ลู่หมิงนิ่งเงียบอยู่สองวินาทีก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้แขนข้าออกจะน่ากลัวอยู่บ้าง ช่างมันเถิดนะ”
“ข้าเป็นหมอ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าจนหายก็ได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ลู่หมิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารักษาไม่ได้หรอก บริเวณที่เปลวเพลิงของหลี่มู่แผดเผาจะต้องเหลือวัตถุธาตุไฟทิ้งเอาไว้ ไม่มีทางขับออกได้ ไม่มีทางทำลายได้ วัตถุธาตุไฟพรรค์นี้ นอกจากนายของมันเองจะมาสูบออกไปแล้ว ก็มีเพียงการใช้ต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีขึ้นไปเท่านั้นจึงจะรักษาให้หายได้”
“วัตถุธาตุไฟคงอยู่ในร่างกายของเจ้าได้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ใช่แล้ว ยาวิเศษที่ข้ากินมาตลอดหนึ่งเดือนนี้มากพอที่จะให้คนมีแผลไหม้ทั่วไปถอดร่างเปลี่ยนกระดูกได้เลยทีเดียว แต่เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ เลือดเนื้อที่เพิ่งเจริญขึ้นมาใหม่ทนอยู่ได้แค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถูกวัตถุธาตุไฟในร่างกายแผดเผาไปจนหมดสิ้นแล้ว” ลู่หมิงพูดอธิบาย
ในขณะนี้เอง ลู่ยวนก็ยกน้ำเข้ามาสองถ้วยพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีขึ้นไปนี้จะหายาก แต่ก็มิใช่ว่าจะหาไม่ได้เลย ทว่าเจ้าหลี่มู่ผู้นั้นกลับห้ามไม่ให้ผู้คนของเมืองวิเศษขายให้กับพวกเรา ทำเอาพี่ใหญ่พี่สามต้องไปเสาะหาถึงในภูเขา ช่างใจอำมหิตเสียจริง!”
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างแย่ที่สุดข้าก็แค่ตัดแขนทิ้งเสียให้สิ้นเรื่อง ขอแค่พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็พอแล้ว” ลู่หมิงพูด
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า!” ลู่ยวนพูด “พรสวรรค์ในการหลอมยาของท่านยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ถ้าหากตัดแขนตัวเองแล้วต่อจากนี้ท่านจะหลอมยาได้อย่างไรกัน”
“ข้าคนเดียวลากพวกเจ้าสามคนให้พลอยลำบากไปด้วย แค่นี้ข้าก็ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว ตอนนี้พี่ใหญ่ยิ่งออกไปเสี่ยงอันตราย ขอเพียงแค่พวกเราทั้งตระกูลมีชีวิตอยู่ดี ต่อให้มีแขนเดียวข้าก็อยู่ต่อไปได้น่า”
“ไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทอะไรมากมายเพียงใด พวกเราก็ต้องรักษาท่านจนหายดีให้จงได้ ท่านอย่าลืมสิว่าท่านยังแบกรับภาระอันหนักอึ้งในการพลิกฟื้นตระกูลลู่อยู่ด้วยนะ!” ลู่ยวนในตอนนี้เด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง
“อะแฮ่มๆ” ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะซาบซึ้งในความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ก็ไม่ควรทำเหมือนว่าพวกเธอไม่มีตัวตนอยู่สิ
ลู่หมิงและลู่ยวนจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขายังอยู่ด้วย จึงยิ้มให้พวกเขาอย่างขอโทษขอโพย
“ข้ารับปากลู่หย่วนเอาไว้แล้ว ถ้าหากเจ้าให้ข้าดูบาดแผลของเจ้า ข้าก็จะมอบต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีให้กับพวกเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบต้นหญ้าแรดออกมาต้นหนึ่ง
“ต้นหญ้าแรด!” พี่น้องตระกูลลู่เห็นสมุนไพรในมือซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพากันร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
“ตอนนี้จะให้ข้าดูบาดแผลของเจ้าได้แล้วหรือยังเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองลู่หมิง
“ได้สิ!” คราวนี้เขายอมรับปาก เพราะถึงจะไม่ให้เธอดูในตอนนี้ อีกประเดี๋ยวตอนให้รักษา เขาก็ต้องเปิดให้ดูอยู่ดี
ลู่ยวนก้มตัวลงแกะผ้าพันแผลออกจากมือของลู่หมิง แขนที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนดำเป็นตอตะโกปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ยังดีที่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังล้วนมีจิตใจอันแข็งแกร่ง ดังนั้นถึงแม้ว่าจะตกอกตกใจกับแผลนี้ แต่ก็มิได้แสดงท่าทีตกใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปตรวจดูครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “มีวัตถุธาตุไฟหลงเหลืออยู่จริงๆ ด้วย แต่ยังดีกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้อยู่พอสมควรเลย”
“นั่นเป็นเพราะว่าถึงแม้เปลวเพลิงของหลี่มู่จะมิใช่เปลวเพลิงธรรมดา แต่ระดับขั้นก็มิได้สูงมากนัก มิได้โดดเด่นเหมือนไฟพิสดารเหล่านั้น” ลู่หมิงพูด
ลู่ยวนมองดูท่าทางการตรวจอันจริงจังของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงเอ่ยถามว่า “คุณชายซือหม่า ท่านมีหนทางช่วยเหลือพี่รองของข้าหรือไม่”
“อืม วัตถุธาตุไฟนี้ระดับขั้นไม่สูงจริงๆ ไม่อย่างนั้นต้นหญ้าแรดนี่ก็คงไร้ประโยชน์แล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อาการบาดเจ็บของพี่ชายเจ้ามิได้หนักหนาอะไร อีกไม่นานก็คงหายดีแล้ว”
“อีกไม่นานก็จะหายดีแล้วอย่างนั้นหรือ” ลู่ยวนคว้าชายเสื้อของซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้อย่างตื่นเต้น “จริงหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วแบ่งต้นหญ้าแรดออกเป็นสองส่วน เธอส่งส่วนรากให้เป่ยกงถังเพื่อให้เธอหลอมยาวิเศษชนิดหนึ่งขึ้นมา หลังจากนั้นจึงให้ลู่ยวนไปยกน้ำมาอ่างหนึ่ง
จากนั้นเธอก็จุดไฟขึ้นกองหนึ่งแล้วทำการกลั่นต้นหญ้าแรดส่วนที่เหลือจนเป็นสารสกัดเหลว พอกลั่นไปได้จำนวนหนึ่งแล้วจึงเก็บเปลวเพลิงขึ้นมา สารสกัดเหลวเหล่านั้นจึงหยดลงไปในอ่างน้ำ
เธอยื่นมือลงไปในอ่างน้ำแล้วคนอยู่หลายครั้งพลางเอ่ยว่า “เจ้าวางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บลงไปในน้ำสิ”
ลู่หมิงพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาหย่อนแขนลงไป แขนที่ปวดแสบปวดร้อนมาโดยตลอดรู้สึกเย็นฉ่ำขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างหาใดเปรียบ
“โคจรปราณวิญญาณในร่างกายแล้วดูดซับสารสำคัญในน้ำเข้าไปเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอยู่ข้างๆ
อันที่จริงแล้วต่อให้เธอไม่เอ่ยเตือน ลู่หมิงก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำเช่นไร เพียงไม่นานน้ำในอ่างก็กลับมาใสสะอาดดังเดิม
“พี่รอง เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่ยวนถามพลางจ้องมองเขา
ลู่หมิงยกแขนของตนออกมาพลางเอ่ยว่า “ไม่รู้สึกแสบร้อนแล้วละ”
เขารับสัมผัสแขนตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างดีใจว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีวัตถุธาตุไฟอยู่อีกต่อไปแล้ว! เหลือเพียงแค่ส่วนที่ติดอยู่กับกระดูกและเส้นลมปราณ แต่มีจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง”
ขณะนี้เอง เป่ยกงถังก็หลอมยาวิเศษเสร็จเรียบร้อยแล้วนำมาให้ลู่หมิงกินลงไป
ผ่านไปครู่หนึ่งลู่หมิงจึงเอ่ยว่า “วัตถุธาตุไฟถูกขจัดไปหมดแล้ว!”
“จริงหรือ ดีเหลือเกิน!” ลู่ยวนตื่นเต้นดีใจจนแทบกระโดด
ซือหม่าโยวเย่ว์มอบยาวิเศษให้เขากินอีกเม็ดหนึ่ง
เพียงไม่นานสะเก็ดสีดำบนท่อนแขนของลู่หมิงก็หลุดร่วงไปจนหมด เนื้อใหม่เจริญขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ยาวิเศษชนิดนี้ให้ผลดีกว่ายาที่พี่รองเคยกินก่อนหน้านี้เสียอีก!” ลู่ยวนพูดยิ้มๆ
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งมาถึงโลกแห่งนี้ ได้กินยาวิเศษรักษาแผลขั้นสามครั้งแรก ก็ทำให้เธอหายดีได้อย่างรวดเร็วแล้ว ตอนนี้ระดับขั้นของยาวิเศษสูงขึ้นอีก ก็ย่อมออกฤทธิ์ได้ดีกว่าและรวดเร็วกว่า
“ไม่มีวัตถุธาตุไฟอยู่บนแขนแล้ว ดังนั้นตอนนี้ฤทธิ์ยาก็คงจะดีขึ้นบ้างแล้วละ” ลู่หมิงพูด
ลู่ยวนจ้องมองท่อนแขนของลู่หมิง ก่อนหน้านี้แขนของเขาก็มีเนื้อใหม่เจริญขึ้นมา แต่เพียงครู่เดียวก็ถูกแผดเผาจนดำเป็นตอตะโกเช่นเดิมอีก
แต่ลู่หมิงจะไม่ทำก็ไม่ได้ มิฉะนั้นวัตถุธาตุไฟเหล่านั้นก็จะแผดเผากระดูกและเส้นลมปราณจนหมด
เมื่อเห็นพี่ชายของตนต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า พี่น้องตระกูลลู่ต่างก็เจ็บปวดใจไม่น้อย
ลู่หมิงเข้าใจความคิดของน้องสาวตน จึงใช้แขนอีกข้างหนึ่งลูบศีรษะนางพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วางใจเถิด คราวนี้ไม่เป็นเหมือนเดิมแน่”
“อืม” ลู่ยวนพยักหน้า หยาดน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
พลังจิตของลู่หมิงในตอนนี้แตกต่างกับตอนที่ได้พบหน้ากันครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาตลอดร่าง เขาคารวะซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังอย่างใหญ่โตพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณทั้งสองท่านมากที่ช่วยเหลือ แต่พวกเราไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนพวกเจ้าทั้งสองได้เลย”
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ข้าเห็นเจ้าหลี่มู่ผู้นั้นไม่เข้าตา จะช่วยเจ้าสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ค่อยว่ากันเถิด ข้าบอกแล้วว่าเจ้าให้ข้าดูอาการแล้วข้าจะมอบต้นหญ้าแรดให้เจ้า ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกอะไรให้มากมายนักเลย”
“เช่นนั้นก็ยังต้องขอบคุณอยู่ดี” ลู่หมิงพูด
“เหตุใดพวกเจ้าจึงอาศัยอยู่ในเขตศูนย์กลางได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม เปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้สำเร็จ
ลู่หมิงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าตระกูลลู่ของข้าจะมีจำนวนคนบางตามาโดยตลอด แต่ก็นับได้ว่าเป็นตระกูลนักหลอมยา บรรพชนผู้ก่อตั้งของพวกเราเคยเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสมาคมนักหลอมยา เพราะประสบความสำเร็จอย่างกว้างไกลในด้านนักหลอมยา ดังนั้นจึงได้รับอนุญาตให้พักอาศัยในเขตศูนย์กลางได้ แต่ต่อมาตระกูลพวกเราถูกตระกูลหลี่ลอบทำร้าย ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสิ้นชีพโดยไม่คาดคิดในขณะหลอมยา ท่านปู่ท่านทวดท่านอื่นๆ ก็ประสบเหตุไม่คาดฝันขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน จนถึงตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่พวกเราสี่พี่น้องเท่านั้น”