“พวกเราจะไปเล่นกับเขาแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้น เราต้องไปที่ตลาดผีกันเสียก่อน ในเมื่อถังเส่าเป็นคนมอบหมายภารกิจนี้ให้เราด้วยตัวเอง เรื่องทั้งหมดคงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดไว้แน่” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมขึ้นคร่อมรถบีเอ็มดับเบิลยูโทมาฮอว์กของตัวเอง ระหว่างที่เธอกำลังใช้นิ้วเรียวยาวคาดหมวกกันน็อกอยู่นั้น เธอก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า ”ลูกชายคุณหายตัวไปที่หน้าประตูโรงเรียนใช่หรือเปล่า”
ผู้หญิงคนนั้นเช็ดน้ำตา แล้วพูดว่า ”ครูที่โรงเรียนบอกว่าอย่างนั้นค่ะ”
“เข้าใจล่ะ คุณกลับบ้านก่อนก็แล้วกัน ถ้ามีความคืบหน้าอะไรแล้วฉันจะติดต่อไป” หลังจากทุกความสงสัยได้รับการคลี่คลาย เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กำมือรอบแฮนด์รถ เธอสตาร์ทเครื่องยนต์ของเจ้าบีเอ็มดับเบิลยูโทมาฮอว์กแสนสวยของตัวเองแล้วพุ่งฉิวออกไปจากซอย มุ่งหน้าสู่ตลาดผี
ตลาดผีปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงปักกิ่งเก่า มันเป็นตลาดแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณที่จะเปิดทำการตั้งแต่ตะวันตกดินจนถึงรุ่งสาง ปกติแล้วสินค้าที่ขายอยู่ในตลาดนั้นมักจะเป็นวัตถุต้องห้ามเช่นมรดกตกทอดจากตระกูลขุนนางที่ล่มสลายไปแล้ว พวกวัตถุโบราณที่ขันทีขโมยมาจากวังหลวง หรือไม่ก็ข้าวของจากหลุมฝังศพที่โจรปล้นสุสานเป็นผู้นำมา
ผู้ขายมักจะตั้งร้านอยู่ในที่โล่งบนพื้นดินอันแห้งแล้ง ผู้ที่สนใจซื้อสินค้าจะต่อรองราคากับผู้ขายอย่างลับๆ ภายใต้แขนเสื้อของตัวเอง และแทบไม่มีการพูดจากันแม้แต่คำเดียว ดังนั้นทั่วทั้งตลาดจึงมีแต่ความเงียบ นอกจากนั้นบรรยากาศมืดสลัวของตัวตลาดก็ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังชื่อตลาดผีแห่งนี้อีกด้วย
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศก็เข้าสู่การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ส่งผลให้คนทั่วไปหันมาตามหาโบราณวัตถุเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์นี้จึงยิ่งกระตุ้นให้ตลาดผีได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ตลาดพานเจียหยวนในกรุงปักกิ่งและถนนป่าตั้งในเมืองเทียนจินเป็นตัวอย่างที่ใครๆ ต่างก็รู้จักดี
แต่เวลาเปิดทำการของตลาดผีปรับเปลี่ยนจากเดิมที่เคยเปิดตอนเที่ยงคืน กลายมาเป็นเปิดตั้งแต่เช้าวันเสาร์แทน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะเริ่มเตรียมตั้งร้านกันทันทีหลังจากตะวันขึ้น
ตลาดค้าของเก่าเหล่านี้มีความเป็นมาเช่นนี้นี่เอง แต่มีวัยรุ่นเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่จะรู้ว่าในปักกิ่งก็มีที่แห่งนี้อยู่ด้วย
มีแต่คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเก่าของปักกิ่งเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องนี้
แต่นอกจากพวกเขาแล้ว ก็คงมีแต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนเดียวที่ขี่รถจักรยานยนต์รุ่นโทมาฮอว์กไปที่ตลาดค้าของเก่าแห่งนี้
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นดูเหมือนเซียนของเก่า พวกเขาโบกพัดไม่ก็กำลังเล่นกับผลเกาลัดในมือ
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเย็น และพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน อีกทั้งวันนี้ก็เป็นวันจันทร์ ดังนั้นในตลาดพานเจียหยวนจึงมีผู้คนเดินทอดน่องอยู่เพียงไม่กี่คน ไม่อย่างนั้นทุกคนคงได้อ้าปากค้างใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยแน่
เมื่ออยู่ในตลาดผี เราย่อมต้องปฏิบัติตามกฎของมัน
ธนบัตรกงเต็กหนึ่งฉบับคือค่าเข้าประตูของที่นี่
ในไม่ช้า ประตูไม้ธรรมดาสภาพใกล้พังภายในตรอกเก่าๆ ก็เปิดออก เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินออกมาจากที่นั่นพร้อมกับเต่าในมือ ทันทีที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เลิกคิ้ว ”คุณคือ?”
“หากราชานรกเรียกมนุษย์เข้าพบกลางดึก มนุษย์คนนั้นย่อมไม่ควรกลับไปจนกว่าจะถึงรุ่งสาง” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวเข้าไปพร้อมกับเอ่ยรหัสผ่านนั้น ”ฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะตรวจสอบ”
เมื่อเด็กวัยรุ่นคนนั้นได้ยินรหัสผ่านและเห็นกระดาษกงเต็กในมือเธอ เขาก็ยื่นเต่าออกไปข้างหน้าเพื่อให้เต่าตัวนั้นงับกระดาษ
ธุรกิจแต่ละแบบมีกฎกติกาเป็นของตัวเอง ความร่วมมือนี้จะสัมฤทธิ์ผลเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อเต่าตัวนี้ยอมรับเงินกงเต็กที่ว่านั่น
นานแล้วที่เด็กวัยรุ่นไม่ได้ยินรหัสผ่านนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้านายของเขาแกล้งอำเขาเล่น ดังนั้นจึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาระแวดระวัง
ตลอดเวลานั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น เธอก็เห็นชายที่นั่งอยู่กลางห้องได้อย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็ฟาดหมัดแห่งมิตรภาพเข้าที่หลังศีรษะของชายคนนั้นทันที ”เลิกแสดงละครได้แล้ว วานร ถอดแว่นกันแดดออกด้วย! หรือนายเริ่มเชื่อแล้วว่านายตาบอดจริงๆ”
วานรจำเสียงนั้นได้ เขาจึงร้องออกมาว่า ”ลูกพี่! โอ้ สวรรค์! ลมอะไรหอบลูกพี่มาที่นี่หรือครับ”
“แน่ล่ะว่าฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะตรวจสอบ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบแว่นกันแดดของเขาขึ้นมาสำรวจดู ”แว่นกันแดดพวกนี้เป็นของแบรนด์ดังแถมยังแพงมากด้วยนี่ นายคงหาเงินได้เยอะเลยล่ะสิท่า”
วานรหัวเราะ ”ทุกคนล้วนแต่เชื่อในคำพูดของหมอดูตาบอดกันทั้งนั้น ผมก็แค่เล่นละครตามน้ำไปเท่านั้นครับ!”
เด็กวัยรุ่นคนนั้นไม่เคยเห็นเจ้านายของตัวเองแสดงท่าทางเช่นนี้มาก่อน เขาถึงกับตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความตกใจระคนสับสน
วานรเรียกเด็กชาย ”มัวยืนอยู่ทำไม รีบไปเอาอะไรมาให้เราดื่มสิ! เปิดลาฟีตสักขวดก็แล้วกัน ลูกพี่ชอบไวน์แดงสินะครับ!”
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันไม่ดื่ม” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางแว่นกันแดดลง ”เสี่ยวชิงเฉิงเพิ่งเริ่มไปโรงเรียน นายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
วานรพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ”แน่นอนว่าผมต้องรู้เรื่องความเป็นอยู่ของนายน้อยอยู่แล้วสิครับ! ลูกพี่ ผมจะบอกอะไรให้ ผมอยากพานายน้อยไปส่งโรงเรียนจะตาย แต่เหล่าเอกับคนพวกนั้นกลับไม่ยอมให้ผมทำ พวกเขาใจร้ายมากเลยนะครับ! พวกเขาบอกว่าถ้าผมพานายน้อยไปส่งที่โรงเรียน เด็กๆ ที่โรงเรียนจะต้องเห็นเขาเป็นนักต้มตุ๋นเหมือนผมแน่ๆ! แต่ผมดูเหมือนนักต้มตุ๋นหรือครับ”
“ไม่เหมือน แต่เป็นเลยต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาราวกับเสียดสี
วานรถึงกับพูดไม่ออก หลังผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงตอบว่า ”ต่อให้ผมจะเป็นนักต้มตุ๋น แต่ผมก็เป็นนักต้มตุ๋นระดับสูงนะครับ! ฮึ่ม!”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด นายรู้จักสนิทสนมกับผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลที่เสี่ยวชิงเฉิงเรียนอยู่ใช่หรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางขึ้น
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของวานรก็เป็นประกาย ”ลูกพี่! นายน้อยเจอปัญหาอะไรที่โรงเรียนหรือครับ ผมจะสั่งให้คนไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ล่ะ! ผมจะไปเล่นกับมันเอง!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ฉันควรพูดยังไงกับคนในกลุ่มนี้ดีนะ… แม้กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้พูดประโยคนี้ก็ยังฟังดูเหมือนกันไม่มีผิด
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเฮ่อเหลียนเวยเวย วานรก็พึมพำใต้ลมหายใจตัวเองว่า ”ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ผมถึงได้บอกไงว่าผมนี่แหละที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการพานายน้อยไปส่งที่โรงเรียน! ผู้อำนวยการของพวกเขาปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นเจ้าแม่กวนอิมเชียวนะครับ ถ้าผมไปส่งเขา นายน้อยก็คงจะไม่ถูกรังแกที่โรงเรียน”
“สาเหตุที่เราไม่ปล่อยให้นายไปทักทายผู้อำนวยการก็เพราะมันเป็นความคิดของเสี่ยวชิงเฉิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น ”แต่ถ้านายยืนกรานว่าจะทำแบบนั้น ฉันก็คงไม่ห้ามหรอก”
คราวนี้วานรถึงกับเงียบไป ”ถ้านั่นเป็นความคิดของนายน้อย ผมจะอยู่ที่นี่ต่อก็แล้วกันครับ” เขาจะไม่ทำในสิ่งที่ขัดใจนายน้อยเด็ดขาด แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมนายน้อยให้มากกว่านี้เพื่อเรียกคะแนนจากเขา!
“เด็กดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามกลั้นหัวเราะพร้อมกับลูบศีรษะของเขา ”ในเมื่อนายเป็นเพื่อนที่ดีกับผู้อำนวยการของพวกเขา เรื่องนี้ก็คงง่ายขึ้นเยอะ ช่วงนี้ที่โรงเรียนนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น นายช่วยเจาะระบบของพวกเขาให้ฉันทีสิ ฉันจำเป็นต้องดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่หน้าประตูโรงเรียนนั่น”
“มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นหรือ” วานรขมวดคิ้ว จากนั้นเขาจึงหันไปดึงชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ๆ ที่ด้านหลังของชั้นหนังสือเหล่านั้นมีคอมพิวเตอร์สี่เครื่องเชื่อมต่ออยู่ ทุกเครื่องล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทคอมพิวเตอร์ระดับสุดยอดอย่างเอเลียนแวร์
คอมพิวเตอร์ทั้งสี่เครื่องไม่ใช่แค่เชื่อมต่ออยู่กับที่อยู่ไอพีเสมือนจริงเท่านั้น แต่ในห้องนี้ยังมีเครื่องส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตอยู่อีกหลายเครื่องเพื่อสลัดไม่ให้ใครสามารถแกะรอยเขาเจอ
ยิ่งแฮกเกอร์มีฝีมือมากเท่าใด การทำงานของพวกเขาก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งยังไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนมากนัก เพราะเขาสามารถลบร่องรอยทั้งหมดของตัวเองในระหว่างกระบวนการเจาะข้อมูลได้ นี่ก็เป็นวิธีการที่ถังเส่าใช้ในการทำงานตัวเองเหมือนกัน
วานรเคยเป็นสมาชิกของสำนักถัง และยังมีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านนี้โดยเฉพาะ ทันทีที่คอมพิวเตอร์เครื่องหลักถูกเปิดขึ้น คอมพิวเตอร์อีกสี่เครื่องก็เริ่มทำงานพร้อมกัน
เขานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พวกนั้นพร้อมรูดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ทันใดนั้น จู่ๆ หน้าจอตรงหน้าของเขาก็กลายเป็นสีดำ และมีโค้ดภาษาอังกฤษมากมายปรากฏขึ้นเป็นระยะ ก่อนที่สุดท้ายมันจะกลายเป็นภาพของอาจารย์คนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่
“เจอแล้ว!” ดวงตาของวานรจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ ”น่าจะใช้ได้แล้วครับ ผมเจาะเข้าห้องแชตห้องหนึ่งก่อนจะเข้ามาในระบบของโรงเรียน แล้วก็ โป๊ะเช๊ะ!”