ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 4 หลิงเยว่เจ็บปวดโลกถึงสดใส

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 4 หลิงเยว่เจ็บปวดโลกถึงสดใส

บทที่ 4 หลิงเยว่เจ็บปวดโลกถึงสดใส

กลิ่นข้าวผัดตลบอบอวลไปทั่วละแวกอีกครั้ง ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนมากสำลักพริกจนตัวโยน

“เฮ้ นั่นสาวน้อยที่ขายเนื้อแกะย่างเมื่อวานมิใช่หรือ? ทำไมวันนี้นางไม่เพียงเปลี่ยนอาหารเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีจ่ายด้วย”

มีคนในฝูงชนจำหลิงเยว่ได้

“ข้าเองพี่ชาย! ท่านมีความจำดีเลิศยิ่งนัก ในเมื่อเรามีชะตาได้พานพบกันอีกครั้ง แล้วเหตุใดไม่อุดหนุนข้าวผัดของข้าสักหน่อยเล่า”

หลิงเยว่ก็จำคนคนนี้ได้เช่นกัน เมื่อวานเขาเป็นพี่ใหญ่ที่อยู่ใกล้ร้านที่สุดไม่ใช่หรือ?

ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางถอยออกไป อย่าพยายามล่อลวงข้าซะให้ยาก!

ไม่เพียงเขาจะก้าวถอยออกไป แต่ยังเลือกที่จะหายตัวกลืนไปกับกระแสผู้คนเสียด้วยซ้ำ!

จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ?

หน้าผากของหลิงเยว่ถูกปกคลุมด้วยเหงื่อชุ่มตามไรผมสีดำขลับ

เมื่อข้าวผัดกระทะที่สองเสร็จเรียบร้อย หลิงเยว่ก็เทมันลงในหม้อใบใหญ่

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนนำข้าวใส่ถุง และจากไปอย่างสง่างาม

นางคิดว่าลูกค้าคนที่สองจะมาติดกับเร็ว ๆ นี้ ถึงขนาดแจกชามข้าวผัดไปตั้งหนึ่งโหล เพียงแต่… นอกจากผู้บำเพ็ญชายวัยกลางคนเมื่อครู่ก็ไม่มีใครมาซื้ออีกเลย

ไม่มีความเคลื่อนไหวในหน้าจอแสดงความคืบหน้าของภารกิจ

หลิงเยว่มึนงง ดูเหมือนว่าภารกิจนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม่น่าแปลกใจที่ระบบให้กำหนดเวลาถึงสองวัน เห็นได้ชัดว่างานนี้สำเร็จไม่ง่าย นางประเมินความมุ่งมั่นของเหล่าผู้บำเพ็ญในการงดเว้นธัญพืชต่ำเกินไปจริง ๆ

จากนั้นเจ้าตัวก็เวียนขายเวียนผัดและแจกไปเรื่อย ๆ

“ขอบใจเจ้าสำหรับน้ำใจ แต่ข้าอิ่มแล้ว!”

นี่คือประโยคที่หลิงเยว่ได้ยินมากที่สุดในวันนี้

นางเริ่มสิ้นหวัง

ข้าวผัดทองคำเนื้อเต๋าที่มีกลิ่นหอมฉุย สีสันสวยงาม และเนื้อสัมผัสที่ไม่มีใครเทียบได้ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่มันไม่ต่างอะไรจากการบิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์เลยไม่ใช่หรือ!?

ขณะที่หลิงเยว่กำลังครุ่นคิดกับชีวิตของนาง ชายชราคนหนึ่งก็หยิบข้าวผัดจากมือของนางไปด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มกิน โดยพยักหน้าไปพลางขณะรับประทานมัน

“สาวน้อย เจ้าช่างทำอาหารเก่งจริง ๆ เพียงข้าวธรรมดาก็สามารถทำให้มีรสชาติอร่อยได้เพียงนี้!”

[ความคืบหน้าของภารกิจ 1/10]

หลิงเยว่จ้องมองความคืบหน้าของภารกิจ จากนั้นมองดูชายชราที่กำลังรับประทานอาหารอย่างมีความสุขด้วยสายตางุนงง ทำไมความคืบหน้าภารกิจไม่บวกขึ้นเป็นสองล่ะ?

“ผู้อาวุโสอร่อยไหมเจ้าคะ?”

หลิงเยว่ไม่เคยเห็นชายชราที่พูดโกหกอย่างจริงใจขนาดนี้มาก่อน

“อร่อย!”

หลังจากกินข้าวผัดชามหนึ่งเสร็จ ชายชราก็เลียมุมปากแล้วพูดว่า “หากสามารถเปลี่ยนส่วนผสมธรรมดาเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงได้ รสชาติจะดีขึ้นมากอย่างแน่นอน”

“อาจารย์ นางเพิ่งดูดซับปราณเข้าร่างได้เท่านั้นเอง”

เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยทำให้หลิงเยว่มองไปทางด้านข้างด้วยความตกใจ

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มคนนี้คือชายที่มีหน้าตางดงามเหมือนเทพเซียนในภาพวาดที่นางเห็นเมื่อวานนี้หรอกหรือ แต่วันนี้เขากลับมีใบหน้าที่แสนธรรมดา

ปลอมตัวเช่นนั้นหรือ?

“ข้าเอง”

เมื่อเผชิญกับสายตาสับสนของหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อยอมรับอย่างไม่ปิดบัง

“ไปกันเถิดสาวน้อย วันนี้ข้าจะดูแลเจ้าเอง!”

ชายหนุ่มในร่างชราไม่อาจรอให้อีกฝ่ายตอบตกลง เขาอุ้มหลิงเยว่ขึ้นบ่าแล้วพานางเหาะขึ้นไปบนฟ้าทันที

หลิงเยว่ผู้ถูกอุ้มบินไปบนท้องฟ้าไม่ได้รู้สึกยินดี ทั้งยังตื่นตระหนกอย่างยิ่ง นางกลัวว่าชายชราจะพลาดทำตนหลุดมือซึ่งจะทำให้ตกลงไปตายอย่างอเนจอนาถ

ทว่าไม่นานนัก หลิงเยว่ก็ถูกพาขึ้นไปบนยอดเขา

ชายชราผมขาวกลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม คิ้วคมและดวงตาเปล่งประกายแวววับราวกับดวงดารานับหมื่นแสนนั้นอยู่ตรงหน้านาง

หลิงเยว่ “!!!”

“เป็นอย่างไรบ้าง ข้าดูดีใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น

หลิงเยว่พยักหน้าอย่างจริงใจ ไม่เพียงดูดีเท่านั้น แต่ยังรูปงามมากอีกด้วย!

เล่อเหอพอใจกับความใสซื่อของหลิงเยว่

เขามีความสุขมากจนหยิบถุงหินวิญญาณออกมาทันทีแล้วมอบให้หลิงเยว่ ก่อนพูดอย่างใจกว้างว่า “นี่คือรางวัล แต่หากเจ้าทำอาหารได้ดีถูกใจอีก ข้าจะให้เพิ่มอีก!”

ผู้อาวุโสท่านนี้จับนางมาทำอาหารให้หรือ?

หลิงเยว่รู้สึกสับสนอยู่นาน และในขณะที่กำลังครุ่นคิดกับตัวเอง จู่ ๆ ก็มีคนอยากยืนยันทักษะการทำอาหารของตน นางจะไม่รู้สึกซับซ้อนได้อย่างไร?

“ท่านเจ้าสำนัก หากศิษย์เสียบเนื้อใส่ไม้เสร็จแล้ว ศิษย์ออกไปได้แล้วหรือยังเจ้าคะ?”

เสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความคับข้องใจ นางเป็นถึงศิษย์เอกของยอดเขาข่มเพาะกายาแต่กลับถูกอาจารย์ผู้สมองไม่ปกติลากตัวมาหั่นเนื้อ และยังต้องเอาเนื้อเสียบไม้เอาไว้อีก แต่ก็ตามชื่อของยอดเขาข่มเพาะกายา ร่างกายของนางนั้นแข็งแกร่งมากจึงสามารถหั่นเนื้อได้อย่างง่ายดาย

“ท่านเจ้าสำนัก ไฟลุกท่วมแล้ว ให้ข้ากลับไปฝึกฝนต่อได้หรือไม่?”

ดวงตาของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเป็นสีแดง เขาคือผู้มีแก่นปราณไฟชั้นยอด และเป็นศิษย์แถวหน้าที่น่าภาคภูมิใจของสำนัก แต่ขณะนี้กลับถูกดึงให้มาทำหน้าที่เป็นคนก่อไฟทำอาหาร เขาควรขอความเห็นใจจากผู้ใดดี

ไปขอให้อาจารย์ของตนช่วยเหลือ?

อาจารย์ของเขาเห็นฉากที่เขาถูกลากมาด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ได้พยายามห้ามปรามเจ้าสำนักเลย!

แน่นอนว่าเล่อเหอโบกมือปฏิเสธ “มิได้! อวี้เจินเจ้าเอาเนื้อเสียบใส่ไม้เข้าไปอีก เนื้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่เพียงพอสำหรับข้า เสี่ยวเหยียน เจ้าคอยยืนเคียงข้างฟังคำสั่งของสาวน้อยผู้นี้ตลอดเวลาอย่าได้ละเลย!”

หลิงเยว่ผู้ถูกขานเรียกในที่สุดก็ถูกจ้องมองจากศิษย์ทั้งสอง

นางแสดงสีหน้าเคอะเขินแต่สุภาพ “สวัสดีศิษย์พี่ทั้งสอง ข้าชื่อหลิงเยว่…”

“แท้จริงแล้วข้าเองก็ทำทุกอย่างได้ ศิษย์พี่ทั้งสองกลับไปก่อนเถอะหากพวกท่านยุ่ง…”

“ไฟธรรมดาไม่สามารถย่างเนื้อของสัตว์วิญญาณได้ เจ้าเพิ่งดูดซับปราณเข้าร่างได้วันนี้ เจ้าจะมีกำลังเพียงพอที่จะทำอาหารจากเนื้อของสัตว์วิญญาณได้อย่างไร?”

ก่อนที่หลิงเยว่จะพูดจบ โม่จวินเจ๋อก็พูดขัด

“โม่จวินเจ๋อ เจ้าเป็นคนยุยงให้อาจารย์จับตัวพวกเรามาใช่หรือไม่!”

ลู่เป่ยเหยียนโกรธมาก

“ใช่! โม่จวินเจ๋อเป็นคนแนะนำให้ข้าทำสิ่งนี้ ฮ่า ๆ”

เล่อเหอไม่คิดว่าความขัดแย้งนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเขาจึงโยนความผิดให้ลูกศิษย์ จากนั้นดึงหลิงเยว่ที่ยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างโง่งมมา

“เอาละ มาทำเนื้อย่างกันเถิด!”

“ไฟมันแรงเกินไป”

ด้วยคำพูดของหลิงเยว่ ลู่เป่ยเหยียนก็ถูกลากตัวมาเสริมทัพ

“ลดไฟ!” เล่อเหอชี้ไปที่เตาไฟ

ลู่เป่ยเหยียนอยากจะร้องไห้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนอันธพาลเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมทำตามที่ถูกสั่งเท่านั้น

“ไฟเบาเกินไปแล้ว… ให้มันร้อนแรงกว่านี้อีกหน่อย”

ลู่เป่ยเหยียนเหลือบมองหลิงเยว่อย่างขุ่นเคือง หากพวกเขาไม่ได้กำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน เขาคงคิดว่าสาวน้อยตัวเล็ก ๆ คนนี้จงใจสร้างเรื่องยุ่งยากให้เสียแล้ว!

อวี้เจินที่กำลังเสียบเนื้ออยู่ลอบยิ้ม หลังจากเปรียบเทียบกันแล้ว หน้าที่ของนางดูไม่เลวร้ายนักกระมัง?

เมื่อควบคุมอุณหภูมิไฟให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในที่สุดหลิงเยว่ก็คว้าเนื้อเสียบไม้จำนวนหนึ่งแล้วนำไปย่าง แต่นางไม่คาดคิดว่า ตนเกือบจะล้มลงเพราะน้ำหนักของเนื้อและไม้ที่ใช้เสียบ

โชคดีที่โม่จวินเจ๋อมีสายตาเฉียบคมและรวดเร็ว เขาจึงคว้าคอเสื้อของหญิงสาวไว้ก่อนที่หลิงเยว่จะหน้าคะมำเสียโฉม

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…”

เล่อเหอได้แต่หัวเราะเยาะ

โม่จวินเจ๋อช่วยหลิงเยว่ด้วยใบหน้าขบขัน ภาพลักษณ์เย็นชาราวภูเขาน้ำแข็งพลันสลายไปทันที

ลู่เป่ยเหยียนและอวี้เจินที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความคับข้องใจก็ยังไม่หยุดหัวเราะเช่นกัน

หลิงเยว่เงียบงัน “…”

แน่นอนว่าความสุขของผู้คนนั้นขึ้นอยู่กับความเจ็บปวดของผู้อื่น!

ปรากฏว่าสิ่งที่โม่จวินเจ๋อพูดเกี่ยวกับกำลังของนางคือ เขาหมายถึงว่านางไม่สามารถยกเนื้อเสียบไม้ได้ ดังนั้นนางจะย่างมันได้อย่างไร?!

จู่ ๆ หลิงเยว่ก็รู้สึกหงุดหงิดมาก

ในนิยายหรือหนังเวลาตัวเอกไปเกิดใหม่ในแดนเซียน พวกเขามักจะมีดวงชะตาที่ดีสุด ๆ ไม่ก็ได้รับสมบัติสวรรค์ที่แสนจะมหัศจรรย์ หรือไม่พวกเขาก็มีพรสวรรค์ที่เลิศล้ำสามารถท้าทายผู้ที่อยู่ในระดับเหนือกว่าได้อย่างสบาย ๆ

แต่สำหรับนาง ไอ้ระบบที่นางได้มันไร้ประโยชน์โดยแท้ นางไม่ได้รับสมบัติวิเศษอะไรเลยสักอย่าง มีแต่ต้องใช้หม้อและกระทะเท่านั้น สำหรับการท้าทายข้ามระดับ ไอ้การย่างเนื้อนี่มันนับได้หรือไม่?

“ถ่ายเทปราณของเจ้าไปไว้ที่มือและแขนของเจ้า แล้วเจ้าจะสามารถยกเนื้อเสียบไม้ได้”

โม่จวินเจ๋อสอนแบบตัวต่อตัว

ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเขา ที่ทำให้เจ้าสำนักไปลากหลิงเยว่มาที่นี่

หลิงเยว่ทำตามที่เขาบอกและหยิบเนื้อเสียบไม้ขึ้นมาใหม่ แม้ว่าจะยังลำบากสักหน่อย แต่นางก็ยังคงสามารถรักษาความภาคภูมิใจในตัวเองไว้ได้บ้าง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท