“ผมคือสามีของหยุนหลันชื่อหลี่โม่ครับ เจอกันครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
หลี่โม่พูดอย่างเกรงใจ
กงซุนจุนยิ้มเล็กน้อย “คุณหลี่ดูแล้ว….เหอะๆ”
“อะไรครับ?”
หลี่โม่ยักคิ้วขึ้นและถาม
“ผมพูดความจริงได้มั้ยครับ? บางทีการพูดความจริงออกมาจะเป็นการทำร้ายจิตใจผู้คน ดังนั้นผมรู้สึกว่าไม่พูดออกมาจะดีกว่าครับ”
ถ้าหากว่ากู้หยุนหลันไม่อยู่ กงซุนจุนจะต้องบอกกับหลี่โม่อย่างตรงไปตรงมาแน่นอนว่า นายมันก็แค่ขยะ ไม่เหมาะสมกับกู้หยุนหลันสักนิด
แต่ว่าตอนนี้มีกู้หยุนหลันอยู่ด้วย กงซุนจุนรู้สึกว่าพูดตรงไปไม่ได้ เกรงว่ากู้หยุนหลันจะมีความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง
กู้หยุนหลันเห็นว่าหลี่โม่และกงซุนจุนเจอหน้ากันแล้วไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะปวดหัวขึ้นมา
จึงใช้ปลายเท้าแตะขาของหลี่โม่เบาๆ กู้หยุนหลันต่อบทสนทนาว่า “ให้คุณกงซุนจุนรอพวกเรามา ขอโทษด้วยจริงๆนะคะ”
“หยุนหลันเธออย่าได้เกรงใจกันขนาดนี้เลย ตอนนั้นถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเธอ จะมีกงซุนจุนในวันนี้ได้ยังไงกัน เพื่อหยุนหลันแล้ว ผมกงซุนจุนต้องเสียทุกอย่างก็ไม่เป็นไร เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยอีกเดี๋ยวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ”
กงซุนจุนพูดจบก็สะบัดพัด พัดที่เมื่อกี้พับเก็บแล้วถูกสะบัดออกในทันที หน้าพัดที่จางต้าเชียนวาดขึ้นอย่างละเอียดอ่อนถูกเปิดออก
ตัวพัดที่ทำจากรากแก่นไม้อย่างดี บวกกับภาพวาดของจางต้าเชียน ทำให้เห็นถึงมูลค่าของพัดอันนี้
ถ้าหากคนทั่วไปได้พัดนี้มา จะต้องตั้งบูชาไว้อย่างกับสมบัติที่หาได้ยาก แต่ว่ากงซุนจุนกลับเอาพัดอันนี้มาเป็นของใช้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความร่ำรวยของเขา
กู้หยุนหลันมองดูตัวพัด รู้สึกแค่ว่าพัดอันนั้นสวยงามดี แต่ไม่ได้รู้สึกถึงมูลค่าของพัดอันนั้น
เดิมทีกงซุนจุนสะบัดพัดเพื่ออยากได้ความตะลึงจากกู้หยุนหลัน แต่กลับกลายเป็นการเสียแรงเปล่าโดยไม่มีความหมายอะไร
เห็นว่ากู้หยุนหลันไม่ได้สนใจพัดของตัวเอง ในใจกงซุนจุนหดหู่อย่างมาก แทบอยากจะบอกกับกู้หยุนหลันว่าพัดอันนี้ใช้เงินถึงสองแสนเพื่อซื้อมาเชียวนะ
“เถ้าแก่ อาหารที่ผมสั่งเตรียมไว้เอามาเสิร์ฟได้แล้ว”
กงซุนจุนตะโกนไปยังหลังครัว จากนั้นก็พูดกับกู้หยุนหลันด้วยรอยยิ้มว่า “หยุนหลัน ผมให้เชฟที่บ้านทำอาหารขึ้นชื่อไว้ให้ เดี๋ยวเธอลองชิมดูนะ”
“ขอบใจนายนะ เดิมทีพวกเราก็รบกวนให้นายช่วยเหลือ แล้วนี่ยังให้นายเลี้ยงอาหารอีก รู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ”
กู้หยุนหลันรู้สึกว่ากงซุนจุนดีกับตัวเองมากเกินไปแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าในตอนนั้นตัวเธอเคยช่วยชีวิตเขา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้มั้ง
“เธออย่าได้พูดแบบนี้เลย เธอเป็นผู้ช่วยชีวิตผม ผมตอบแทนคุณก็สมควรแล้ว ใช่สิ ที่เธอบอกจะให้ผมช่วยเหลือคือเรื่องอะไรหรอ?”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดกงซุนจุนก็พูดถึงเรื่องหลักแล้ว กู้หยุนหลันก็เล่าเรื่องราวอย่างไม่ลังเล
“ทางสามีของฉัน ก่อนหน้านี้เกิดปัญหากับบางคนเพราะฉัน พวกเขาล้วนเป็นพวกบุคคลที่มีอำนาจทั้งนั้น พอดีว่าอีกไม่กี่วันบ้านฉันจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ได้ยินมาว่าพวกเขาจะมาหาเรื่องในงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ ฉันจึงกังวลนิดหน่อย ดังนั้นจึงอยากขอให้นายช่วย”
หลังจากที่กงซุนจุนพูดจบก็เหลือบมองหลี่โม่ ในใจคิดว่าขยะก็คือขยะ ก่อเรื่องแล้วหาวิธีจัดการไม่ได้ ยังต้องพึ่งผู้หญิงของตัวเองมาขอร้องให้คนอื่นช่วย ไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าสามีของกู้หยุนหลันด้วยซ้ำ!
เปลือกตาหลี่โม่หย่อนคล้อยไม่พูดจาอะไร เดิมทีตามความประสงค์ของหลี่โม่นั้นไม่อยากขอให้กงซุนจุนช่วยเหลือ
แต่ว่ารั้งความกังวลที่มากเกินไปของกู้หยุนหลันไม่ไหว เพื่อที่จะให้กู้หยุนหลันสบายใจหลี่โม่ถึงได้ตอบตกลงที่จะมาหากงซุนจุน
วินาทีนี้หลี่โม่เข้าใจแล้วว่ากงซุนจุนมีความเป็นศัตรูต่อเขา
มุมปากของกงซุนจุนยกยิ้ม พูดอย่างไม่สนใจว่า “อย่างนี้นี่เอง เรื่องเล็กน้อย แม้ว่าตระกูลกงซุนของฉันจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในโลกภายนอกนี้ แต่ว่าในวงการศิลปะการต่อสู้ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ในเมื่อคนที่จะมาหาเรื่องสามีของเธอนั้นเป็นยอดฝีมือ งั้นก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของตระกูลกงซุนของฉัน ทำอะไรก็ต้องเกรงใจตระกูลกงซุนของฉัน เพียงฉันพูดแค่ประโยคเดียว ก็สามารถให้พวกเขาคุกเข่าขอโทษพวกเธอในงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ได้แล้ว”
คำพูดพวกนี้ก็มีความขี้โม้เกินจริงอยู่บ้าง ยังไงซะตระกูลที่ไม่ออกตัวสู่โลกภายนอกไม่ได้มีเพียงแค่ตระกูลกงซุน รวมทั้งตระกูลกงซุนก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆในตระกูลที่ไม่ออกตัวสู่โลกภายนอกก็เท่านั้น
แต่ว่าต่อหน้าของกู้หยุนหลัน กงซุนจุนคิดว่าถ้าไม่ขี้โม้แบบนี้ ก็ไม่สามารถแสดงออกให้เห็นได้ว่าตัวเองนั้นแตกต่างกับคนอื่น
เพื่อให้กู้หยุนหลันมองตัวเขาเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากความทรงจำที่ตัวเองเคยเป็นขอทาน แล้วกงซุนจุนก็เริ่มพูดโอ้อวดอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่โอ้อวดไปแล้ว กงซุนจุนเหลือบตามองหลี่โม่ พูดอย่างเย็นชาว่า “แต่ว่าถ้าอยากให้ผมช่วยเรื่องนี้ คุณที่เป็นเจ้าของเรื่องต้องเป็นคนขอร้องผมเอง ให้หยุนหลันมาขอร้องได้ยังไงกัน ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยสักนิด คิดไม่ออกจริงๆว่าคุณมาเป็นสามีของหยุนหลันได้ยังไง”
หลี่โม่พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “เพราะว่าผมไม่ต้องการการช่วยเหลือจากคุณ ตระกูลเก็บตัวอะไรกัน ตระกูลกงซุนของคุณคงจะโดนศัตรูไล่ฆ่าจนหมดหนทางเลยจำเป็นเก็บตัวรึเปล่า”
ในฐานะที่เป็นเจ้านายของสำนักหลงเหมิน หลี่โม่รู้จักตระกูลเก็บตัวต่างๆในอาณาเขต ถ้าจะให้พูดจริงๆ สำนักหลงเหมินเป็นถึงอันดับหนึ่งของตระกูลเก็บตัวที่มีอำนาจในประเทศ
เหตุผลที่ตระกูลกงซุนเก็บตัว หลี่โม่เคยเห็นในหนังสือที่บ้านมาก่อน ในตอนนั้นยังเคยดูถูกตระกูลกงซุนอย่างหนัก เพราะรู้สึกว่าตระกูลกงซุนนั้นกลัวตายมากเกินไป
เมื่อกงซุนจุนได้ยินคำพูดของหลี่โม่ คิ้วยกสูงขึ้น สองตาถลึงโตหน้าตาดุร้าย
การถูกศัตรูไล่ฆ่า ถูกบีบจนหมดหนทางจึงได้เก็บซ่อนตัว เป็นเรื่องเจ็บปวดที่สุดของตระกูลกงซุนในทุกรุ่น
โดยเฉพาะในกลุ่มตระกูลที่เก็บซ่อนตัวต่างๆ ตระกูลกงซุนถูกมองในระดับที่ต่ำด้วยความดูถูกมาโดยตลอด เมื่อพบเจอกับคนของตระกูลเก็บซ่อนตัวตระกูลอื่น คนของตระกูลกงซุนเงยหน้าไม่ขึ้นเลย
“นายมีปัญญาก็พูดอีกรอบ? เชื่อมั้ยว่าฉันตบนายตายได้ในทีเดียว!”
กงซุนจุนพูดอย่างโมโห มือขวากดลงบนโต๊ะอย่างหนัก
ได้ยินเพียงเสียงไม้ของโต๊ะดังกร๊อกแกร๊กออกมา ก็เห็นว่ามือของกงซุนจุนค่อยๆกดลงไปในโต๊ะไม้
ไม่นานโต๊ะไม้ก็ถูกกงซุนจุนใช้มือกดจนเป็นรอยอย่างง่ายดาย
กงซุนจุนที่ยกมือขึ้น มองดูรอยฝ่ามือที่ตัวเองกดออกมา พูดเสียงเข้มว่า “ถ้าไม่เห็นแก่ว่านายเป็นสามีของหยุนหลัน ฝ่ามือนี้ของฉันก็คงฟาดไปที่ใบหน้าของนายแล้ว!”
กู้หยุนหลันร้อนรนนิดหน่อย รีบพูดกล่อมว่า “กงซุนจุน นายอย่าได้ถือสาหลี่โม่เลยนะ บางทีปากของหลี่โม่ก็พูดไม่คิด พูดไปมั่วก็เท่านั้นเอง”
หลังจากที่พูดจบหนึ่งประโยคแล้ว กู้หยุนหลันก็กะพริบตากับหลี่โม่อย่างหนัก เป็นสัญญาณให้หลี่โม่รีบขอโทษกงซุนจุน
หลี่โม่แกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของกู้หยุนหลัน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมใครบางคนถึงได้ดูเหมือนโมโหเพราะละอายใจละ หรือเพราะเรื่องที่ฉันพูดออกมามันเป็นความจริงกันนะ?”
“นายมันเลว! อยากตายใช่มั้ย!”
กงซุนจุนลุกขึ้นยืนในทันที และทำท่าทางเหมือนจะลงมือกับหลี่โม่