ซือหม่าโยวเย่ว์คุกเข่าลงบนพื้นแล้วหยิบต้นหญ้าแรดขึ้นมา พลางมองพ่อค้าแล้วเอ่ยว่า “ต้นหญ้าแรดต้นนี้ขายอย่างไรหรือ”
พ่อค้าเห็นเสื้อผ้าที่ซือหม่าโยวเย่ว์สวมใส่และกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่าง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีเงินคนหนึ่ง
“สามพันห้าร้อยตำลึงทองขอรับ” พ่อค้าพูดพลางยิ้มตาหยี
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เมื่อครู่เจ้ามิได้ตกลงจะขายข้าในราคาสามพันตำลึงทองแล้วหรอกหรือ”
“แต่เจ้าไม่มีเงิน และเมื่อครู่ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วด้วยว่าราคาสามพันห้าถึงจะเก็บเอาไว้ให้เจ้า ตอนนี้คุณชายท่านนี้ต้องการซื้อ เช่นนั้นก็คงได้แต่ขายให้เขาในราคาสามพันห้าแล้วล่ะ” พ่อค้าพูดอย่างดูมีเหตุมีผล
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ต้นหญ้าแรดของเจ้าต้นนี้ขายได้มากที่สุดก็แค่แปดร้อยตำลึงทองเท่านั้นแหละ”
“คุณชาย ท่านอย่าพูดเหลวไหลสิ แปดร้อยตำลึงทองซื้อได้แค่ต้นหญ้าแรดที่มีอายุธรรมดาเท่านั้น แต่ของข้านี่เป็นสีแดงเข้มเชียวนะ ทั้งยังมีอายุกว่าสองร้อยปีอีกด้วย” พ่อค้ารีบอธิบาย
“ก็ใช่น่ะสิ ของเจ้านี้เป็นต้นหญ้าแรดอายุธรรมดา มูลค่าเพียงแค่แปดร้อยตำลึงทองเท่านั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ
“เหลวไหล เจ้าไม่เห็นสีของมันหรือ” พ่อค้าตะคอกเพื่อใช้เสียงดังเข้าข่มความหวาดหวั่นในใจตน
“ก็เจ้าย้อมสีเอาไว้นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าอย่ามาป้ายสีข้านะ ต้นหญ้าแรดของข้าดูเหมือนย้อมสีแดงหรืออย่างไร เจ้าดูที่เส้นใบของมันสิ ล้วนเป็นสีแดงทั้งสิ้น! ถ้าหากย้อมสีแล้วจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า” พ่อค้าเด็ดมาใบหนึ่ง แม้กระทั่งด้านในก็ยังเป็นสีแดงด้วย
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าใช้วิธีไหนในการย้อมสี จึงทำให้แม้แต่ใบไม้ก็ยังเป็นสีแดงไปด้วย แต่ข้าว่ายังมีจุดหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ ใบของต้นหญ้าแรดอายุเกินสองร้อยปีจะมีเส้นบางๆ สีแดงเพิ่มขึ้นมาเส้นหนึ่ง แต่ของเจ้าไม่เห็นจะมีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางชี้ใบไม้
“เส้นบางเส้นไม่บางอะไรกัน เจ้ายังไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า” พ่อค้าพูด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามพลางยิ้มน้อยๆ
พ่อค้าเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอแล้วในใจก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง เจ้าเด็กนี่คงจะไม่เคยเห็นต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มมาก่อนจริงๆ หรอกกระมัง
“ต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มมีเส้นสีแดงนั่นอยู่จริงหรือ” ชายหนุ่มผู้นั้นถาม
“ถูกต้อง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับ จึงเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ”
เธอผ่าเหง้าของต้นหญ้าแรด บริเวณรากยังมีส่วนสีเขียวอยู่เล็กน้อยจริงๆ
“ต้นหญ้าแรดของข้า!” พ่อค้าคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะทำเช่นนี้ อยากจะขัดขวางก็ไม่ทันเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์โยนต้นหญ้าในมือลงบนพื้นแล้วลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด ส่วนรากนี้ก็ไม่มีทางกลายเป็นสีแดงได้หมดหรอก”
“นี่…” สีหน้าของพ่อค้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาในทันที
“ได้… เจ้าถึงกับกล้าหลอกลวงข้า!” ชายหนุ่มชี้นิ้วด่าอย่างโมโห “ยังดีที่ข้ายังไม่ได้ซื้อต้นหญ้าแรดของเจ้า ไม่อย่างนั้นคงถูกเจ้าหลอกตายแน่!”
“เรื่องนี้ฟังข้าพูดก่อน…” พ่อค้าอธิบาย
“เฮอะ เจ้าคนหลอกลวง ต่อจากนี้จะไม่มีใครมาซื้อของของเขาอีกแล้ว!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังลั่น หลังจากนั้นจึงหันไปหาซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับพบว่าเธอได้จากไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์เปิดเผยความจริงแล้วก็หมุนกายจากไปพร้อมกับทุกคน แต่เพิ่งก้าวออกจากประตูก็ถูกคนเรียกเอาไว้
“สหายท่านนี้โปรดหยุดก่อน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังออกว่าเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้นั้น จึงหยุดแล้วถามว่า “มีเรื่องอันใดหรือไม่”
ชายหนุ่มผู้นั้นมาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วคารวะเธอพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณสหายมาก ไม่อย่างนั้นข้าคงได้ซื้อต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มปลอมไปแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็แค่ไม่เคยชินกับเรื่องจอมปลอมเหล่านี้เท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณอยู่ดี” ชายหนุ่มพูด “ขอถามว่าคุณชายเคยเห็นต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มมาก่อนแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ในเจดีย์วิญญาณมีอยู่มากมาย
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีหรือไม่”
“มีสิ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ ชายหนุ่มผู้นั้นก็ดวงตาเปล่งประกายแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ตอนนี้ข้าต้องการต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่าสหายพอจะตัดใจแบ่งให้ได้บ้างหรือไม่ ข้ายินดีจะซื้อในราคาสูง”
“ในบ้านเจ้ามีคนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ใช่แล้ว หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้พี่ชายข้าถูกหลี่มู่เผาแขนจนได้รับบาดเจ็บ จึงต้องการต้นหญ้าแรดนี้ไปใช้รักษา” ชายหนุ่มผู้นั้นพูด
“หลี่มู่แห่งสมาคมนักหลอมยาผู้นั้นน่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ” ชายหนุ่มพูด “ข้าชื่อลู่หย่วน พี่ชายข้าชื่อลู่หมิง พี่ชายข้าเป็นคนของสมาคมนักหลอมยา ตอนนั้นถูกหลี่มู่เผาร่างกายเพราะขัดแย้งกับเขา ข้าพยายามเสาะหาต้นหญ้าแรดสีแดงเข้มเพื่อรักษาเขามาโดยตลอดเลย”
“แผลไฟไหม้แค่ใช้ยาวิเศษรักษาบาดแผลก็พอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดตั้งเนิ่นนานยังไม่หายอีกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“เพราะเปลวเพลิงของหลี่มู่ผู้นั้นมิใช่เปลวเพลิงธรรมดาน่ะสิ ยารักษาบาดแผลทั่วไปจึงไร้ประโยชน์” สีหน้าของลู่หย่วนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นได้ว่าเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน บอกว่าแผลไฟไหม้ที่ถูกเปลวเพลิงชนิดอื่นแผดเผานั้นมิได้หายได้ง่ายเช่นนั้น เธอจึงเกิดความสนใจในเรื่องนี้ขึ้นมาในทันที
“ถึงแม้ว่าต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีจะหาได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้เลย เหตุใดเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้วพวกเจ้ายังหาไม่พบอีกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ใช่ ร้านสมุนไพรขนาดใหญ่ล้วนมีขายกันหมดจริงๆ แต่สถานะของหลี่มู่ผู้นั้นในเมืองวิเศษสูงส่งอย่างยิ่ง เขาลั่นวาจาเอาไว้ว่าห้ามขายต้นหญ้าแรดให้กับพวกเรา มิฉะนั้นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับเขา ดังนั้นพวกเราจึงมิอาจซื้อต้นหญ้าแรดจากร้านสมุนไพรได้ จึงได้แต่อาศัยโชคมาเสาะหาในตลาดเสรีเช่นนี้เท่านั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบดังเช่นวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของปลอม”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปยังตลาดการค้าที่ใหญ่หน่อยเล่า” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“ตลาดการค้าขนาดใหญ่เหล่านั้นล้วนเป็นของแต่ละสมาคมทั้งสิ้น” วาจาของลู่หย่วนเต็มไปด้วยความขมขื่น
เพราะว่าเป็นของแต่ละสมาคม จึงต้องไว้หน้าหลี่มู่กันทั้งสิ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าภายในนั้นจะมีอยู่ แต่ก็มิอาจขายให้เขาได้
“หลี่มู่มิได้เป็นเพียงแค่นักหลอมยาขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้นหรอกหรือ เหตุใดจึงได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้เล่า ทุกสมาคมล้วนต้องช่วยเขากันหมดเลยหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่นักหลอมยาขั้นสี่ แต่เขาและรองประธานสมาคมเฉียนมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด และยังมีญาติเป็นผู้อาวุโส ทั้งยังมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ในสมาคมเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนย่อมไม่กล้าล่วงเกินนักหลอมยาที่มีศักยภาพเช่นนี้อยู่แล้วล่ะ” ลู่หย่วนพูดอย่างจนใจ
“ข้ามีความสนใจในอาการบาดเจ็บของพี่ชายเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ให้ข้าไปดูได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เรื่องนี้… ตอนนี้บ้านพวกเราสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เจ้าอย่าเพิ่งสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลเราในตอนนี้เลยจะดีกว่านะ ถ้าหากผู้อื่นเห็นเข้าว่าเจ้าอยู่กับพวกเรา ไม่แน่ว่าอาจนำพาอันตรายมาให้พวกเจ้าก็เป็นได้” ลู่หย่วน ตอบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็เป็นศัตรูกับเจ้าหลี่มู่ผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว ดังที่เขาว่ากันว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร พวกเราไปเยี่ยมสหายกันดีกว่า ไปกันเถิด นำทางไปข้างหน้าเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ใส่ใจหลี่มู่เลยแม้แต่น้อย
ลู่หย่วนเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนกรานจึงรับปากจะพาพวกเขาไปยังบ้านของตน
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าบ้านตระกูลลู่จะตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลาง จึงยิ่งทวีความสนใจในตระกูลของพวกเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
ต้องรู้เอาไว้ว่าแม้กระทั่งขุมอำนาจชั้นหนึ่งก็ยังมิอาจตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางได้เลย แต่ตระกูลธรรมดาตระกูลหนึ่งกลับอาศัยอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าพวกเขาต้องเคยมีคุณสมบัติพอจะอยู่ที่นี่ได้ ในตอนนั้นจะต้องเป็นตระกูลที่มั่งคั่งมากอย่างแน่นอน สถานะจึงได้เหนือกว่าขุมอำนาจชั้นหนึ่งเสียอีก!