แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 876 ซื้อบ้าน

ตอนที่ 876 ซื้อบ้าน

ตอนที่ 876 ซื้อบ้าน

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายใช้กระเป๋าหนังใบใหญ่ที่ซื้อเมื่อวานบรรจุสิ่งจำเป็นทั้งหมดของเสี่ยวมู่ตง

เธอขับรถไปกับน้าถังผู้ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเต็มเวลาและลูกน้อยของเธอเพื่อออกตระเวนหาซื้อหอพัก

ฟางจั๋วหรานต้องการให้หลินม่ายซื้อห้องชุดสวัสดิการสำหรับคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย

แต่หลินม่ายหมดหนทางที่จะสอบถาม ดังนั้น เขาจึงต้องถามคนเฝ้าประตูในพื้นที่ครอบครัวของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่

คนเฝ้าประตูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมเป็นแค่คนเฝ้าประตู ไม่ใช่ผู้รอบรู้ คิดว่าอาจารย์คนไหนจะบอกผมเมื่อพวกเขาต้องการขายบ้านเหรอ? ทำไมคุณไม่ไปหานายหน้าดูล่ะ มันไม่น่าเชื่อถือไปกว่าการถามจากผมเหรอ?”

หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ

เธอจำได้ว่าในปีที่เธอมาศึกษาที่ปักกิ่งยังไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวง

ในเวลาไม่ถึงสองปีกลับมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหลวง

ภายใต้การแนะนำของคนเฝ้าประตู หลินม่ายจึงไปหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ใกล้มหาวิทยาลัย

ด้านหน้าของสำนักงานอสังหาริมทรัพย์นั้นค่อนข้างหรูหรา แต่ธุรกิจกลับเงียบงันและมีคนไม่กี่คน

หลินม่ายขอให้น้าถังและลูกชายรออยู่ในรถ เพราะอากาศในปักกิ่งยังคงหนาวมาก

หลินม่ายกังวลว่าลูกน้อยจะป่วยง่ายเมื่อเผชิญกับลมหนาวพัดโชย

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังจะลงจากรถ เด็กน้อยก็ยื่นมือเล็ก ๆ สองข้างตามเธอออกไปนอกรถ ปากก็ร้องงอแง

หลินม่ายจูบเขา และเสี่ยวมู่ตงก็ไม่หงุดหงิดอีกต่อไป

เพื่อไม่ให้ผู้พบเห็นจำได้ หลินม่ายสวมหน้ากากขนาดใหญ่ จากนั้นจึงผลักประตูกระจกเข้าไปสำนักงาย พนักงานขายที่ง่วงงุนหลายคนทักทายเธอด้วยรอยยิ้มทันที

หลินม่ายเลือกพนักงานขายที่ดูเรียบง่ายและซื่อสัตย์

ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันที่โต๊ะกลม

พนักงานขายชงชาดำสองถ้วยแล้วยกขึ้นมา

พนักงานขายที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ยื่นนามบัตรของเขาด้วยมือทั้งสองข้างและถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าผมควรตะเรียกลูกค้าว่าอย่างไรครับ?”

หลินม่ายมองไปที่นามบัตร นามสกุลของพนักงานขายคือจาง

“ฉันนามสกุลหลินค่ะ เรียกฉันว่าเสี่ยวหลินก็ได้”

เธอมองดูทั่วทั้งสำนักงาน มีเพียงเธอที่เป็นลูกค้า นอกเหนือจากนั้นเป็นพนักงานขายทั้งหมด

เธอถามด้วยความสงสัย “ทำไมธุรกิจถึงเงียบเหงาขนาดนี้ล่ะคะ?”

เสี่ยวจางถอนหายใจ “เราคิดค่าธรรมเนียมตัวแทนสำหรับการซื้อและขายบ้าน หลายคนรับไม่ได้จึงไม่ยอมมาซื้อบ้านกับเรา พวกเขาทั้งหมดสอบถามเกี่ยวกับแหล่งที่อยู่อาศัยด้วยตนเองและทำธุรกรรมเป็นการส่วนตัว อันที่จริงนี่เป็นเสี่ยงมาก เพราะหากพวกเขาโดนโกงเงินก็จะไม่มีใครช่วยริบคืนเงินนั้นได้ หากซื้อบ้านกับตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของเรา สถานการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ใช่ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นการยากมากที่ลูกค้าจะได้เงินคืนหากถูกโกง”

เสี่ยวจางรีบแทรก “ใช่ครับ และเราเป็นคนกลางอย่างเป็นทางการ”

หลินม่ายใช้โอกาสนี้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากเขามาดู พบว่าพวกเขาเป็นคนกลางที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง

จากนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจและอธิบายให้เสี่ยวจางทราบเกี่ยวกับบ้านที่เธอต้องการ

เสี่ยวจางขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ “บ้านในพื้นที่ครอบครัวของคณาจารย์มหาวิทยาลัยชิงหวามีให้เช่าเท่านั้น ไม่มีขาย”

หลินม่ายไม่ชอบเช่าบ้าน เพราะไม่มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ และไม่สามารถจัดการบ้านได้ตามใจชอบ

เธอเยถามทันที “แล้วทำไมคุณไม่ขายให้ฉันล่ะคะ?”

เสี่ยวจางอธิบาย “ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านจะขายได้อย่างไรครับ?”

หลินม่ายเพิ่งรู้ว่าบ้านในพื้นที่ครอบครัวของมหาวิทยาลัยชิงหวาไม่อาจซื้อได้

ในเมื่อซื้อไม่ได้ก็ต้องเช่า

แต่เมื่อเห็นสภาพบ้านเช่า หลินม่ายก็คัดค้านทันที

คนอบคนัวของเธอเป็นครัวครัวใหญ่ แต่บ้านเหล่านั้นมีขนาดเล็กเพียงห้องเดียว ซึ่งไม่สามารถรองรับครอบครัวของเธอได้

เสี่ยวจางแนะนำให้เธอเช่าห้องเดี่ยวสองห้อง และให้ครอบครัวอาศัยอยู่สองที่

หลินม่ายคัดค้าน

ทั้งงครอบครัวอาศัยอยู่ในสถานที่สองแห่งแล้วจะยังมีบรรยากาศแบบครอบครัวได้อย่างไร?

หลินม่ายจึงออกจากที่นี่ไปหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อดูบ้านหลังใหม่

เธอไปที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งติดต่อกัน แต่ไม่พบบ้านที่ต้องการ พบเพียงเรือนสี่ประสานสองวงจำนวนหนึ่ง

เธอดูเรือนสี่ประสานเหล่านั้นทั้งหมด และรู้สึกถูกชะตากับสองหลังในนั้น จึงต่อรอง ณ จุดนั้นและซื้อบ้านสองหลังนั้น

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายซื้อบ้านหลังนี้อย่างรวดเร็ว ผู้จัดการของสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองจึงปฏิบัติต่อเธอเหมือนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง และส่งเธอออกไปด้วยความเคารพ โดยหวังว่าเธอจะมาในครั้งต่อไป

หลินม่ายกล่าว “ถ้ามีบ้านที่ดีมาขาย ฉันจะกลับมาอีก”

ทันทีที่หลินม่ายกลับถึงบ้านพร้อมกับลูกและน้าถัง คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ถามเธอถึงเรื่องบ้าน

หลินม่ายผายมือแล้วบอกว่า เธอไม่ได้ซื้อบ้านที่พวกเขาต้องการ แต่เธอซื้อบ้านแห่งอื่นไว้สองหลัง

หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายกำลังจะพาน้าถังและลูกชายไปซื้อบ้านต่อ ทว่าเสี่ยวจางก็โทรมา

เขาพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยทางโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิน ทันทีที่คุณจากไป ผมก็จำได้ว่าผมมีบ้านส่วนตัวอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยชิงหวา คุณอยากจะมาดูไหมครับ?”

หลินม่ายคิดว่าบ้านส่วนตัวก็ดี เพราะสามารถปรับเปลี่ยนทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายในการใช้ชีวิต

และในอีกห้าหรือหกปีข้างหน้า เมื่อชิงหวาขยายตัว บ้านส่วนตัวเหล่านี้จะถูกรื้อถอน และจะได้รับเงินจำนวนมากสำหรับการรื้อถอน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ดี

หลินม่ายขับรถพาเสี่ยวตงและน้าถังไปยังสำนักงานตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ของเสี่ยวจางอีกครั้ง

เสี่ยวจางรอเธออยู่ในสำนักงานแล้ว

ทันทีที่หลินม่ายมา เขาก็เข้าไปในรถของเธอ

ในรถหลินม่ายไม่ได้สวมหน้ากาก เสี่ยวจางเหลือบมองเธอแล้วกล่าว “คุณดูเหมือนนักร้องหญิงที่ร้องเพลง ‘ชีวิตที่เบ่งบาน’ เลยครับ ~”

หลินม่ายกระตุกมุมปากของเธอและแสดงรอยยิ้มจาง ๆ

หลังจากผ่านไปหนึ่งปี ในที่สุดความกระตือรือร้นของเธอก็หมดลง

แม้ว่าผู้คนจำเธอได้ แต่เธอจะบอกพวกเขาว่าเธอเพียงคล้าย ‘หลินม่าย’ เท่านั้น

เธอเพียงต้องการใช้ชีวิตธรรมดา และไม่ต้องการให้ใครมารับรู้

เธอจึงไม่เข้าใจว่าทำไมดารารุ่นหลังถึงชอบที่จะเป็นที่จับตามองและอยู่ภายใต้สายตาของสาธารณชน

บ้านที่เสี่ยวจางแนะนำแก่หลินม่ายอยู่ในทำเลที่ดี ห่างจากประตูมหาวิทยาลัยชิงหวาเพียงหนึ่งร้อยเมตร แต่สภาพบ้านทรุดโทรมเกินไป และยังคงเป็นบังกะโล

แม้จะสามารถเข้าพักได้ แต่หลินม่ายจะเปิดเทอมในอีกไม่กี่วัน ดังนั้นเธอจึงรอไม่ไหวแล้ว

ก่อนที่หลินม่ายจะบอกว่าเธอไม่ชอบบ้านหลังนี้ น้าถังซึ่งกำลังอุ้มทารกนอนหายใจอยู่ก็กระตุกมุมปากแล้วพูดกับเสี่ยวจาง“บ้านที่ทรุดโทรมแบบนี้ คิดว่าคุณหลินจะซื้อเหรอ? คุณหลินจะซื้อเพียงบ้านที่หล่อนจินตนาการถึงเท่านั้นแหละ”

ทั้งหลินม่ายและเสี่ยวจางมองไปยังทิศทางที่นิ้วหล่อนชี้

ห่างจากบังกะโลที่เสี่ยวจางแนะนำราวยี่สิบถึงสามสิบเมตรมีอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กสามชั้นที่สวยงามมาก ดูใหม่มาก ราวกับว่าสร้างมาเพียงสองปี

เสี่ยวจางกล่าว “ใครจะขายบ้านที่ดีเช่นนี้?”

หลินม่ายกล่าว “ถ้าคุณไม่ถามแล้วจะรู้ได้อย่างไรคะว่าเขาจะไม่ขาย?”

เธอเดินขึ้นไปยังอาคารสไตล์ตะวันตกหลังเล็กแห่งนั้น

ประตูของอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กเปิดออก ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งคัดถั่วเหลืองในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง

เมื่อเห็นหลินม่ายแอบมองอยู่ หญิงคนหนึ่งก็ถามอย่างใจดี “สาวน้อย กำลังดูอะไรอยู่เหรอ?”

หลินม่ายถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณป้าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้หรือคะ?”

“ใช่ ทำไมเหรอ?” หญิงสูงวัยถามด้วยความงุนงง

“ฉันต้องการซื้ออาคารสไตล์ตะวันตกหลังเล็กนี้ คุณต้องการขายหรือไม่คะ?”

ไม่ใช่เพียงหญิงสูงวัยคนนี้ที่ไม่พอใจ แต่หญิงรอบตัวหล่อนที่ดูเหมือนลูกสะใภ้ของหล่อนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นมืดครึ้มและขับไล่หลินม่ายออกไป

“เธอเสียสติไปแล้วหรือไง พูดอะไรออกมา เราจะขายบ้านหลังนี้ได้ยังไง ไม่มีทาง!”

ผู้หญิงสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ แกะเมล็ดแตงโมและกล่าวด้วยความตื่นเต้น “นี่เป็นบ้านใหม่ของคุณสวี สร้างขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทั้งครอบครัวไม่ได้อาศัยอยู่ในนั้นมาหนึ่งปีแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดแม้จะขาย สาวน้อย เธอกล้ามากที่ถามแบบนั้น”

หลินม่ายคิดกับตัวเอง ที่พวกเขาไม่ต้องการขายคงเพราะไม่รู้ว่าเธอยินดีจ่ายเท่าไร

เธอยื่นนิ้วเรียวทั้งสี่ออกมา “สี่หมื่น ขายไหมคะ?”

สีหน้าของผู้หญิงทั้งหมดอ่อนลง

ครอบครัวของพวกหล่อนไม่ได้ใช้เงินมากมายไปกับการสร้างอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กหลังนี้ และราคาที่หญิงสาวคนนี้เสนอก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ

หญิงสูงวัยกลอกตาอย่างจงใจและพูดอย่างเหยียดหยาม “บ้านของฉันแค่ใช้เงินสร้งมากกว่าสี่หมื่นหยวนไม่รวมการตกแต่ง แล้วใครจะขายมันในราคาสี่หมื่นหยวน?”

หลินม่ายคิดเพียงว่ามันน้อยเกินไปจึงกล่าวเสริม “แล้วถ้าสี่หมื่นห้าพันหยวนล่ะ?”

คุณป้าถูกล่อลวงเล็กน้อย และทุกคนก็มองไปที่คุณป้า

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายต้องการซื้อบ้านของเธอมาก คุณป้าจึงตัดสินใจ “ไม่ขาย!”

หลินม่ายหันหลังและจากไป

คุณป้าตกตะลึงในทันใด

การสร้างบ้านส่วนตัวในยุคนี้ไม่แพง ตราบใดที่สามารถหาอิฐกระเบื้องหินทรายและวัสดุอื่น ๆ ในการสร้างบ้านได้

ตึกสามชั้นโอ่อ่าหลังนี้มีราคาเพียงไม่ถึงสามหมื่นห้าพันหยวนเท่านั้น

หล่อนบอกหลินม่ายว่าใช้เงินมากกว่าสี่หมื่นหยวนในการสร้างและตกแต่ง ซึ่งสูงเกินจริง

ดังนั้นเมื่อหลินม่ายเสนอราคาสี่หมื่นห้าหันหยวน หล่อนจึงรีบเสนอด้วยความพึงพอใจ

การขายอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กแบบนี้ทำให้หล่อนได้กำไรหนึ่งหนึ่งหมื่นหยวน คงมีเพียงคนโง่ที่ไม่เห็นด้วย

พวกเขาขายบ้านหลังนี้และไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อจัดสรรที่ดิน เพื่อพวกเขาจะได้สร้างบ้านอีกหลัง

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมาซื้อบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็กของตน ป้าเจ้าของบ้านก็คิดขอเงินก้อนโตเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่า หลินม่ายจะจากไปโดยไม่ซื้อ…

ป้าเจ้าของบ้านทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดาย หล่อนทนไม่ได้จึงเรียกหลินม่ายให้หยุด

หญิงหลายคนบ่นกับหล่อนเสียงเบา และหล่อนก็เสียใจยิ่งกว่า

ขณะหลินม่ายกำลังจะจากไป ป้าเจ้าของบ้านก็ตะโกนตามหลังหลินม่าย “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป เข้ามาคุยกันหน่อยสิ”

มุมปากของหลินม่ายโค้งขึ้น

เธอรู้ว่าตราบใดที่ราคาน่าดึงดูดใจ เจ้าของบ้านจะขายบ้านอย่างแน่นอน

หากเจ้าของบ้านไม่ยอมขายบ้านก็คงเป็นเพราะราคาไม่ถูกใจ

หลินม่ายเข้ามาในบ้าน ป้าเจ้าของบ้านและลูกสะใภ้ก็เริ่มต่อรอง

“ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องการขายในราคาห้าหมื่นหยวน มันไม่ง่ายสำหรับครอบครัวของเราที่จะสร้างบ้านหลังนี้”

“ถูกต้องแล้ว ที่ดินดีๆ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว”

หลินม่ายฟังแม่สามีและลูกสะใภ้ต่อรองราคาอย่างเงียบงันแต่ไม่มีการตอบสนอง

ในความเป็นจริง เงินห้าหมื่นหยวนเป็นเพียงเงินเล็กน้อยสำหรับเธอ แต่เจ้าของบ้านเรียกราคาสูงเกินไปและไม่คุ้มที่จะซื้อ

แม้เธอจะต้องการบ้านสักหลัง แต่เธอก็เป็นนักธุรกิจ และคิดคำนวณเสมอว่าคุ้มหรือไม่

เมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้คุยกัน หลินม่ายก็พูดอย่างใจเย็น “ฉันจ่ายได้มากสุดแค่สี่หมื่นหกพันหยวนน่ะค่ะ หากพวกคุณตกลง ฉันจะวางมัดจำตอนนี้แล้วมาเซ็นสัญญาพรุ่งนี้เช้า”

แม่สามีและลูกสะใภ้ระเบิดความปีติยินดีออกมาทันที

บ้านหลังนี้สามารถทำเงินได้มากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนเสียอีก ซึ่งเป็นการต่อรองที่ดี!

แม้ว่าในใจพวกเขาจะมีความสุขมาก แต่แม่สามีและลูกสะใภ้กลับทำราวกับว่าพวกเขาประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ โดยขอร้องให้หลินม่ายเพิ่มเงินอีกสองพันอย่างน่าสมเพช

หลินม่ายหันกลับมาอีกครั้งและจากไป ป้าพูดข้างหลังเธอ “งั้นเพิ่มหนึ่งพันหยวนก็”

หลินม่ายยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมา

ป้าเจ้าของบ้านทำอะไรไม่ถูก “แล้วแต่คุณก็ได้ สี่หมื่นหกพันก็สี่หมื่นหกพัน”

หลินม่ายหันกลับมา “คุณเป็นเจ้าของบ้านเหรอคะ?”

ป้ายิ้มอย่างเขินอาย “ผู้หญิงอย่างฉันจะเป็นเจ้าบ้านได้อย่างไรล่ะ? ฉันจะแจ้งเจ้าของบ้านของเราเดี๋ยวนี้

ลูกสะใภ้ทุกคนวิ่งออกไปเรียกสามีและพ่อสามีกลับมา

สามีและพ่อสามีของพวกเขากำลังเล่นไพ่นกกระจอกในหมู่บ้าน และลูกสะใภ้ก็พบพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางกลับบ้าน พวกหล่อนก็เล่าเรื่องความปรารถนาของหลินม่ายที่จะซื้อบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็ก ๆ ให้พวกเขาฟัง

ผู้ชายหลายคนกลับบ้านและพูดอย่างจริงจังว่าจะขายบ้านในราคาสี่หมื่นหกพันไม่ได้

หลินม่ายพยักหน้าและกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม

ครอบครัวนี้ค่อนข้างน่าสนใจ แม้รู้ว่าเธอจะไม่ขึ้นราคา พวกเขายังคงเล่นตลกกับเธอ

ผู้ชายในตระกูลสวีต่างตกตะลึง

พวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสทั้งสี่จะสามารถควบคุมสาวอวบผู้งดงามคนนี้ได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเธอจะต่อต้านทุกอย่าง

ในท้ายที่สุด ลูกสะใภ้ผู้ฉลาดเฉลียวก็เป็นผู้เสนอราคาให้หลินม่าย และสัญญาว่าจะขายบ้านให้เธอในราคาสี่หมื่นหกพันหยวน

หลินม่ายจ่ายเงินมัดจำทันทีและขอให้ครอบครัวของพวกเขาออกจากบ้านในคืนนี้ ทั้งสองฝ่ายจะจ่ายเงินและส่งมอบบ้านในวันพรุ่งนี้

หลินม่ายกลับไปยังรถของเธอ และเสี่ยวจางก็ถามด้วยความสงสัย “เขาขายบ้านให้คุณไหมครับ?”

หลินม่ายทำท่าทางตกลง

เสี่ยวจางตกตะลึงและถามหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “มีคนขายบ้านที่ดีเช่นนี้ให้คุณได้ยังไงครับ?”

“เพราะราคาน่าสนใจอย่างไรล่ะคะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มาเล่นกับนักธุรกิจอย่างม่ายจื่อแบบนี้มันก็เข้าทางหมดล่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

Status: Ongoing

หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงานของตัวเอง​ และพบว่าทุกคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตัวเองหรือครอบครัวสามีต่างก็ยังเป็นเศษสวะกันเหมือนเดิม​ แต่ขอโทษเถอะ…หลินม่ายคนนี้ไม่ใช่หลินม่ายคนเดิมแล้ว​ ใครหน้าไหนมารังแกฉัน​ คราวนี้แม่จะซัดให้หงาย​​ จะงัดมารยาสาไถทุกกระบวนมาใช้แก้เผ็ดมันให้หมด! จากนั้นก็จะหย่ากับสามีกะหลั่วแยกตัวออกมาสร้างฐานะแบบสวยๆ​ ไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท