แต่เมื่อพวกเขามายืนอยู่ที่ลานบ้านอันทรุดโทรมแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงกับตระกูลที่เคยรุ่งเรืองได้เลย
นี่เป็นเพียงแค่ลานบ้านเล็กจ้อยเท่านั้น เหมือนกับเรือนหลังเดียวในจวนตระกูลซือหม่าเท่านั้น แม้กระทั่งป้ายชื่อเหนือประตูก็ยังไม่มี
ลู่หย่วนเห็นความตกใจในแววตาของพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจนใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพูดอย่างสุภาพว่า “ทุกท่าน ถึงบ้านข้าแล้วล่ะ เชิญทุกท่านเลย”
พวกเขาเดินเข้าไป เด็กสาววัยสิบหกสิบเจ็ดปีที่ดูคล้ายคลึงกับลู่หย่วนอย่างยิ่งออกมาจากภายในเรือน เมื่อเห็นลู่หย่วนพาคนแปลกหน้าแปดคนกลับมาจึงเอ่ยอย่างตกใจว่า “ท่านพี่ พวกเขาเป็นใครกันหรือ”
“นี่คือลู่ยวน น้องสาวฝาแฝดของข้า” ลู่หย่วนเอ่ยแนะนำ หลังจากนั้นจึงมองดูลานบ้านอันเงียบสงัดแล้วถามว่า “น้องหญิง นี่คือสหายที่ข้ารู้จักข้างนอก พวกเขามาเยี่ยมพี่รองน่ะ แล้วพี่ใหญ่เล่า”
ลู่ยวนเอ่ยด้วยสีหน้าสลดว่า “พี่ใหญ่เห็นว่าพวกเราเสาะหาต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีกันไม่ได้สักที หลังจากที่ท่านออกไปเมื่อเช้า เขาก็บอกว่าจะออกไปหานอกเมืองน่ะ”
ลู่หย่วนได้ฟังแล้วร้อนใจขึ้นมาในทันใด จึงเอ่ยว่า “พี่ใหญ่จะไปที่นั่นจริงๆ อย่างนั้นหรือ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
“ทำไมหรือ” เจ้าอ้วนชวีเห็นลู่หย่วนร้อนใจถึงเพียงนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น
“ก่อนหน้านี้ตอนข้ากับพี่ใหญ่เข้าไปในภูเขา เคยเห็นต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีต้นหนึ่ง แต่มันอยู่แถวรังของสัตว์อสูรเทพขั้นห้า ถ้าหากไม่ระวังก็จะไปรบกวนสัตว์อสูรเทพนั่นเข้า ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ขุดต้นหญ้าแรดเลย แม้แต่ชีวิตของพี่ใหญ่ก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!” ลู่หย่วนพูดอธิบาย
ลู่ยวนได้ฟังแล้วตกตะลึงไปในทันที นางยกสองมือขึ้นอุดปาก น้ำตาแทบจะหยาดหยดลงมาจากดวงตา นางมองลู่หย่วนพลางถามว่า “ท่านพี่ แล้วจะทำเช่นไรกันดีเล่า! คงจะไม่เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ใหญ่จริงๆ หรอกกระมัง”
“เจ้าออกไปไม่นานเท่าไหร่ เขาคงยังมิได้ไปไกลมากนักหรอก พวกเจ้ารีบตามไปหยุดเขาตอนนี้เลยก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่ทันแล้วล่ะ พี่ใหญ่มีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอยู่สองตน ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรวิเศษความเร็วสูงทั้งสิ้น ข้าออกไปตลอดทั้งบ่าย เกรงว่าตอนนี้เขาคงออกไปจากเมืองวิเศษเรียบร้อยแล้ว พอออกไปข้างนอกเขาก็มีสัตว์อสูรบินได้ กว่าพวกเราจะตามไปถึง เขาอาจจะเข้าไปในภูเขาแล้วก็เป็นได้” ลู่หย่วนพูดอย่างร้อนใจ “ไม่สนแล้ว จะได้หรือไม่ก็ต้องไปหาพี่ใหญ่ให้ได้ พี่รองได้รับบาดเจ็บไปแล้ว พี่ใหญ่จะมาบาดเจ็บอีกคนไม่ได้นะ”
“แค่กๆ”
ขณะนี้เอง ประตูห้องนอนห้องหนึ่งก็เปิดออก ชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวผู้หนึ่งเดินออกมา บนแขนของเขาพันผ้าพันแผลเอาไว้ด้วย เขาก็คือพี่รองลู่หมิงแห่งตระกูลลู่นั่นเอง
“น้องสาม เจ้าไปหยุดพี่ใหญ่เดี๋ยวนี้เลย จะต้องพาเขากลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ” ลู่หมิงใช้มือซ้ายยันประตูเอาไว้พลางมองลู่หย่วน
“พี่รอง ร่างกายท่านอ่อนแอเช่นนี้ แล้วจะออกมาทำไมกันเล่า!” ลู่ยวนเข้าไปพยุงลู่หมิงเอาไว้
“ข้าไม่เป็นไรหรอก น้องสาม เจ้ารีบไปเร็วเข้าสิ!” ลู่หมิงตะคอกอย่างร้อนใจ
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ลู่หย่วนรับคำ หลังจากนั้นจึงพูดกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ เรื่องนี้ข้า…”
“ที่นั่นมีสัตว์อสูรเทพที่เทียบเคียงได้กับระดับจ้าววิญญาณ ถ้าหากพี่ใหญ่ของเจ้าไปที่นั่นแล้วเจ้าไปคนเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะประสบอันตรายเช่นเดียวกันก็ได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นข้าก็จะไปอยู่ดี! ต่อให้ข้าต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ก็ต้องพาพี่ใหญ่กลับมาให้จงได้!” ลู่หย่วน พูดอย่างแน่วแน่
“เช่นนี้แล้วกัน พี่ใหญ่ พวกท่านไปกับเขาที” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองพวกซือหม่าโยวหมิง
“ได้สิ” พวกซือหม่าโยวหมิงก็เห็นใจพี่น้องเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากให้เขาไปตามลำพัง ไม่แน่ว่าอาจต้องเอาชีวิตสองพี่น้องไปทิ้งกลางป่าเขาจริงๆ ก็เป็นได้
“ไม่ต้องหรอก ที่นั่นอันตรายถึงเพียงนั้น…” ลู่หย่วนยังพูดปฏิเสธไม่ทันจบประโยคก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อนแล้ว
ซือหม่าโยวเล่อก้าวเข้าไปคว้าตัวเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ไปอีก อาจจะสายเกินไปแล้วจริงๆ ก็ได้นะ”
เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีก็ตามไปด้วย เหลือเอาไว้เพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมีนามว่าอย่างไรกันบ้าง” ลู่หมิงเดินเข้ามาโดยมีลู่ยวนช่วยประคองเอาไว้
“ซือหม่าโยวเย่ว์”
“เป่ยกงถัง”
ลู่หมิงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามว่า “เป็นคนตระกูลซือหม่าหรือ”
“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“วันนี้พวกเจ้ามาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ” สีหน้าของลู่หมิงไม่น่าดูแต่อย่างใดเลย เขาเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกไปแล้วว่ามรดกของครอบครัวเราถูกทำลายไปนานแล้ว ต่อให้พวกเจ้ามาก็หาอะไรไม่พบอยู่ดี หรือจะบอกว่าพวกเจ้าก็คิดจะมาที่นี่เพื่อขนย้ายข้าวของของพวกเราเหมือนคนพวกนั้นกันเล่า”
“หา?” ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังต่างตกตะลึงแล้วเอ่ยว่า “ย้ายข้าวของอะไรหรือ”
“พวกเจ้ามิได้มาย้ายข้าวของหรอกหรือ” ลู่ยวนมองทั้งสองคนพลางเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ พวกเราได้พบกับลู่หย่วนที่ตลาดการค้าเสรี เห็นว่าเขาจะซื้อต้นหญ้าแรดที่อายุขัยไม่ถึงเกณฑ์ จึงเอ่ยปากเตือนสักหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อมาเขาถามหาต้นหญ้าแรดจากข้า และข้าก็เกิดความสนใจในอาการบาดเจ็บของเจ้าพอดี จึงอยากมาดูสักหน่อยน่ะ”
ลู่หมิงมองประเมินซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นลงรอบหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว สมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าที่อยู่ที่นี่ไม่มีพวกเจ้า พวกเจ้าเพิ่งมาที่เมืองวิเศษสินะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าลู่หมิงจะเดาออกในทันที จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาที่นี่เลย”
“เช่นนั้นพวกเจ้าจงรีบไปเสียดีกว่า เดิมทีตระกูลซือหม่าก็มีความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับสมาคมนักหลอมยาอยู่แล้ว ถ้าหากมาข้องแวะกับพวกเรา เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าน่ะสิ” ลู่หมิงพูด
“เจ้าหมายถึงเรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่มู่น่ะหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่กระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย เธอมองประเมินลานบ้านอันทรุดโทรมนี้ ช่างสมถะอย่างที่สุดแล้วจริงๆ มีร่องรอยข้าวของไม่น้อยถูกเคลื่อนย้าย คาดว่าระยะนี้ข้าวของที่นี่คงถูกยกไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้ารู้จักหลี่มู่ด้วยหรือ” ลู่หมิงตกตะลึงอยู่บ้าง ทันใดนั้นก็พูดอย่างนึกขึ้นได้ว่า “จริงด้วยสิ น้องสามคงจะเล่าเรื่องของพวกเราให้พวกเจ้าฟังแล้ว”
“ไม่ใช่ พวกเรารู้จักตั้งแต่ที่เขาภาพมังกรแล้วล่ะ พวกเราปะทะกับเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของสมาคมนักหลอมยา ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงจะดีไปมากกว่านี้มิได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าจะไม่เชิญพวกเราเข้าไปนั่งสักหน่อยหรือ”
ลู่หมิงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ทั้งสองท่าน เชิญ”
พวกเขามาถึงบริเวณซึ่งควรจะเป็นโถงรับแขก แต่ที่นี่เหลือเพียงแค่ม้านั่งไม่กี่ตัวเท่านั้นแล้ว
“ข้าวของล้วนถูกคนยกย้ายไปหมดแล้ว พวกเจ้ารอสักครู่หนึ่งนะ น้องสี่ รินน้ำชามาให้แขกทั้งสองหน่อยสิ” ลู่หมิงเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ดูไม่มีพิธีรีตองเลยแม้แต่น้อย น่าจะไม่ถือสาเรื่องแค่นี้
ลู่ยวนนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าแดงเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงค่อย “พี่รอง ในบ้านไม่มีใบชาแล้ว”
ลู่หมิงสะดุ้ง จากนั้นจึงรู้สึกสลดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะ พวกพี่ใหญ่แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวอยู่แล้วกับการรักษาข้า”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรามิได้มาเพื่อดื่มชาของพวกเจ้าเสียหน่อย รินน้ำเปล่าให้พวกเราสองถ้วยก็มิได้แตกต่างกันหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
อันที่จริงแล้วเธอก็มิได้อยากดื่มน้ำ แต่พูดเช่นนี้ออกมาเพื่อบรรเทาความอับอายขายหน้าของพวกเขา
“ก็ได้ พวกท่านรอสักครู่หนึ่งนะ” ลู่ยวนพูดแล้วเดินออกไป
ซือหม่าโยวเย่ว์มองมือขวาของลู่หมิงพลางเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าเปลวเพลิงของหลี่มู่นั้นมิใช่เปลวเพลิงธรรมดา แผลไหม้มาหนึ่งเดือนก็ยังไม่หายอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว” ลู่หย่วนพยักหน้า “ทุกครั้งที่กินยา แขนข้าก็จะดีขึ้นสักพักหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็กลับมามีสภาพเช่นนี้อีกแล้ว”
“ข้าขอดูแขนเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม