หลี่เจิ้งฮุยอ่านตำนานหงอคงต่อไปด้วยความคิดเชิงตำหนิ
ส่วนที่เหลือของบทแรกยังคงกวนประสาทดังเดิม
กล่าวให้ชัดควรจะเป็น…
ไร้แก่นสารมาก
แปลกประหลาดเหลือเกิน
เหมือนละครตลกฉากหนึ่ง
อาจารย์และลูกศิษย์ไม่มีใครพูดคุยกันได้อย่างจริงจัง แม้แต่ปีศาจก็ยังพูดจาพิลึก จับใจความไม่ค่อยได้
“แปลกมาก”
หลี่เจิ้งฮุยขมวดคิ้วมุ่น
เขากำลังจะหมดความอดทนแล้ว
ทว่าในนั้นมีบทสนทนาระหว่างปีศาจต้นไม้และภิกษุถัง “ไม่อยากตาย แต่ก็ไม่อยากใช้ชีวิตโดยลำพัง”
ลึกลับจริงๆ
จู่ๆ ประโยคซึ่งมีกลิ่นอายของวรรณกรรมก็โผล่มาในการเล่าเรื่องราวซึ่งไม่จริงจังประหนึ่งมุกตลก ทำให้ความงามเชิงศิลปะของนิยายเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาบ้าง?
อย่างไรก็ตาม หลี่เจิ้งฮุยไม่คิดว่านิยายเรื่องนี้มีความงามเชิงศิลปะอะไร
เขามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าผู้เขียนอาจไปคัดลอกประโยคนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง
และขณะที่ความอดทนของหลี่เจิ้งฮุยกำลังจะหมดลง ก็มีอีกบทสนทนาหนึ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของหลี่เจิ้งฮุย
ภิกษุถังกล่าวกับปีศาจสาว “การฝึกฝนของข้านั้นต่างจากการฝึกฝนของผู้อื่น พวกเขาฝึกฝนหินยาน ข้าฝึกฝนมหายาน พวกเขาฝึกฝนความว่างเปล่า ส่วนข้าฝึกฝนความสมบูรณ์แบบ”
หลี่เจิ้งฮุยสะดุ้งโหยง
เขาเกิดความรู้สึกแปลกชอบกล
ภิกษุถังในต้นฉบับจะไม่มีทางพูดเช่นนี้ ถึงแม้คำพูดเช่นนี้จะคล้ายกับการอุปมาโต้แย้งกันระหว่างแนวทางการฝึกฝนทางศาสนาก็ตาม
ทว่าคำตอบของปีศาจสาวกลับแปลกยิ่งกว่า
“ข้าได้ยินเพียงว่าภิกษุนามว่าจินฉานจื่อคลางแคลงในนิกายหินยาน และต้องการบรรลุมรรคผลด้วยตนเอง ปรากฏว่าธาตุไฟเข้าแทรก และติดอยู่ในความทุกข์ยากอันใหญ่หลวง”
จินฉานจื่อ
ผู้ที่คุ้นเคยกับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศอย่างหลี่เจิ้งฮุยย่อมรู้ว่าจินฉานจื่อคืออดีตชาติของภิกษุถัง
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศต้นฉบับกล่าวไว้ว่าจินฉานจื่อถูกพระยูไลเนรเทศไปยังโลกโลกีย์เพื่อเดินทางไปยังประจิมทิศเพื่อชำระบาป เนื่องจากดูหมิ่นพระไตรปิฎก และไม่ฟังคำเทศนาของพระยูไล
พล็อตเรื่องนี้เป็นประเด็นถกเถียงมากมาย
ทุกคนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
ศิษย์คนที่สองของพระยูไลอย่างจินฉานจื่อถูกส่งไปยังโลกมนุษย์เพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกยังประจิมทิศ เพียงเพราะไม่ฟังคำเทศนาเนี่ยนะ?
เหตุผลออกจะสุกเอาเผากินเกินไปหรือเปล่า?
ด้วยเหตุนี้ การตีความบางส่วนจึงเชื่อว่าความขัดแย้งระหว่างจินฉานจื่อและพระยูไลนั้นไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ไม่ฟังคำเทศนา
ทุกคนคาดเดาไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับเหตุผลที่แท้จริง ทว่ามีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย
และเรื่องตำนานหงอคงโดยอี้อันตรงหน้านี้ คล้ายกับว่าจะเสนอความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง
จินฉานจื่อถูกพระยูไลส่งไปยังโลกมนุษย์ ก็เพราะทั้งสองมีแนวคิดพื้นฐานทางพุทธศาสนาที่แตกต่างกัน
ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพุทธศาสนามหายานกับพุทธศาสนาหินยาน
น่าสนใจมากทีเดียว!
แนวคิดในการตีความความขัดแย้งของจินฉานจื่อและพระยูไลในสถานการณ์ความเป็นจริงของพุทธศาสนาทำให้หลี่เจิ้งฮุยดวงตาเป็นประกาย!
ติดตลกก็ส่วนติดตลก
ไร้แก่นสารก็ส่วนไร้แก่นสาร
ดูท่านักเขียนคนนี้ก็มีความคิดเหมือนกันแฮะ
ในที่สุดหลี่เจิ้งฮุยจึงเกิดสนใจในแฟนฟิกชันบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศที่พิเศษเรื่องนี้ขึ้นมาบ้าง
อ่านต่อไป
ซุนหงอคงมาช่วยภิกษุถังในท้ายที่สุด ทว่าสิ่งที่หลี่เจิ้งฮุยนึกไม่ถึงก็คือ ปีศาจสาวก็รู้จักซุนหงอคง ทั้งยังคล้ายกับว่าเคยมีปฏิสัมพันธ์กับซุนหงอคงมาก่อน!
ซุนหงอคงกลับไม่รู้จักอีกฝ่าย
เขาบอกว่าเดิมทีตนเองเป็นปีศาจวานรอยู่ที่เขาฮวากั่ว จึงถูกส่งไปลงโทษยังหุบเขาห้านรกฐานไม่เคารพเง็กเซียนฮ่องเต้ ถูกขังอยู่ห้าร้อยปี ภายหลังเง็กเซียนฮ่องเต้เมตตา กล่าวว่าขอเพียงซุนหงอคงทำเรื่องสามเรื่องสำเร็จ จะสามารถสั่งสมบุญ และชำระบาปในอดีตได้ เขายังเอ่ยถึงสองเรื่องแรกในสามเรื่องไว้ว่า “เรื่องแรกคือข้าต้องอารักขาเจ้าหัวโล้นนี่ไปยังประจิมทิศ เรื่องที่สองคือข้าต้องสัง หารราชาปีศาจสี่ตน แบ่งเป็นราชาปีศาจวัวผิงเทียนต้าเซิ่งแห่งซีเฮ่อหนิวโจว ราชาปีศาจนกฮุ่นเทียนต้าเซิ่งแห่งเป่ยจวี้หลูโจว ราชาลิงเสนทงเทียนต้าเซิ่งแห่งหนานจานปู้โจว และพญาวานรโสภาฉีเทียนต้าเซิ่งแห่งตงเซิ่งเสินโจว…”
หลี่เจิ้งฮุยตกตะลึง…!
ผู้ที่เคยอ่านบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศต่างรู้ว่าซุนหงอคงผ่านอะไรมาบ้านก่อนไปอัญเชิญพระไตรปิฎก
ซุนหงอคงคนนี้มีปัญหาด้านความทรงจำ!
เขาเรียกหุบเขาห้านิ้วเป็นหุบเขาห้านรกยังพอทำเนา!
เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองคือฉีเทียนต้าเซิ่งแห่งตงเซิ่งเสินโจว ทั้งยังตะโกนลั่นว่าจะสังหารอีกฝ่าย!
“มีการสมคบคิด!”
หลี่เจิ้งฮุยได้กลิ่นของการสมคบคิดในทันที
ในบรรดาการตีความต้นฉบับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ แนวคิดซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดคือทฤษฎีสมคบคิด
นิยายเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะแสดงเจตนาเดียวกัน
นักเขียนคนนี้มีของ!
เขียนเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเลยหรือ?
ความสนใจของหลี่เจิ้งฮุยถูกกระตุ้นโดยสมบูรณ์
เขาอยากเห็นว่าอี้อันคนนี้ตีความบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศจากมุมมองของทฤษฎีสมคิดอย่างไร เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็เป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเช่นกัน
อ่านต่อไป หลี่เจิ้งฮุยก็ยิ่งสนใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พล็อตเรื่องต่อจากนั้นกลับทำให้หลี่เจิ้งฮุยตามจังหวะของนักเขียนไม่ทัน…
ซุนหงอคงซึ่งอารมณ์ไม่ดี ก็ได้สังหารภิกษุถังด้วยกระบองจริงๆ !
และเรื่องนี้ก็ย้อนเข้าสู่โหมดอดีต
ในเรื่องราวอดีต
ตือโป๊ยก่ายเคยมีความสัมพันธ์ในชั่วขณะหนึ่งกับเซียนนามว่าอาเยวี่ย
ซุนหงอคงเคยมีความสัมพันธ์กับเทพธิดานางหนึ่งนามว่าจื่อสยา
แม้แต่ม้ามังกรขาวก็กลายเป็นหญิงสาว และหลงรักภิกษุถังอย่างลึกซึ้ง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะจินตนาการในเนื้อหาส่วนแรก หลี่เจิ้งฮุยซึ่งอ่านถึงตรงนี้คงจะเหยียดหยามผลงานชั้นรองของนักเขียนคนนี้
ทว่าในเวลานี้
เมื่ออ่านถึงเรื่องราวความรักซึ่งแตกต่างกับต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง หลี่เจิ้งฮุยไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ แต่กลับยิ่งรู้สึกสงสัย…
สรุปว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนเกิดเรื่องราวมากน้อยแค่ไหนกัน?
อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสามคล้ายกับว่าจะล้วนกุมความลับของตนเอง?
ดูเหมือนว่านักเขียนที่ชื่อว่าอี้อันคนนี้ต้องการเปิดเผยทฤษฎีสมคบคิดของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ทว่าความจริงของทฤษฎีสมคบคิดนั้นคืออะไรกัน?
ไม่รู้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์อยู่ในสถานะเดียวกันหรือไม่
หลี่เจิ้งฮุยอยากรู้ว่าอี้อันจะคลายปมของเรื่องราวอย่างไร
และเรื่องราวในช่วงหลัง คล้ายกับว่าจะดำเนินไปตามทิศทางนี้
ที่แท้ม้ามังกรขาวเคยกลายเป็นปลาคาร์ป และถูกถังซำจั๋งในวัยหนุ่มช่วยชีวิตไว้ จึงหลงใหลในตัวภิกษุถัง
สำหรับเรื่องนี้ ในนิยายมีประโยคหนึ่งซึ่งเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
ไม่ว่าจะเลือกทิศทางใด สุดท้ายล้วนนำไปสู่ชะตากรรมเดียวกันใช่หรือไม่?
ประโยคนี้ปรากฏขึ้น ทำให้หลี่เจิ้งฮุยจมลงสู่ห้วงความคิด
ชะตากรรม?
ในที่นี้หมายถึงม้ามังกรขาวและภิกษุถัง หรือหมายถึงอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหลายซึ่งจะเริ่มต้นเส้นทางอัญเชิญพระไตรปิฎกในอนาคต?
ในนิยายไม่ได้ให้คำตอบไว้
ถังซำจั๋งในวัยหนุ่มนั้นฉลาดปราดเปรื่องเสียจนดูโง่เขลา เขาเคยเอาชนะอาจารย์ในการอภิปรายพระธรรมมาแล้ว
เจ้าอาวาสในวัดต้องการสอนพระธรรมให้แก่ภิกษุถัง ภิกษุถังกลับส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าอยากเรียน ท่านสอนไม่ได้”
หลี่เจิ้งฮุยยกยิ้มมุมปาก
บุคลิกของถังซำจั๋งในวัยหนุ่มนั้นมีเสน่ห์เกินกว่าต้นฉบับ ถังซำจั๋งจากต้นฉบับจะไม่พูดอะไรเช่นนี้
กลับเป็นจินฉานจื่อซึ่งเป็นอดีตชาติของถังซำจั๋งที่มีคุณสมบัติมากพอจะเอื้อยเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้
จินฉานจื่อ?
หลี่เจิ้งฮุยตกตะลึงทันใด ราวกับตระหนักเรื่องหนึ่งขึ้นได้
ถังซำจั๋งคนนี้ ได้รับการสืบทอดเจตนารมณ์ของจินฉานจื่อมาสินะ?
ในขณะนั้น
เจ้าอาวาสถามเสวียนจั้ง “เจ้าอยากเรียนอะไรเล่า”
เสวียนตั้งเงยหน้าขึ้นมองปุยเมฆเคลื่อนคล้อยบนท้องนภา พลางตอบว่า
“ข้าปรารถนาให้ท้องฟ้านี้บดบังดวงตาของข้าไม่ได้อีกต่อไป ปรารถนาให้ปฐพีนี้ฝังกลบหัวใจของข้าไม่ได้อีกต่อไป ปรารถนาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเข้าใจความคิดของข้า ปรารถนาให้พระพุทธองค์มลายหายไป!”
ทันทีที่คำพูดนี้ปรากฏ ทุกสิ่งสะเทือนลั่นประหนึ่งฟ้าผ่า!
หลี่เจิ้งฮุยจ้องดวงตาเบิกกว้าง หนังศีรษะของเขาชาวาบ ขนลุกซู่ขึ้นมาฉับพลัน!
สุดยอดมาก!!!