ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 15 ข้าทำเวรทำกรรมอะไรไว้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 15 ข้าทำเวรทำกรรมอะไรไว้?

บทที่ 15 ข้าทำเวรทำกรรมอะไรไว้?

หลิงเยว่หมดหวังกับทักษะการทำอาหารของโม่จวินเจ๋อ คิดถึงอาหารวิญญาณพิเศษสามอย่างที่ตนควรทำ เมื่อนางเคลื่อนไหวร่างกายได้แล้ว ก็ควรจะทำอาหารเองอีกรอบ

ปีกไก่ยัดไส้ข้าวเมื่อวานนั้นดีมาก แต่ตามความชั่วร้ายของระบบ ถ้าทำซ้ำอีกมันย่อมไม่นับให้แน่นอน หลิงเยว่จึงล้มเลิกความคิดนั้นไป

ทำอย่างอื่นจากไก่ก็ได้ไม่ใช่หรือ?

ไก่อร่อยมากอยู่แล้ว!

“โม่จวินเจ๋อ?”

หลงหว่านโหรวยืนอยู่หน้าประตูที่เปิดอยู่ของหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม นางทำหน้าตาเหมือนเห็นผี

ชายคนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เขากำลังทำอาหารอยู่จริง ๆ หรือ?

โม่จวินเจ๋อซึ่งกำลังหมกมุ่นกับหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินไม่ได้มองกลับไป ก่อนตอบกลับว่า “อืม”

หลังจากได้รับคำตอบ หลงหว่านโหรวก็กะพริบตาด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว หืม? ฟ้าเริ่มมืดแล้วหรือ พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินเสียด้วย

“ศิษย์พี่ใหญ่โปรดระวังที่พื้นตรงหน้าท่านด้วยเจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่ซึ่งนอนราบอยู่บนพื้นตะโกนบอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเหยียบ

นางนอนเป็นอัมพาตอยู่ตรงนี้ไม่เห็นหรือ?

หลงหว่านโหรวหดขากลับไป ก่อนนั่งยองมองหลิงเยว่ “ทำไมเจ้าถึงนอนอยู่ที่นี่ โม่จวินเจ๋อทุบตีเจ้างั้นหรือ”

โม่จวินเจ๋อ “…”

นางมองข้าเป็นคนอย่างไรกัน?

หลิงเยว่ส่ายหัว แต่เอ๊ะ! ตนส่ายหัวได้แล้วหรือ ใกล้จะถึงเวลาที่จะขยับตัวได้แล้วสินะ!

“เขาไม่ได้ตี ข้าเพียงแค่ปราณหมดเท่านั้น” หลิงเยว่พูดอย่างน่าสงสาร ราวกับว่านางกำลังเจอญาติ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านพอจะมีโอสถที่ช่วยให้ข้าฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหรือไม่ หรืออาจจะเป็นอาหารอะไรก็ได้เจ้าค่ะ”

“มี”

ขวดยาสีขาวขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นในมือของหลงหว่านโหรว นางเทโอสถเม็ดหลากสีออกมาแล้วยัดมันเข้าไปในปากของหลิงเยว่ จากนั้นปิดปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

รสเปรี้ยว ขม เผ็ด และเค็มปะทุขึ้นในปากนางพร้อม ๆ กัน หลิงเยว่เข้าใจทันทีว่าทำไมหลงหว่านโหรวถึงปิดปากนาง! มันคือการป้องกันไม่ให้ตนคายมันออกมา!

เด็กสาวร้องไห้! คราวนี้นางร้องไห้จริง ๆ โดยไม่ได้แสร้งทำแม้แต่นิด

นางทำเวรทำกรรมมาแบบไหนกันถึงสมควรถูกทรมานเช่นนี้ถึงสองครั้ง!

“แม้ว่ารสชาติจะไม่ดี แต่คุณภาพของมันยอดเยี่ยมและเพียงพอที่จะฟื้นฟูปราณในร่างของเจ้า”

หลงหว่านโหรวอธิบายอย่างเคร่งขรึมว่า “เช้านี้ข้าได้รับแรงบันดาลใจจากเกี๊ยว ข้าคิดว่ารสชาติของโอสถนั้นมีเพียงรสชาติเดียว ดังนั้นจึงทำให้โอสถมีรสชาติที่หลากหลาย”

“หือ? เจ้ายังขยับไม่ได้อีกหรือ?”

หลงหว่านโหรวบอกราวกับว่าต้องการจะยัดโอสถที่มีรสและกลิ่นแปลก ๆ ให้อีกเม็ด หลิงเยว่ตกใจมากจนลุกขึ้นนั่งจากพื้นแล้วส่ายหัวด้วยความขยาด

“ข้าเคลื่อนไหวได้แล้ว ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่มากเจ้าค่ะ!”

หัวใจของหลิงเยว่ขมขื่นแต่ปากของนางขมยิ่งกว่า ตนจำเป็นต้องกินอะไรหวาน ๆ เพื่อฟื้นตัว ขณะที่คิดเช่นนี้ โม่จวินเจ๋อก็ยื่นหญ้าวิญญาณสีน้ำเงินที่ทอดอย่างสมบูรณ์แบบมาให้ทันเวลา

“ข้าขอไม่กินได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่คล้ายดูขมขื่น

“ข้าลองแล้วมันไม่มีปัญหา ซ้ำยังดีขึ้นกว่าเดิมมาก”

โม่จวินเจ๋อพูดอย่างจริงใจ

หลิงเยว่เชื่อเช่นนั้น แต่ทันทีที่หญ้าวิญญาณสีฟ้าทอดเข้าปาก ชายหนุ่มก็หยุดเสแสร้งและแสดงสีหน้าราวกับว่าแผนของเขาสำเร็จ!

กรี๊ด!

ต่อมรับรสของนางได้รับความเสียหายอีกเป็นครั้งที่สาม

แม้จะดีขึ้นจริง ๆ ไม่เค็มมากเท่าเดิม แต่รสชาติเหมือนใบไม้แห้งยังคงเป็นเช่นเดิม!

“หญ้าวิญญาณสีน้ำเงินสามารถเอามาทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”

หลงหว่านโหรวหยิบมันขึ้นมาใส่เข้าไปในปากทันที แล้วเคี้ยวมันอย่างไม่แสดงอารมณ์

ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านประมาทเกินไปแล้ว!

สิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่ชายผู้นี้ทำจะกินได้อย่างไร?

“ข้าไม่ได้ชวนเจ้ากินเสียหน่อย”

โม่จวินเจ๋อทำหน้าตาไร้เดียงสา

บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันระหว่างคนทั้งสองเริ่มรุนแรงขึ้น หลิงเยว่รีบออกไปให้พ้นทางและหยิบส่วนผสมที่ซื้อจากระบบแลกเปลี่ยนออกมา

“ปีกไก่เมื่อวานอร่อยมาก”

โม่จวินเจ๋อหยุดเผชิญหน้ากับหลงหว่านโหรว

“วันนี้ข้าจะไม่ทำปีกไก่อีก แต่เอาไก่มาทำเป็นอย่างอื่นก็อร่อยมากเช่นกันเจ้าค่ะ”

ประโยคครึ่งแรกทำให้โม่จวินเจ๋อผิดหวัง แต่ครึ่งหลังทำให้จิตใจของเขาเบิกบานทันที

“ข้าจะช่วยเจ้าด้วย”

หลิงเยว่ไม่เกรงใจและบอกให้เขาเอากระดูกออกจากน่องไก่ขนาดใหญ่ทีละชิ้น แม้ชายหนุ่มจะทำอาหารไม่เก่ง แต่เขาเก่งเรื่องการใช้มีดเลาะกระดูกมากทีเดียว

“ข้าก็จะช่วยด้วย!”

หลงหว่านโหรวคว้ามีดทำครัวจากมือของหลิงเยว่มาช่วยสับไก่เป็นชิ้น ๆ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองผ่านการฝึกวิชามาอย่างช่ำชอง

หลิงเยว่มีคนช่วยจัดการกับไก่แล้วจึงลงมือจัดการกับสมุนไพรวิญญาณแทน

จากหางตาของหลงหว่านโหรว นางสังเกตเห็นว่าฝีมือการจัดการกับสมุนไพรวิญญาณของหลิงเยว่นั้นหยาบมากจนนางไม่สามารถมองตรง ๆ ได้ มุมปากของหลงหว่านโหรวพลันกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการรบกวน ด้วยพยายามสะกดจิตตัวเอง บอกตัวเองว่าศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าผู้นี้ยังไม่ใช่นักกลั่นโอสถที่แท้จริง เมื่อทำใจให้สงบแล้วนางจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

พวกเขาทั้งสามยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง และไม่นานทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม

กลิ่นหอมตัดกันอย่างชัดเจนกับกลิ่นหอกลั่นโอสถข้าง ๆ

ว่านอวี้เฟิงซึ่งใช้เวลาทั้งวันในการลองทำเกี๊ยวเลียนแบบ เขาดูหงุดหงิดมากเมื่อมองดูเกี๊ยวที่ทอดจนไหม้ไม่ต่างจากถ่านดำ

ต้องทอดอย่างไรให้กลายเป็นสีทองอร่ามและไส้สุกในเวลาเดียวกันนะ?

มีเกี๊ยวตัวหนึ่งที่เขาทอดได้แบบยังไม่ไหม้แต่ไส้ข้างในกลับกึ่งสุกกึ่งดิบ

เขาลองเอาไปต้มแต่ยังไม่ทันสุกดีเกี๊ยวก็แตกเละเป็นชิ้น ๆ ส่วนบางตัวที่ไม่แตกเละก็ไม่อร่อยเลย รสชาติไม่ดีก็ช่างมันไป แต่ผลของการเสริมปราณกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ขณะที่ว่านอวี้เฟิงกำลังหงุดหงิด กลิ่นหอมอันแรงกล้าจากหอกลั่นโอสถข้าง ๆ ก็โชยมา

ศิษย์น้องเล็กคนที่ห้ากำลังทำอาหารอีกแล้วงั้นหรือ?

ว่านอวี้เฟิงกลั้นหายใจ เปิดประตูอย่างเงียบ ๆ และค่อย ๆ ย่องไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสามราวกับเป็นหัวขโมย

ประตูไม่ได้ปิด!

เขาค่อย ๆ แอบมองเข้าไปข้างใน แต่ทันทีที่เขาโผล่หัวไปเพียงนิดเดียวหลงหว่านโหรวก็หันมาเห็น

ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ถึงอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ?

ไม่สิ นั่นศิษย์พี่ใหญ่กำลังทำอาหารด้วยหรือ?

มันจะกินได้หรือไม่นะ?

ว่านอวี้เฟิงคล้ายดูสงสัยกับชีวิต

“ศิษย์พี่ ท่านเข้ามาสิเจ้าคะ”

หลิงเยว่มองออกไปนอกประตู แต่ไม่ทันได้เห็นร่างของว่านอวี้เฟิงที่รีบแอบไปในทันที นางวางสมุนไพรวิญญาณลงในหม้อพักแล้วเดินออกไปนอกห้อง แน่นอนว่าพบเข้ากับว่านอวี้เฟิงผู้ที่กำลังทำสีหน้าไม่เข้าใจกับชีวิต

“ศิษย์น้องเล็ก!”

ว่านอวี้เฟิงกลับมาทำหน้าตาปกติ

หลิงเยว่กลอกตาก่อนจะยิ้มหวาน “ศิษย์พี่รองมากินได้เลยเจ้าค่ะ อาหารพร้อมแล้ว!”

“ไม่ ข้าไม่ต้องการ”

“มาเร็ว!”

หลิงเยว่คว้าแขนเสื้อของว่านอวี้เฟิง เดิมทีตนคิดว่าด้วยแรงของนางคงไม่สามารถดึงเขาได้ แต่กลับดึงอีกฝ่ายให้เดินตามมาได้อย่างง่ายดาย

ฮ่า หิวละสิ

ท้ายที่สุดอาหารนั้นก็มีกลิ่นหอมมากจนผู้คนอดใจไม่ไหวแล้ว!

เหตุใดหลิงเยว่จึงขยันมากขึ้นมา นั่นเป็นเพราะจู่ ๆ นางก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง!

ส่วนที่ว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องพึ่งพาศิษย์พี่ใหญ่ของนางและศิษย์พี่รองที่น่าอึดอัดใจคนนี้

พวกเขาควรจะเห็นด้วยใช่หรือไม่?

ท้ายที่สุด อย่างไรกินแล้วก็ต้องเกรงใจกันบ้าง

ภารกิจของระบบไม่ได้ต้องการให้นางได้รับการยอมรับ ตราบใดที่อาหารวิญญาณพิเศษได้รับการยอมรับก็เพียงพอ!

บนโต๊ะไม้กลมตัวใหญ่มีจานอาหารวางอยู่สี่จาน แต่ละจานมีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงคนสี่คนอย่างสบาย ๆ

ก่อนรับประทานอาหาร โม่จวินเจ๋อผลักถุงมิติให้หลิงเยว่ “เงินค่าอาหาร”

“ท่านไม่จำเป็นต้องให้หรอกเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่ผลักมันออกไป เขาช่วยนางมากเกินไปแล้ว นางเพิ่งตอบแทนเขาด้วยอาหารไม่กี่มื้อเอง นางจะกล้าเก็บเงินจากเขาอีกได้อย่างไร?

“มันไม่ใช่หินวิญญาณ”

ขณะที่เขาพูดแบบนั้น สายตาของโม่จวินเจ๋อก็หันไปมองอีกสองคน

“…”

หลงหว่านโหรวและว่านอวี้เฟิงก็เข้าใจ

มองมาแบบนี้หาว่าพวกเขาเป็นพวกชอบกินของคนอื่นแล้วไม่ตอบแทนหรือ?

ฮึ่ม!

จากนั้นหลิงเยว่ก็ได้รับโอสถมาหลายสิบขวด

ว่านอวี้เฟิงเลิกคิ้วตอบโม่จวินเจ๋ออย่างเยาะเย้ย

ความมั่งคั่งมาอย่างกะทันหัน หลิงเยว่พลันมีความสุข!

อาวุธวิญญาณไม่สามารถใช้ในการประลองชี้ชะตาได้ แต่ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้โอสถ

นางเคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่แย่ที่สุดที่ทำได้คือปรุงอาหารวิญญาณพิเศษให้มากขึ้นซึ่งสะดวกต่อการรับประทานก่อนจะขึ้นไปประลอง แต่ตอนนี้นางมีโอสถแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอาหารให้มากเหมือนอย่างที่วางแผนไว้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท