“อืม……ถ้าความคิดและจิตใจถูกควบคุมโดยหยกเลือด จำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไร มันก็เป็นเรียกปกติ เรื่องนี้ผมเข้าใจ”
ชุยเซิ่งจุนพยักหน้า และพูดต่อ
“ฉันเชื่อว่าเหล่ากัวไม่ปิดบังอะไรฉัน แต่นายวางใจได้ ยังไงก็ยังมีเรื่องดี ถึงเหล่ากัวจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ แต่เขาพอจำเรื่องกำไลหยกเลือดนั่นได้”
“แล้วเขาพูดอะไร จากที่ผมเดา กำไลนั่นทำมาจากหยกเลือด เหล่ากัวน่าจะไม่รู้เรื่องนี้”
จริงๆ หลี่โม่พอเดาได้ในใจแล้ว เหล่ากัวเป็นผู้ถูกกระทำ ฆาตกรตัวจริงคือกำไลหยกเลือดนั่น
ชุยเซิ่งจุนชะงักไป เขากำลังจัดการความคิด และเอ่ยว่า
“ถึงเหล่ากัวจะเคยได้ยินเรื่องหยกเลือด แต่เขาไม่รู้ว่ากำไลที่ตัวเองใส่ ทำมาจากหยกเลือด จากที่เขาพูด ตอนที่ได้กำไลนี้มา เขาเข้าใจว่าเป็นหยกหนานหง เขาไม่คิดว่าจะเป็นของปลอม เฮ้อ เรียกได้ว่าคนที่ปลอมมันขึ้นมา มีฝีมือมาก มิน่าล่ะคนที่ชำนาญอย่างเหล่ากัวยังดูไม่ออก……”
“อืม……ผมก็คิดอย่างนี้ สี การผลิตและผิวสัมผัสของหยกเลือด อยู่ในระดับของปลอมชั้นยอดของหนานหง คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ ใช่สิ มีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง เหล่ากัวบอกหรือเปล่าว่าได้กำไลนี้มาจากไหน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่โม่นั่งหลังตรง สีหน้าของเขาไม่เหมือนเดิม จู่ๆ เขาก็จริงจังขึ้นมา
ในทางกลับกัน ดูเหมือนชุยเซิ่งจุนจะไม่แสดงอารมณ์มากนัก
“อืม เขาพูดนะ เขาบอกว่าได้กำไลมาจากไหน แต่ไม่น่าจะช่วยอะไรเราได้มาก……”
“อะไรนะ คุณหมายความว่าอะไร”
สีหน้าของชุยเซิ่งจุนสลด เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“เหล่ากัวบอกว่า ก่อนหน้านี้มีชายคนหนึ่งเอากำไลนี่มาต่อรองกับเขา แต่ตอนนั้นเหล่ากัวคิดว่าเป็นกำไลชั้นดีของหนานหง เขาเลยให้ราคาแปดหมื่น ชายคนนั้นพอใจมาก แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ตอนที่เหล่ากัวทำเอกสาร เตรียมจะให้ชายคนนั้นเซ็นรับเงิน ชายคนนั้นกลับหายตัวไป……”
“แล้วเหล่ากัวจำชายคนนั้นได้ไหม”
“จากความทรงจำของเหล่ากัว ตอนชายคนนั้นมาถึง เขาสวมสเวตเตอร์ และเอาแต่ก้มหน้า เลยเห็นหน้าไม่ชัดเจน……แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ชัดเจน มือข้างขวาของชายคนนั้น มีแค่สี่นิ้ว มันหายไปหนึ่งนิ้ว”
“อืม……ถึงจะเป็นลักษณะเด่น แต่มันบอกอะไรไม่ได้มาก……ถ้าเห็นหน้าไม่ชัดเจน ก็ยากที่จะสืบหา อ้อ ใช่สิ! ตอนมัดจำต้องใช้บัตรประชาชนไม่ใช่เหรอ บัตรประชาชนของชายคนนั้นล่ะ”
ชุยเซิ่งจุนถอนหายใจและส่ายหน้า
“ฉันดูบันทึกมาแล้ว ข้อมูลในบัตรประชาชนเป็นของปลอม สืบหาอะไรไม่ได้เลย……”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เหตุการณ์มันก็ชัดเจนแล้ว
หาคนที่มือขวามีแค่สี่นิ้ว ท่ามกลางคนมากมายแบบนี้ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
ตอนนี้ทั้งสองคนสิ้นหวังเป็นอย่างมาก……
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่โม่เอ่ยขึ้นว่า
“ตอนนี้เราค่อยแก้ปัญหานี้ ผมมีอีกเรื่องที่จะปรึกษาคุณ”
“อืมได้สิ นายว่ามาเลย”
“ชุยเซิ่งจุน คุณเคยคิดหรือเปล่า ว่าทำไมผมถึงกลายเป็นเป้าหมายของเหล่ากัว ทำไมไม่ใช่คุณ ฟางรั่วเสว่หรือคนอื่น ถ้าพูดตามเหตุผล คนที่โดนหยกเลือดครอบงำจนคลั่ง เขาควรทำร้ายคนใกล้ตัวที่สุดก่อนสิ ตอนที่เหล่ากัวคลั่ง เป้าหมายแรกของเขา ควรเป็นคุณที่เมา และโดนเขาประคองเข้าไปในห้องไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณ เลยทำให้เขาทำใจไม่ได้ ที่จะลงมือกับคุณ มันเป็นไปได้หรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้แน่นอน คนที่โดนหยกเลือดครอบงำ จะมีสติหรือความรู้สึกได้อย่างไร……ฉันเคยคิดเรื่องที่นายพูด แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ ต่อมาฉันจึงไปถามพ่อ……”
เมื่อพูดถึงพ่อ ชุยเซิ่งจุนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสูดหายใจแล้วพูดต่อ
“ฉันถามพ่อ ได้คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าเหล่ากัวเห็นนายเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาโดนดึงดูด บางทีบนตัวนาย อาจจะมีอะไรดึงดูดเขาก็ได้”
หา? ยังมีความคิดแบบนี้อีกเหรอ หลี่โม่คิดในใจ เขามีสีหน้าประหลาดใจ และพูดอะไรไม่ออก
“ฉันรู้ว่ามันเข้าใจยาก อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจที่พ่อพูด เรื่องที่บนตัวนาย มีสิ่งพิเศษที่สามารถดึงดูดเหล่ากัว คงมีแต่ตัวนายเท่านั้นที่รู้……เหล่ากัวที่คลั่งจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จึงเลือกนายเป็นเป้าหมาย คงสามารถอธิบายได้เพียงเท่านี้”
สิ่งพิเศษอย่างนั้นเหรอ ตัวเขามีอะไรที่แตกต่างจากฟางรั่วเสว่และชุยเซิ่งจุนอย่างนั้นเหรอ หรือตัวเขาจะมีอะไรพิเศษ ที่คนทั่วไปไม่มีจริงๆ
หลี่โม่ตอบชุยเซิ่งจุนไม่ได้ เขาเอามือกุมปากและครุ่นคิด……
สิ่งพิเศษ……
ที่สามารถดึงดูดเหล่ากัวจนคลั่ง……
เหล่ากัวคลั่งเพราะหยกเลือด……
หยกเลือดทำให้คนคลั่งจนฆ่าคนได้……
คลั่ง ฆ่าคน……
กฎที่แสนคุ้นเคยนี้……
หลี่โม่คิดถึงตรงนี้ เขารู้สึกขนลุกไปหมด
ชุยเซิ่งจุนมองหลี่โม่ที่เคร่งขรึม และไม่พูดอะไร เขาจึงยื่นมือไปสะกิดหลี่โม่
“นี่ นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม คิดอะไรอยู่ ทำไมถึงใจลอยขนาดนั้น”
หลี่โม่ตั้งสติได้ เขาถอนหายใจ และจัดการกับอารมณ์ให้ปกติ
“ไม่มีอะไร เรื่องนี้ค่อนข้างลึกลับ ต้องใช้สมองนิดหน่อย……”
“เฮ้อ ไม่มีทางเลือก ตอนนี้สืบได้เท่านี้ แต่นายวางใจเถอะ ฉันจะสืบต่อ ไม่แน่ถ้าเหล่ากัวอาการดีขึ้น เขาอาจจะนึกออกก็ได้ ถ้าฉันมีข่าวอะไร จะรีบแจ้งนายทันที”
“โอเค งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน……”
ทั้งสองคุยกันมามากพอสมควร ชุยเซิ่งจุนอยากให้หลี่โม่อยู่ทานข้าวด้วยกัน แต่หลี่โม่ปฏิเสธแบบอ้อมๆ ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาทานข้าวแล้ว
ดังนั้นหลี่โม่จึงบอกลาชุยเซิ่งจุน และออกไป
เมื่อออกมาจากบ้านชุยเซิ่งจุน หลี่โม่โทรหาฟางรั่วเสว่ นึกไว้แล้วเชียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ฉีเป่าจาย
เฮ้อ……ช่างเป็นวันที่มีแต่อุปสรรค……
หลี่โม่ทอดถอนใจ
ดังนั้นเขาจึงมาหาฟางรั่วเสว่ที่ฉีเป่าจาย
หลี่โม่ไม่ยอมแพ้ เขายังอยู่ที่ฉีเป่าจายต่อ เขาซื้อขนมปังกับเครื่องดื่มที่ร้านสะดวกซื้อ และอยู่รอที่หน้าประตูฉีเป่าจายกับฟางรั่วเสว่ทั้งคืน
แต่พวกเขาไม่ได้อะไรเลย
จนกระทั่งเช้าวันต่อมา หลี่โม่ที่เบิกตารอมาทั้งคืน ทนไม่ไหวแล้ว เขาหลับอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
จนกระทั่งได้ยินเสียงของฟางรั่วเสว่ดังขึ้นข้างหู
“คุณหลี่ คุณหลี่ ตื่น……”
หลี่โม่สะดุ้งและพูดว่า
“มีอะไร”
ฟางรั่วเสว่ส่ายหน้า และยื่นมือถือให้เขา