ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 12 หญ้าที่กินได้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 12 หญ้าที่กินได้!?

บทที่ 12 หญ้าที่กินได้!?

หอกลั่นโอสถหมายเลขสามเริ่มส่งกลิ่นหอม แม้จะผิดแปลกจากปกติไปบ้าง แต่กลับสามารถกระตุ้นความอยากอาหารของผู้คนได้

กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรวิญญาณไม่เพียงผสมผสานกับกลิ่นหอมของเนื้อและนมเท่านั้น…

ว่านอวี้เฟิงยืนอยู่หน้าหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม เมื่อเขาได้กลิ่นสมุนไพรในตอนแรกก็รู้สึกพึงพอใจมาก ด้วยคิดว่าในที่สุดว่าที่ศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าก็รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรจึงจะถูกต้อง ทว่าตอนนี้…

เขาไม่ควรใส่ใจเลย นางเป็นเพียงศิษย์รอลงทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาควรกังวลเรื่องนั้นไปทำไมกัน?

แต่มันเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้าที่ทำให้เท้าของเขาดูเหมือนไม่อยากติดอยู่กับพื้น

หลิงเยว่กำลังทำอะไรอยู่ข้างใน!?

ว่านอวี้เฟิงลังเลที่จะหาความจริง ก่อนเพิกเฉยอีกฝ่าย

“ศิษย์พี่!”

หลิงเยว่เปิดประตู เดิมทีตนคิดว่าจะได้เห็นนักชิมอาหารคุ้นหน้าสองคนอย่างโม่จวินเจ๋อและอวี้เจิน แต่นางกลับเห็นว่านอวี้เฟิงยืนอยู่ที่ประตู

“ไหน ให้ข้าลองหน่อย!”

อวี้เจินที่มาถึงในเวลานี้แทรกตัวผ่านว่านอวี้เฟิงที่กำลังขวางประตูอยู่ โม่จวินเจ๋อเดินตามนางเข้าไปด้วย

นี่มันบ้าอะไรกัน! ศิษย์สายนอกรู้จักโม่จวินเจ๋อและอวี้เจินได้อย่างไรกัน!?

ความสงสัยในดวงตาของว่านอวี้เฟิงลึกซึ้งขึ้น แต่ก่อนที่ตนจะได้คิดอย่างถี่ถ้วน หลิงเยว่ก็เอื้อมมือออกมาดึงเขาเข้าไปในหอกลั่นโอสถและปิดประตูในทันที

“ศิษย์พี่ก็เข้ามาด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

ในเวลานี้หอกลั่นโอสถหมายเลขสามไม่ใช่หอกลั่นโอสถแบบที่ว่านอวี้เฟิงรู้จักอีกต่อไป มันกลายเป็นครัวที่ไร้ระเบียบกว่าในตอนกลางวันเสียอีก! สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนพื้น และมีอาหารหลายอย่างบนโต๊ะยาวที่เขาไม่เคยเห็นเลย

มันดูน่าอร่อยมาก ๆ จนแม้แต่เขาก็ยังรู้สึก …อยากกิน!

ไม่ ไม่ ไม่! เขาไม่ได้อยากกินมันสักหน่อย!

ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสามารถใช้สมุนไพรวิญญาณมาทำเป็นอาหารได้!

ไม่ใช่แค่ว่านอวี้เฟิงเท่านั้นที่กำลังไม่เข้าใจ แม้แต่โม่จวินเจ๋อและอวี้เจินก็ไม่กล้ากินสมุนไพรวิญญาณที่เอามาทำเป็นอาหารแบบนี้ง่าย ๆ

ตอนที่หลิงเยว่บอกข่าวกับพวกเขาก่อนหน้านี้ นางเพียงถามว่าต้องการกินอาหารว่างมื้อดึกหรือไม่ เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้นอนและยังฝึกฝนอยู่ ทั้งสองจึงตอบตกลง มันคงไม่เสียเวลามากนัก และทั้งสองยังตั้งตารอที่จะได้กินอะไรอร่อย ๆ โดยเฉพาะโม่จวินเจ๋อที่ได้ลองกินแผ่นไข่ทอดไปเมื่อตอนเช้า

สายตาของทั้งสามคนจับจ้องไปยังอาหารบนโต๊ะ แต่กลับลังเลที่จะขยับมือ

หลิงเยว่ไม่เข้าใจ คนเหล่านี้จะอดกลั้นไปทำไม ทั้ง ๆ ที่พวกเขาดูกระหายมากขนาดนี้?

ความยับยั้งชั่งใจของผู้ฝึกตนนั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปจริง ๆ

ตัวอย่างเช่นหลิงเยว่คนธรรมดา นางไม่อาจทนต่ออาหารตรงหน้า จึงหยิบชานมสมุนไพรในถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวขึ้นมา

ชานมมีสีเขียวขุ่นและให้รสชาตินมหวานอ่อน ๆ หอมกลิ่นของสมุนไพร

หลังจากจิบไปแล้วจะได้กลิ่นของสมุนไพรจาง ๆ อบอวลอยู่ในปาก รสของสมุนไพรไม่ขม กลับทั้งหวานและหอม ส่วนน้ำนมนั้นมีรสชาติเข้มข้นหวาน ไม่เลี่ยน ให้ความรู้สึกเหมือนรักแรกพบ! มิหนำซ้ำปราณที่แฝงอยู่ในชานมก็ทำให้นางรู้สึกสดชื่นและยังฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าได้อีกด้วย!

น่าเสียดายที่ข้อความแจ้งเตือนของระบบไม่ดัง ดูเหมือนว่าฤทธิ์ของชานมนี้จะไม่ดีเท่ากับโอสถกลั่นลมปราณระดับหนึ่ง

อาจจะมีฤทธิ์น้อยเกินไป

หลังจากรู้สึกเสียใจ หลิงเยว่จึงจิบเพิ่มอีกครั้ง

การผสมผสานระหว่างสมุนไพรวิญญาณและนมสัตว์วิญญาณนั้นอร่อยจริงหรือ?

ใบหน้าของโม่จวินเจ๋อไร้ความรู้สึก แต่ภายในใจกลับสงสัยเป็นอย่างมาก ใบหน้าของว่านอวี้เฟิงมืดหม่นไม่อยากเชื่อ ราวกับว่าศิษย์น้องได้ก่ออาชญากรรมกับสมุนไพรวิญญาณครั้งใหญ่ แต่ทางด้านของอวี้เจินนั้นอยากกินสุด ๆ แต่ไม่กล้าขยับตัว

“ลองเร็วเข้าสิ พวกท่านยังไม่เชื่อในฝีมือของข้าอีกหรือเจ้าคะ?”

หลิงเยว่ยื่นชานมให้อวี้เจิน

“ถ้าอย่างนั้น… ข้าลองนะ”

อวี้เจินจิบมันอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้นดวงตาของนางพลันสดใสขึ้น ก่อนจิบอีกครั้งให้แน่ชัด ดวงตาเป็นประกายมากขึ้นไปอีก!

นี่มันอะไร! รสชาติดีกว่าชาวิญญาณเสียอีก!

อวี้เจินดื่มจนหมดในคราวเดียวแล้วเอื้อมมือไปหยิบถ้วยอีกใบ แต่ก่อนที่นางจะทันได้หยิบถ้วยใหม่โม่จวินเจ๋อก็คว้าตัดหน้าไปเสียก่อน

“ไม่ต้องแย่งกัน ข้าทำเอาไว้เยอะเลยเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่รินชานมสมุนไพรวิญญาณด้วยรอยยิ้ม และนำหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดมาวางข้าง ๆ

หญ้าวิญญาณสีน้ำเงินนั้น ถึงจะถูกเรียกว่าหญ้า แต่ลักษณะของมันคล้ายดอกกุหลาบสีน้ำเงิน ตอนนี้พื้นผิวของมันถูกเคลือบด้วยแป้งทอดผสมไข่สีทองทาบาง ๆ สีทองที่แต่งแต้มด้วยสีฟ้าเรืองแสงนั้นสวยงามและมีกลิ่นหอมมาก ไม่มีกลิ่นมันเลี่ยน มีเพียงกลิ่นคล้ายดอกไม้อ่อน ๆ เท่านั้น

คราวนี้โม่จวินเจ๋อไม่ลังเลอีกแล้ว ก่อนหยิบขึ้นมาหนึ่งดอก เขากินดอกไม้ทั้งดอกในคำเดียว ทันใดนั้นก็เกิดเป็นความประหลาดใจแพร่กระจายไปทั้งดวงตาของเขา

เห็นได้ชัดว่ามันยังคงรูปร่างของดอกไม้ไว้ แต่เมื่อกัดผ่านเปลือกแป้งที่กรอบ กลีบดอกด้านในกลับละลายกลายเป็นของเหลวรสหวานทันที น้ำดอกไม้ที่มีรสหวานอมเค็มไหลลงลำคอไปถึงลงท้อง ปราณที่แฝงอยู่ภายในได้ผสานเข้ากับร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน!

ทันทีที่อวี้เจินเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของโม่จวินเจ๋อ นางก็รู้ว่ามันต้องอร่อยแน่!

ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะได้กินหญ้าวิญญาณทอดทั้งดอกเช่นนี้!

“ว้าว! นี่มันดอกไม้อะไรกัน!”

อวี้เจินดูเหมือนได้เปิดประตูสู่โลกใหม่

“หญ้าวิญญาณสีน้ำเงิน”

ว่านอวี้เฟิงไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนตามปกติของเขาได้อีกต่อไป ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาดูโง่งมมาก

“ข้าจะหามันได้จากที่ไหน พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บพวกมันมาเยอะ ๆ เลย!”

อวี้เจินถามแล้วหยิบหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดมาอีกชิ้น พลางกินคู่กับชาสมุนไพรวิญญาณสีเขียวขุ่น มันช่างอร่อยเหลือเกิน!

“ข้ารู้”

ก่อนที่ว่านอวี้เฟิงจะตอบ โม่จวินเจ๋อก็พูดก่อน และเขาก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกชิ้น

“ปราณยังไม่ถูกสลาย และฤทธิ์ของมันเท่ากับครึ่งหนึ่งของโอสถกลั่นลมปราณระดับหนึ่ง!”

ว่านอวี้เฟิงไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเป็นไปไม่ได้!

“ศิษย์พี่ ท่านอยากลองมันบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”

หลิงเยว่ยิ้มและหยิบชิ้นหนึ่งยื่นให้ว่านอวี้เฟิง

ว่านอวี้เฟิงต้องการหันหลังกลับจากไป แต่มาตอนนี้เขาเริ่มลังเล

เขาต้องการลิ้มรสมันอย่างระมัดระวังเพื่อดูว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่อวี้เจินพูดหรือไม่

ว่านอวี้เฟิงกัดไปครึ่งหนึ่ง ของเหลวดอกไม้สีฟ้าอ่อนพลันหยดลงบนแขนเสื้อของเขาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เจ้าตัวกลับเพิกเฉยต่อแขนเสื้อที่เลอะไปเสียดื้อ ๆ เพราะกำลังตกใจกับหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดนี้!

เขากินอีกคำจนหมด นึกอยากจะลองอีกชิ้นหนึ่งแต่จานนั้นกลับว่างเปล่าเสียแล้ว

ส่วนใหญ่อยู่ในมือของโม่จวินเจ๋อและชิ้นเล็ก ๆ ในมือของอวี้เจิน

คนแรกเหลือบมองอย่างเย็นชาแม้ไม่ได้ตั้งใจ และฝ่ายหลังถึงกับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

แม้แต่การกินก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งใช่หรือไม่?

หลิงเยว่ยังคงมีหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินทอดอีกสองดอกอยู่ในมือของนาง จึงยื่นดอกหนึ่งให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ศิษย์พี่ เอานี่…”

ว่านอวี้เฟิงอยากจะพ่นลมหายใจแต่ก็กลัวจะทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองเสียหาย เขาจึงฝืนยิ้มให้หลิงเยว่

เมื่อเทียบกับการประเมินของอวี้เจินและโม่จวินเจ๋อ การประเมินของศิษย์คนที่สองแห่งยอดเขาโอสถนั้นมีความสำคัญมากกว่า

“เจ้าต้องการฉวยโอกาสนี้ในการทำอาหารที่มีผลเหมือนกับโอสถกลั่นลมปราณใช่หรือไม่?”

“เหตุใดจึงเรียกว่าการฉวยโอกาสเล่า ใครเป็นคนกำหนดว่าสมุนไพรวิญญาณจะต้องเอามาทำแต่ยาเท่านั้น การใช้หม้อและกระทะเพื่อทำอาหารที่ให้ผลลัพธ์เดียวกันมันผิดตรงไหนเจ้าคะ?” อวี้เจินรู้สึกขุ่นเคือง

โม่จวินเจ๋อพยักหน้าขณะรับประทานเช่นกัน

แน่นอนว่ายาให้ผลที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าได้เพลิดเพลินกับอาหารอร่อยซ้ำยังได้ประโยชน์แบบเดียวกับการกินยามันย่อมดีกว่ามากไม่ใช่หรือ?

ว่านอวี้เฟิงตกตะลึง…

นี่มันก็สมเหตุสมผล

ไม่สิ นี่มันเป็นเส้นทางนอกรีตชัด ๆ!

ว่านอวี้เฟิงกระทืบเท้าเดินออกไปด้วยความโกรธอีกครั้ง

หลิงเยว่ไล่ตามออกไป แต่ไม่มีใครอยู่นอกประตูแล้ว

“เส้นทางของเจ้านั้นไม่ได้ผิด อย่าไปใส่ใจกับความคิดเขาเลย”

โม่จวินเจ๋อตั้งใจที่จะให้นาง ‘ต่อต้านความคิด’ ผู้คนทั้งยอดเขาโอสถหรือ?

แต่การที่ศิษย์หลักคนที่สองของผู้นำยอดเขาโอสถยังไม่สามารถยอมรับสมุนไพรวิญญาณที่ถูกนำมาทำเป็นอาหารได้ ศิษย์สายในคนอื่น ๆ ก็คงไม่สามารถยอมรับมันได้เช่นกัน

วันเวลาของการเป็นหนูข้างถนนดูเหมือนจะเข้าใกล้หลิงเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หญิงคนนี้ก็จะปกป้องเจ้าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”

“เฮ้! ยังมีของกินเหลืออยู่อีกไม่ใช่หรือ?”

ปีกไก่ย่างสีทองที่ยัดไส้ข้าวไว้ภายในดึงดูดความสนใจของอวี้เจินและโม่จวินเจ๋อเช่นเดียวกัน ทั้งสองหยิบขึ้นมาคนละชิ้นและกัดในเวลาเดียวกัน

ปีกไก่ย่างหนังกรอบนอกนุ่มในเผยความลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน

ข้าววิญญาณที่แต่เดิมเป็นสีขาวตอนนี้เป็นสีชมพูอ่อน สาเหตุที่มันเป็นสีชมพูอ่อนเพราะมันถูกผสมกับผงสมุนไพรวิญญาณหลายชนิด ทำให้มันมีสีสันสดใส กลิ่นของสมุนไพรวิญญาณช่วยปรับความมันของเนื้อและหนังของปีกไก่ให้เป็นกลาง กักเก็บปราณที่มีอยู่ในข้าววิญญาณ รสชาติมีเอกลักษณ์ แปลกใหม่ และแสนอร่อย มีผลเหมือนการรับประทานโอสถกลั่นลมปราณระดับสองเลยทีเดียว!

[ท่านทำภารกิจหลักที่ห้าสำเร็จ! ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +2,000 แต้ม อายุขัย +50 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 5,010 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 171 วัน]

ภารกิจจบแล้วหรือ!?

หลิงเยว่มองดูคนสองคนที่กำลังกินปีกไก่ยัดไส้ข้าวด้วยความกระตือรือร้น ดูเหมือนว่านางจะสามารถทำอาหารวิญญาณพิเศษแบบนี้ได้แล้วในอนาคต

ข้าววิญญาณที่เอาไปแช่อยู่ในน้ำสมุนไพรวิญญาณตามสูตรโอสถกลั่นลมปราณเมื่อแช่น้ำจะกลายเป็นสีชมพูอ่อน แต่นางกลัวว่าผลที่ได้จะไม่ดีพอจึงเลือกสมุนไพรวิญญาณอีกหลายชนิดที่มีรสชาติและสีสันสดใส บดเป็นผงแล้วคลุกเคล้ากับข้าวอีกรอบ ปรุงรสลงไป ก่อนปิดฝาหม้อแล้วเริ่มหุงด้วยไฟอ่อน

หลังจากหาเส้นทางในอนาคตของตัวเองเจอแล้ว หลิงเยว่ก็หยิบปีกไก่ยัดไส้ข้าวที่นักชิมสองคนเหลือไว้ให้เป็นพิเศษ ก่อนกัดเข้าไปคำใหญ่!

ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้หลิงเยว่รู้สึกมีความสุขถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท