ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 7 เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 7 เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?

บทที่ 7 เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?

ผู้บำเพ็ญทั้งสองที่รับข้าวหน้าซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานเป็นกลุ่มแรกหยิบช้อนและเริ่มรับประทานพร้อม ๆ กัน

“อืม… อร่อย!”

“อ่า… นี่มันหมูนี่! หมูกับมันฝรั่งอร่อยได้ขนาดนี้เชียว!?”

สำหรับผู้บำเพ็ญที่เคยแต่กินผักและเนื้อสัตว์ต้มเปล่า ๆ อยู่ทุกวี่วัน รสชาติที่เข้มข้นและอร่อยของผัดเนื้อซี่โครงหมูและมันฝรั่งหวานอมเปรี้ยวช่วยให้พวกเขาเข้าใจสุนทรียภาพของการกินอาหารได้ทันที

“ลองข้าวขาวสิ! ข้าวทุกเมล็ดที่ชุ่มไปด้วยน้ำราดอร่อยยิ่งกว่าเนื้อซะอีก!”

ผู้บำเพ็ญที่เป็นพวกมังสวิรัติรีบตักข้าวขึ้นมาแล้วยัดเข้าปาก แค่กินไปคำเดียวก็ทำให้เขาพอใจและมีความสุขสุด ๆ!

เขาตัดสินใจว่าจะมากินอาหารที่ร้านอาหารหมายเลขสิบเท่านั้นในอนาคต แค่มันฝรั่งและซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานนี้ก็สามารถกินได้หลายปีโดยไม่เบื่อ!

ผู้ที่เข้ามาทีหลังเริ่มสงสัยเมื่อได้ยินสิ่งที่สองคนนี้พูด

“พวกเจ้าสองคนได้รับสินบนอะไรจากแม่ครัวหมายเลขสิบหรือเปล่าเนี่ย?”

หนึ่งในผู้บำเพ็ญที่ถูกถามกลืนอาหารลงคอแล้วกลอกตามองผู้ถามว่า “คนที่ต้องมาทำงานในโรงอาหารเพื่อทำอาหารให้มีหรือที่จะรวยกว่าเราได้?”

มือของหลิงเยว่สั่นขณะที่นางตักอาหารอย่างกระตือรือร้น

เจ้าพูดถูก! คนแทบทั้งหมดที่ทำงานในโรงอาหารเพื่อทำอาหารให้คนอื่นคือพวกคนยากจนอย่างแท้จริงที่ไม่สามารถจ่ายหินวิญญาณห้าก้อนต่อเดือนได้!

เมื่อวานหลิงเยว่ย่างเนื้อให้เจ้าสำนักเป็นเวลาหนึ่งวันและได้รับหินวิญญาณระดับล่างมาสามหมื่นก้อน อันที่จริงนางประสบความสำเร็จในการหลบหนีความยากจนได้แล้วและเข้าสู่ชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองในระดับชนชั้นปานกลาง

แต่หลังจากกินโอสถเสริมแก่นปราณเมื่อวานนี้… นางจำเป็นต้องเอาหินวิญญาณระดับล่างเหล่านั้นมาแลกเป็นค่าพลังวิญญาณสามพันแต้มเพื่อชำระหนี้งวดแรก!

ตอนนี้นางไม่เพียงยากจนเท่านั้น แต่ยังมีหนี้สินจำนวนมากอีกด้วย

แต่ตราบใดที่นางทำงานและฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อได้รับหินวิญญาณมา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจ่ายคืนค่าพลังวิญญาณสองพันห้าร้อยแต้มต่อเดือน

กลิ่นหอมเย้ายวนของร้านอาหารหมายเลขสิบดึงดูดผู้บำเพ็ญจำนวนมากให้เข้ามาดู

“นี่สิถึงจะเรียกว่าอาหารอย่างแท้จริง!”

“แม่ครัวน้อย ขออีกชามราดน้ำผัดมาเยอะ ๆ ด้วย!”

“ได้เจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่ตอบเสียงดัง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ

นางโดนผู้บำเพ็ญในตลาดปฏิเสธมามากพอแล้วในสองวันที่ผ่านมา

มาวันนี้นางประสบความสำเร็จแล้วในการขายของอร่อย!

[ภารกิจหลักที่สองสำเร็จ ได้รับรางวัล ตำราอาหารวิญญาณ ค่าพลังวิญญาณ +300 แต้ม อายุขัย +20 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 1,910 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 64 วัน]

เธอได้ตำราอาหารมาแล้ว!

หลิงเยว่แทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปเรียนรู้มัน แต่ตอนนี้ยังมีคนจำนวนมากเข้าแถวรอกินอาหารของนาง

“ตายแล้ว! ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ดูแลทุ่งสมุนไพรวันนี้เลย! พวกท่านอยากกินเท่าไหร่ก็ตักกันเองเถิด” หลิงเยว่โยนทัพพีออกไปด้วยสีหน้ากังวลมาก “ผู้อาวุโสชุนสุ่ยจะต้องโกรธข้ามากแน่ ๆ!”

หลิงเยว่เล่นละครโดยไม่สนใจต่อความพยายามของผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่รั้งให้นางอยู่ต่อ นางวิ่งหนีไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง

พูดตามตรงหลิงเยว่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพ่อของผาวฮุยหรือไม่ที่สร้างปัญหาให้นางล่าสุด โดยการมอบหมายให้ไปทำงานที่หุบเขาระลอกคลื่นภายใต้เขตอำนาจของผู้อาวุโสชุนสุ่ยผู้มีชื่อเสียงในด้านอารมณ์ร้อนและถนัดในการจับผิดคนทั่วทั้งสำนักสายนอก

“เฮ้ จะรีบไปไหนสาวน้อย”

ทันทีที่หลิงเยว่เห็นผาวฮุยและพรรคพวกเข้ามาใกล้ นางเบิกตากว้างรีบหันหลังกลับ ก่อนวิ่งหนีไปอีกทาง

แม้ว่าจะเลื่อนขั้นมาอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามแล้ว แต่นางยังไม่ได้เรียนรู้วิชาใด ๆ สำหรับต่อสู้เลย ซึ่งไม่เหมือนกับผาวฮุย และนี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่าเขามีลูกน้องอีกสองคนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหนึ่งอีกต่างหาก

“จับนาง!”

ผาวฮุยที่เฝ้ารอโอกาสมาสองวันกว่าจะได้เจอเหยื่อจะปล่อยให้นางหนีรอดไปง่าย ๆ ได้อย่างไร!

หลิงเยว่หันกลับมาและเห็นว่าผาวฮุยและคนอื่น ๆ ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายกัดฟันและถ่ายเทปราณลงไปที่เท้าเพื่อเพิ่มความเร็ว

นางคิดที่จะขอความช่วยเหลือ แต่การต่อสู้ภายในสำนักไม่ได้ถูกห้ามโดยสำนัก ทว่าสำนักอนุญาตให้ต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้วิชา หากต้องการใช้วิชาหรืออาวุธวิญญาณที่มีพลังทำลายล้างสูง จำเป็นต้องไปต่อสู้ในสถานที่เฉพาะเช่นสนามทดสอบวิชาหรือสนามประลอง

หลังจากวิ่งไปได้สักพักแล้วหลิงเยว่ก็มาถึงสนามประลองที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

การประลองกับผาวฮุยขณะนี้เป็นไปไม่ได้ นางเพียงทำอาหารเป็นเท่านั้น แต่นางก็ไม่ได้โง่

“ข้าหลิงเยว่ขอประกาศท้าประลองชี้ชะตากับศิษย์สายนอกผาวฮุยแห่งยอดเขาจุตรเทพในอีกหนึ่งเดือน!”

หลิงเยว่ตะโกนไปยังศิลาชี้ชะตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้าง ๆ ลานประลอง ตอนนี้มีเพียงศิลานี้เท่านั้นที่สามารถปกป้องนางได้

หากนางโดนผาวฮุยจับได้ตอนนี้ตนคงถูกทุบตีอย่างรุนแรงแน่นอน ต่อให้ผาวฮุยจะลงมือไม่แรงนักแต่ตนก็อาจจะตายได้เช่นกัน หลิงเยว่เป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีใครหนุนหลัง ถ้านางตายไปก็คงไม่มีใครสนใจ ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาทวงความเป็นธรรมให้เป็นแน่

“ผาวฮุย เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่!”

หลิงเยว่ที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ภายใน เชิดคางขึ้นและแสร้งทำเป็นสงบ ยั่วยุผาวฮุย

ศิลาชี้ชะตาจะตอบสนองเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงประลองกันทั้งคู่เท่านั้น

ผาวฮุยจะพลาดโอกาสฆ่าหลิงเยว่อย่างชอบธรรมได้อย่างไร?

“ข้าผาวฮุยยอมรับการท้าของเจ้า!”

เดิมทีผาวฮุยไม่ได้ต้องการฆ่าหลิงเยว่มาก่อน แต่นางกล้ากลั่นแกล้งเขาในที่สาธารณะและทำให้อับอายเช่นนี้ มันดีที่สุดถ้าได้สับนางเป็นหมื่นชิ้น!

“หนึ่งเดือนนับจากนี้ ยามอู่สามเค่อ*[1] บนลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ด หลิงเยว่ศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาโอสถจะต่อสู้กับผาวฮุยศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาจุตรเทพ การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจะมีเพียงผลลัพธ์เดียวคือผู้ชนะอยู่! ผู้แพ้ตาย!”

เสียงอันทรงพลังแผ่ไปทั่วสนามประลอง

สนามประลองที่แต่เดิมคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง และจากนั้นก็เกิดความโกลาหล

หากเป็นการประลองตามปกติก็ยังมีโอกาสขอยอมแพ้และอยู่รอดต่อได้ ทว่าเมื่อการประลองชี้ชะตาเริ่มต้นขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถยอมแพ้ได้ การต่อสู้จะไม่สิ้นสุดจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายเพียงเท่านั้น และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าแทรกแซงไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหรือบรรพบุรุษของสำนักด้วยซ้ำ

กฎนี้โหดร้ายมากจนไม่มีศิษย์ในสำนักคนใดกล้ามาที่ศิลาชี้ชะตาเพื่อประกาศท้าประลอง หรือต่อให้จะมีฝ่ายหนึ่งกล้า อีกฝ่ายก็จะไม่ยอมตกลงง่าย ๆ

ป้ายหยกสีเลือดสองป้ายลอยไปอยู่ในมือของหลิงเยว่และผาวฮุยตามลำดับ จากนั้นพวกมันก็ผสานเข้าไปในปลายนิ้วของพวกเขา

“ป้ายหยกนี้เป็นสิ่งรับประกันว่าพวกเจ้าจะได้อยู่รอดจนถึงวันต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย”

นี่คือสิ่งที่หลิงเยว่ต้องการ!

ป้ายหยกนี้เป็นเหมือนเครื่องรางปกป้องชีวิตที่ทรงพลังที่สุดของสำนักหลานเทียน หากไม่ใช่เพราะว่ามันมีกำหนดระยะเวลาปกป้องผู้ครอบครองสูงสุดแค่หนึ่งเดือน นางคงจะประกาศท้าประลองยืดไปอีกสักปี ทศวรรษ หรือหลายร้อยปีไปแล้ว!

หลิงเยว่ที่สงบสติอารมณ์แล้วจู่ ๆ ก็เกิดความกลัว นางเคยฆ่าไก่ เป็ด และปลาโดยไม่กะพริบตา แต่ให้ฆ่าคน…

หลิงเยว่มองไปที่ผาวฮุย

เด็กชายน่ารังเกียจที่ไล่ตามนางเมื่อครู่ไม่แม้แต่จะมองนาง เขาวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นของตนได้

เจ้าคิดว่าสามารถฆ่าข้าได้แน่นอนหรือ?

ฮ่า!

ผาวฮุยคิดอย่างนั้นจริง ๆ ในสายตาของเขา หลิงเยว่เป็นเพียงคนไร้ค่าที่ไม่น่ากังวลเลย นางเพิ่งดูดซับปราณเข้าสู่ร่างกายได้เท่านั้น ต่างจากเขาที่โอกาสนี้มันดีเลิศจริง ๆ เขาจะได้ส่องประกายในการประลองชี้ชะตาในอีกหนึ่งเดือน เมื่อเขาชนะแล้วจะได้ใช้ผลงานนี้ก้าวเข้าสู่การเป็นศิษย์สำนักสายใน!

“ท่านพ่อ ข้า …”

ผาวฮุยกำลังจะบอกข่าวที่น่าตื่นเต้นแก่ผาวซ่าน แต่ทันทีที่เขาลุกขึ้น พลันได้รับลูกเตะจากพ่อบังเกิดเกล้า

ผาวฮุยซึ่งถูกเตะจนกระเด็นไปหลายฉื่อ*[2] ไม่รู้ว่าตนทำอะไรผิด เขาไม่เข้าใจว่ามีสิ่งใดทำให้บิดาไม่พอใจ เขานอนราบกับพื้นพูดด้วยความเสียใจว่า “ท่านพ่อ ท่านเตะข้าทำไม…”

ผาวซ่านเตะลูกชายโง่ ๆ ของเขาออกไปอีกครั้ง หากเตะสองครั้งยังไม่เพียงพอเขายินดีจะเหยียบลูกชายโง่ของตนเองเพิ่มอีก!

“ทำไมข้าถึงได้ให้กำเนิดคนโง่เช่นเจ้า! เจ้าคิดว่าเด็กสาวผู้นั้นเพิ่งดูซับปราณเข้าสู่ร่างของนางได้หรือ?” ผาวซ่านขว้างแผ่นจารึกข้อมูลไปที่หน้าของผาวฮุย “ดูเสีย! ในเวลาเพียงสามวันนางเปลี่ยนจากผู้ที่เพิ่งดูดซับปราณเข้าสู่ร่างเลื่อนขั้นไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามแล้วเจ้าโง่!”

“ถ้าข้ารู้ก่อนว่าเรื่องมันจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงฆ่านางเสียไปตั้งแต่แรกแล้ว!”

ใบหน้าของผาวซ่านมืดมน เขากำหมัดจนเส้นเลือดหลังมือนูนออกมา

ผาวฮุยตกตะลึงและพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่รู้! ข้าเห็นว่านังนั่นหันหลังกลับวิ่งหนีเมื่อเห็นข้า นางดูกลัวแทบตาย ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางแสร้งอ่อนแอเพื่อล่อให้ข้าตกลงประลองชี้ชะตากับนาง!?”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ผาวซ่านก็คิดว่าลูกชายของเขาไม่ได้โง่ไปเสียหมด

ผาวซ่านรู้สึกดีขึ้น ก่อนจะโยนถุงมิติไปให้ผาวฮุยอย่างไม่เต็มใจ “ไปปิดด่านฝึกตนเดี๋ยวนี้ ต่อให้เจ้าต้องกินโอสถจนหมดถุงนั่นเจ้าก็ต้องเลื่อนขั้นไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณระดับหกภายในหนึ่งเดือนให้ได้!”

ผาวฮุยมองดูถุงมิติที่มีโอสถอยู่มากมายภายใน รวมถึงตำราวิชาฝึกตนหลายเล่ม แต่ทำไมถึงไม่มีอาวุธวิญญาณ? ไม่สิ ไม่เพียงไม่มีอาวุธวิญญาณเท่านั้น ยังไม่มีแม้แต่แผ่นค่ายกลและยันต์ด้วย!

ผาวซ่านรู้ว่าลูกชายของเขาคิดอะไรอยู่ ทันทีที่เห็นสีหน้าเขาก็แทบจะอดไม่ไหวอยากเตะลูกโง่ของเขาอีกครั้ง

“ในการประลองชี้ชะตา อาวุธวิญญาณ ยันต์ และแผ่นค่ายกลล้วนไม่อนุญาตให้ใช้! เจ้าสามารถใช้ได้เพียงวิชาที่ได้เรียนรู้และความแข็งแกร่งของระดับการฝึกฝนของเจ้าเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยแต่กลับกล้ายอมรับคำท้าหรือ!”

หลังจากได้ยินคำอธิบาย ใบหน้าของผาวฮุยก็ขุ่นเคือง หลิงเยว่นังสารเลวนั่นคงรู้อยู่แล้วว่านางไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยอาวุธวิญญาณ จึงเลือกที่จะประกาศท้าต่อหน้าศิลาชี้ชะตา?

กล้านักนะที่วางหลุมพรางข้าผู้นี้! หลิงเยว่ ข้าจะทำให้เลือดของเจ้าสาดกระเซ็นบนลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ด!

[1] ยามอู่สามเค่อ คือเวลาประมาณ 11.45 นาที เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และจะเห็นเงาสั้นที่สุด ซึ่งเชื่อว่ามีพลังหยางมากที่สุด สามารถขจัดหยินจนสิ้น กระทั่งตายก็ไม่อาจกลายเป็นผีได้

[2] ฉื่อ คือ หน่วยวัดความยาว เทียบเท่าประมาณ 10 นิ้ว

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท