ซือหม่าโยวเย่ว์ปัดไม้ปัดมือพลางมองคนบนหลังคาพลางเอ่ยว่า “ท่านมาได้อย่างไรกัน”
“ผ่านมาทางนี้แล้วได้ยินเสียงเจ้าเข้าพอดี ก็เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะสิ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อาจารย์พูดได้ว่าผู้เป็นศิษย์พี่เช่นข้าเห็นศิษย์น้องถูกผู้อื่นรังแกแล้วไม่ช่วยประคับประคองเจ้า” อูหลิงอวี่ลงมาจากหลังคาพลางอมยิ้มพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขา เธอไม่เชื่อคำพูดของเขาเลย
“ท่านผู้นี้คือใครหรือ” ลู่หมิงเห็นอูหลิงอวี่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ดูสูงส่งน่าเลื่อมใสจึงเอ่ยถามขึ้น
“ข้าคือศิษย์พี่ของเขา ชื่ออูหลิงอวี่” อูหลิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม
“อูหลิงอวี่หรือ ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน” ลู่ยวนเอียงศีรษะครุ่นคิด
ลู่หมิงตกตะลึง ก่อนจะมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วคารวะอูหลิงอวี่พลางเอ่ยว่า “คารวะท่านผู้วิเศษ”
“ไม่ต้องมากพิธี” อูหลิงอวี่พูดพลางโบกไม้โบกมือ
“ผู้วิเศษหรือ อ๊ะ… ข้านึกออกแล้ว วันนั้นตอนที่พี่สามกลับมา เขาบอกว่ามีท่านผู้วิเศษลงมาจากเบื้องบนท่านหนึ่ง ที่แท้ก็คือท่านนี่เอง!” ลู่ยวนพูดอย่างตกตะลึง “คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้เห็นท่านผู้วิเศษกับตาตัวเอง”
อูหลิงอวี่พยักหน้าให้นางเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางถามว่า “ศิษย์น้อง แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ซึ่งทำให้อูหลิงอวี่ขมวดคิ้ว
“ท่านผู้วิเศษ คุณชายซือหม่า คุณหนูเป่ยกง พวกเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” ลู่หมิงปล่อยให้พวกเขายืนอยู่ที่ลานบ้านอย่างเสียมารยาทจึงเอ่ยขึ้น
พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเป็นถึงศิษย์น้องของอูหลิงอวี่ ในเมื่อเธอมีผู้หนุนหลังที่แกร่งกล้าเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะถูกหลี่มู่ทำร้ายแล้ว
“รอเดี๋ยว มีคนมา จัดการเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“หืม?”
สองพี่น้องยังคงงุนงงไม่หาย คนกลุ่มหนึ่งก็ถีบประตูเข้ามา
“ใครคือซือหม่าโยวเย่ว์ มารับความตายเดี๋ยวนี้!” ผู้มาเยือนเข้ามาถึงก็ตะคอกใส่ เมื่อเห็นในลานบ้านมีคนยืนอยู่หลายคน จึงเอ่ยว่า “คนไหนในบรรดาพวกเจ้าที่ชื่อซือหม่าโยวเย่ว์”
“กำลังเสริมแห่กันมารวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนที่ตามมาด้านหลัง “ยังจะกล้าพาคนมาหาเรื่องอีก ดูท่าทางเมื่อครู่พวกเจ้าคงจะยังสนุกกันไม่พอสินะ!”
ชายที่เป็นหัวหน้าเมื่อครู่มองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าลำพองใจไปเลย ตอนนี้พวกลูกพี่ข้ามากันแล้ว เพื่อกำจัดเจ้าโดยเฉพาะเลยละ!”
พวกเขาเพิ่งจะวิ่งออกจากที่นี่ไปหมาดๆ ยังผ่านถนนไปได้ไม่ถึงสองสายก็เห็นลูกพี่ของตนเข้าเสียก่อน จึงเล่าเรื่องที่ตนถูกทำร้ายให้ฟัง ลูกพี่จึงรีบพาคนยกโขยงมาที่นี่ในทันที
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าไปพาคนพวกนี้มาหมายจะจัดการข้า ดูท่าทางจะด้อยเกินไปหน่อยนะ”
“ปากกล้าอย่างหน้าไม่อายเลยนะ! ข้าจะจัดการเจ้าก่อนเลย” ลูกพี่ผู้นั้นพูดพลางรวบรวมปราณวิญญาณ ปรากฏว่าเป็นยอดฝีมือระดับบรรพวิญญาณ
ซือหม่าโยวเย่ว์ร่างกายวูบไหว เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้า แล้วเตะเขาออกไปเช่นเดียวกัน
“ปึง…”
ลูกพี่ผู้นั้นกระแทกลงบนธรณีประตูอย่างแรง
ทุกคนต่างตะลึงลาน ลูกพี่ของตนก็ยังสู้เธอมิได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวเลยหรือ!
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้มองดูสภาพของลูกพี่ผู้นั้นเลย เธอสับ เตะ กระทืบ จนคนสิบกว่าคนนั้นถูกเธอคว่ำจนหมดภายในหนึ่งนาที
เธอปัดไม้ปัดมือพลางมองดูพวกเขาอย่างผู้ที่เหนือกว่า “ข้าบอกแล้วว่าหมายจะจัดการข้า พวกเจ้ายังด้อยเกินไปหน่อยนะ”
“ใครมาทำตัวป่าเถื่อนในบ้านข้าน่ะ!” เสียงตวาดอันหยาบกระด้างเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกประตู จากนั้นเงาร่างคนผู้หนึ่งก็เคลื่อนตัวจากด้านนอกเข้ามาในเรือน
“พี่ใหญ่!” เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามา ลู่ยวนจึงเอ่ยเรียกอย่างดีใจ
“น้องสอง น้องสี่ พวกเจ้าไม่เป็นไรกระมัง” ลู่เฟยเห็นผู้คนในลานบ้านก็รู้ว่าคนเหล่านี้มาหาเรื่องอีกแล้ว
คนพวกนี้มักจะรอจังหวะตอนที่เขาไม่อยู่มาหาเรื่องทุกครั้ง กว่าเขาจะกลับมา น้องชายน้องสาวของตนก็ถูกรังแกไปเรียบร้อยแล้ว
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่เป็นไร ท่านมิได้พบกับพวกพี่สามหรอกหรือ” ลู่ยวนถาม
“ได้พบแล้วละ” ลู่เฟยพูด
ถ้าหากมิใช่เพราะได้พบพวกเขา คราวนี้ตนคงไม่อาจหนีรอดออกมาจากเทือกเขาหมื่นอสูรได้แล้ว
เขาเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ลู่หย่วนก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นร่างคนเกลื่อนพื้นจึงเอ่ยอย่างตกใจอยู่บ้างว่า “พี่รอง พวกท่านไม่เป็นไรกระมัง”
“ไม่เป็นไร” ลู่หมิงส่ายหน้า
“เจ้าพวกนี้แห่กันมาอีกแล้ว!” ลู่หย่วนกระทืบคนบนพื้นอย่างแรงสองที
จากนั้นพวกซือหม่าโยวเล่อก็เดินเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นคนในเรือนแล้วต่างพากันขมวดคิ้ว
“พี่รอง มือของท่านหายดีแล้วหรือ!” ลู่หย่วนเห็นมือของลู่หมิงไม่ดำเป็นตอตะโกอีกแล้วจึงวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ
“ใช่ หายดีแล้วล่ะ” ลู่หมิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าคงได้แต่ตัดแขนตัวเองทิ้งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะหายดีแล้ว ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“แล้วจะทำเช่นไรกับคนพวกนี้ดีเล่า” ลู่เฟยเตะคนที่อยู่ข้างเท้าทีหนึ่งพลางเอ่ยถาม
“ทำให้พิการแล้วโยนออกไปเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเจ้ากล้ารึ!” ลูกพี่ผู้นั้นตะคอก “พวกเราเป็นคนของใต้เท้าหลี่มู่เชียวนะ พวกเจ้ากล้าแตะต้องพวกเราอย่างนั้นหรือ รนหาที่ตายสินะ”
“ที่แท้ก็เป็นสุนัขรับใช้ของหลี่มู่กันหมดเลยนี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มเย็น “เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่า ข้ารังเกียจการที่ผู้อื่นบอกข้าว่าเป็นสุนัขรับใช้ของหลี่มู่ที่สุดเลย ข้ามิอาจแตะต้องคนของสมาคมนักหลอมยา แล้วยังมิอาจแตะต้องพวกเจ้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ปกติพวกเขาก็คอยรังแกผู้อ่อนแอและผู้ที่มาจากภายนอกเมืองวิเศษอยู่ตลอด ทำเรื่องชั่วช้ามาไม่น้อยเลยละ ทำให้พวกเขาพิการไป พวกเขาจะได้ทำเรื่องชั่วไม่ได้อีก” ลู่ยวนพูด
“ข้าก็รู้สึกว่าข้าอยากจะทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว!” ลู่เฟยเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามิใช่สุนัขรับใช้ของหลี่มู่หรอกหรือ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้านายของพวกเจ้าจะดีต่อพวกเจ้าสักเพียงใดกัน”
พอพูดจบเขาก็เหยียบลงบนท้องน้อยของคนเหล่านั้นแล้วกระทืบจนพิการ
“น้องสาม มา โยนออกไปที”
“ได้เลย พี่ใหญ่”
สองพี่น้องโยนผู้มาเยือนออกไปจนหมด หลังจากนั้นจึงปิดประตูลงเสียงดังปัง
คนเหล่านั้นนอนแผ่อยู่บนพื้น ไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองได้กลายเป็นคนพิการไปเสียแล้ว
ผู้คนล้อมวงเข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นคนที่นอนแผ่อยู่ แต่ละคนก็พากันตกตะลึง
“เป็นพวกเขาไปได้อย่างไรกัน พวกเขามิใช่ลูกน้องของหลี่มู่หรอกหรือ”
“สวรรค์เอ๋ย กล้าแตะต้องแม้กระทั่งคนของหลี่มู่ พี่น้องตระกูลลู่พลิกฟ้าดินเสียแล้วสิ!”
“หึๆ ถ้าหากข้าเป็นพวกเขาก็คงพลิกฟ้าดินไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นหรือว่าตลอดหลายปีมานี้พวกเขาพี่น้องถูกรังแกจนมีสภาพอย่างไรไปเสียแล้วน่ะ”
“ก็จริง ตระกูลนี้ถูกพวกเขาย้ายข้าวของไปจนเกลี้ยงแล้ว”
“พวกเขาจะทำเช่นไรได้เล่า รุ่นผู้ใหญ่ของตระกูลล้วนเกิดเรื่องจนลาจากโลกนี้ไปกันหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เด็กสี่คนเท่านั้น แล้วจะต่อสู้เอาชนะตระกูลหลี่ได้อย่างไร”
“เฮ้อ… เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของรุ่นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ตอนนี้กลับต้องให้เด็กไม่กี่คนนี้มารับผลกรรมแทนเสียอย่างนั้น”
“ตอนนี้พวกเขาทำให้คนของหลี่มู่พิการเสียแล้ว เกรงว่าจะต้องเผชิญกับการเอาคืนของอีกฝ่ายน่ะสิ!”
“เฮ้อ… ช่างเป็นเด็กๆ ที่น่าสงสารเสียจริง”
“แยกย้ายกันดีกว่านะ ถ้าหากใครมาเห็นเข้าว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าพวกเราเองก็อาจจะพลอยลำบากไปด้วย”
ผู้คนที่มามุงดูเดินจากไปโดยไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือคนบนพื้นเลยแม้แต่คนเดียว ราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาหมดหนทาง จึงได้แต่เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของตนออกมา ให้พวกมันแบกพวกตนกลับไป
ตอนที่หลี่มู่ได้รับข่าวว่าคนของตนถูกทำร้ายจนพิการนั้นเขาก็กำลังเดินออกจากตระกูลหลี่อยู่พอดี ขณะนั้นสีหน้าเขาอึมครึมจนน่ากลัว
กล้าทำร้ายแม้กระทั่งคนของเขา ช่างบังอาจยิ่งนัก!
“เจ้าบอกว่าใครอยู่กับพวกเขานะ” รัศมีบนร่างเขากดดันอย่างหนักเสียจนน่าหวาดหวั่น
เด็กรับใช้ที่มารายงานตกใจจนสองขาอ่อนยวบ จึงพูดตะกุกตะกักว่า “คือ… คือซือหม่าโยวเย่ว์ขอรับ เขายังให้คนนำคำพูดมาบอกด้วยว่าให้ท่านไปเรียกเขาว่าลูกพี่ขอรับ”