใบหน้าของทังอี้กลายเป็นซีดเซียวเมื่อถูกภรรยาสาปแช่งให้ตายในวันส่งท้ายปีเก่า
ความคิดที่จะขอโทษก่อนหน้านี้พลันเหือดหายไปทันที
เขาไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องนอน
เหลยซิ่งยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังดุด่ากำแพงไร้ความรู้สึก
ขณะที่ดุด่าอย่างนั้น หล่อนก็ยังเดินตามเข้าไปในห้องนอนด้วยเช่นกัน
“ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ คุณกล้าเดินหนีก่อนที่ฉันจะพูดจบอีกเหรอ ใครมันสั่งสอน…”
ก่อนหล่อนจะพูดจบ หล่อนก็เห็นทังอี้หยิบเสื้อผ้าออกจากตู้แล้วยัดลงกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะลากออกไป
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว เหลยซิ่งยิ่งโกรธจัดก่อนจะตะโกนต่อว่าแผ่นหลังของทังอี้ว่า “ทำไม… โดนด่าแค่นี้ทนไม่ได้เหรอ แล้วถ้าคิดจะออกจากบ้าน ก็ออกไปซะ แล้วอย่าโผล่หน้ากลับมาอีกล่ะ!”
ทังอี้แสร้งทำเป็นหูหนวก ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
เหลยซิ่งโกรธจนน้ำตาไหลพราก หล่อนนั่งลงในห้องนั่งเล่นก่อนจะกวาดถ้วยชากาแฟทั้งหมดบนโต๊ะลงพื้น ของทุกชิ้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทารกน้อยตื่นตระหนกจนร้องไห้เสียงจ้า และผู้เป็นแม่ก็ยังไม่คิดสนใจเด็กน้อย เพราะยังจมอยู่ในความโศกเศร้าของตนเองอยู่
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เฮ้อ ทนเมียประสาทแบบนี้มาได้ไงตั้งนานอะทังอี้ ทำเรื่องหย่าแล้วขอรับลูกมาเลี้ยงไปให้จบๆ เถอะ จะได้รู้ว่าถ้าหย่าขึ้นมาแล้วยังจะปากดีใส่สามีตัวเองได้อีกไหม ที่ยังปากดีได้ก็เพราะมีเงินสามีเลี้ยงอยู่หรอก ลองโดนตัดท่อน้ำเลี้ยงไปสักครึ่งปีสิ จะคอยดูว่าจะมาอ้อนวอนขอคืนดีกับสามีไหม
ไหหม่า(海馬)