ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 25 ความวุ่นวายจากเสียงกรีดร้อง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 25 ความวุ่นวายจากเสียงกรีดร้อง

บทที่ 25 ความวุ่นวายจากเสียงกรีดร้อง

มันไม่อาจปิดกั้นเสียงกรีดร้องของหลิงเยว่ได้ทัน และด้วยเสียงที่ผสานกับปราณ เสียงกรีดร้องจึงทะลุทะลวงแพร่กระจายไปทั่วเขาโอสถ

แม้ว่าจะเป็นเพียงเสียง แต่ก็เพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อนักกลั่นโอสถที่กำลังมุ่งความสนใจไปที่การกลั่นโอสถของตัวเอง

“ตูม!”

“ตูม!”

เสียงระเบิดของเตากลั่นดูคล้ายจะมีปฏิกิริยาลูกโซ่ หลังจากการระเบิดครั้งหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนแพร่กระจายจากยอดเขาไปยังด้านล่างของภูเขา

ไฟระเบิดลุกลามไปทั่วทุกสารทิศ

“สวรรค์! เกิดอะไรขึ้นกับบนยอดเขาโอสถ? ทำไมระเบิดกันวายวอดถึงเพียงนั้น!”

เหล่าศิษย์ที่ได้ยินเสียงโกลาหลก็ออกมาตรวจสอบกัน สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นช่างเหลือเชื่อ ในเวลานี้ยอดเขาโอสถนั้นมีทั้งแสงและเสียงของการระเบิดสนั่นหวั่นไหวไปหมด!

“ใครกัน! ใครตะโกนร้องอีกแล้ว! ระวังเอาไว้เถอะอย่าให้ข้าจับได้เชียว!”

“อ๊าก ๆ ๆ ๆ โอสถชำระกายที่ข้าทำใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว ระเบิดบ้า พาให้ฉิบหายกันไปหมดเลย…”

“โอสถชำระกายของเจ้ายังนับว่าเล็กน้อย! โอสถสร้างรากฐานที่ข้าเฝ้าทำมาเจ็ดวันระเบิดเป็นจุณไปแล้วนี่สิ ข้าไม่ยอม! ข้าต้องหาคนที่กรีดร้องเสียอึกทึกครึกโครมขนาดนั้นมาชดใช้ให้ได้!”

ในฐานะผู้บำเพ็ญ แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าเสียงกรีดร้องนี้มาจากยอดเขาโอสถ ทว่ากลับไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่ ก่อนรีบเร่งขึ้นไปบนยอดเขาด้วยกัน

แม้ว่าหลงหว่านโหรวและว่านอวี้เฟิงจะรีบใช้ค่ายกลปิดกั้นแล้วแต่มันก็ยังช้าเกินไป พวกเขาดูถูกพลังการกรีดร้องของหลิงเยว่มากไปหน่อย

“ศิษย์น้อง เจ้าไปจัดการเสีย” หลงหว่านโหรวโบกมืออย่างเหนื่อยล้า

หลงหว่านโหรวประมาทเกินไป นางไม่ควรนำศิษยน้องห้าขึ้นมารักษาบนยอดเขาเลย

ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ว่านอวี้เฟิงต้องไปเผชิญหน้ากับนักกลั่นโอสถที่กำลังโกรธแค้นเพียงลำพัง

หลิงเยว่พลันทำหน้าเหยเกและมีน้ำตาไหลกำลังกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียง นางไม่รู้ว่าตัวเองสร้างปัญหามากเพียงใดจากการกรีดร้องที่ไม่สามารถควบคุมได้ในตอนนี้

แต่ต่อให้นางจะไม่สนใจ มันก็เจ็บปวดเกินไป ความรู้สึกที่อวัยวะภายในและกระดูกคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ และประกอบกลับพร้อม ๆ กัน ทำให้ชีวิตของหลิงเยว่เลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก

อีกทั้งนางยังไม่หมดสติอีกต่างหาก

หลิงเยว่คิดผิดจริง ๆ คราวหน้านางจะไม่ลังเลในขณะที่ศัตรูกำลังเพลี่ยงพล้ำอยู่อีกแล้ว ตนจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายในทันทีแน่นอน!

เพียงเพราะความลังเลนั้น จึงเกิดเป็นบทลงโทษให้หลิงเยว่ต้องทนทุกข์ทรมานจนเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความตาย

หลิงเยว่หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ

หลงหว่านโหรวที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อสังเกตเห็นการตระหนักรู้นี้ของหลิงเยว่ก็พอใจ เป็นการดีที่รู้ตัวได้เร็วว่าเด็กสาวตัดสินใจพลาดไป

ในความเป็นจริง อาการบาดเจ็บของศิษยน้องห้าไม่จำเป็นต้องใช้โอสถหล่อกระดูก แม้ว่ายาชนิดอื่นจะออกฤทธิ์ช้ากว่าแต่มันก็เพียงพอที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้หลิงเยว่ได้ในสิบวัน เพียงแต่กระบวนการรักษาแบบนั้นสบายเกินไป หลงหว่านโหรวควรทำให้เด็กสาวตระหนักรู้ว่าการมีเมตตาต่อศัตรูนั้นมีค่าใช้จ่ายราคาแพงรออยู่เสมอด้วยประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดไม่รู้ลืม

ดังนั้นหลงหว่านโหรวจึงตัดสินใจป้อนหลิงเยว่ด้วยโอสถหล่อกระดูกในปริมาณมากเพื่อทำให้เจ้าตัวจำความรู้สึกนี้ได้อย่างลึกซึ้ง

หลิงเยว่หมดสติจากความเจ็บปวด และแน่นอนว่านางไม่รู้ว่าภัยพิบัติที่ต้องประสบนั้นเกิดจากศิษย์พี่ใหญ่ที่รักของนางโดยเจตนา

สรุปตอนนี้นางไม่รู้สึกอะไรนอกจากเสียใจ

มีเสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่องภายในหอกลั่นโอสถ และมีการต่อสู้อยู่ตลอดเวลานอกหอกลั่นโอสถ

“ว่านอวี้เฟิง เจ้าจะชดเชยการสูญเสียของข้าอย่างไร!”

ใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวตรงข้ามนั้นเต็มไปด้วยเขม่าดำจำนวนมาก และเครื่องประดับหัวอันสวยงามของนางก็หักเหลือเพียงครึ่งเดียว อีกฝ่ายชี้ไปที่ว่านอวี้เฟิงด้วยความโกรธ

ว่านอวี้เฟิงเบนตัวไปด้านข้างหลบนิ้วที่กำลังจะจิ้มหัวของเขา มองไปที่นักกลั่นโอสถที่อยู่ด้านหลังผู้หญิงคนนั้นโดยใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะเยาะอีกฝ่าย

บางคนหน้าดำคล้ายถูกทาด้วยถ่านไม้ แถมเสื้อคลุมยังขาดรุ่งริ่ง บางคนผมชี้ตั้งตรง และบางคนดำเป็นตอตะโกไปทั้งตัวเห็นเพียงตาขาวและฟันเท่านั้น

สีดำก็สวยดี อย่างน้อยก็ไม่เด่นในตอนกลางคืน

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยสีสันสดใสซึ่งน่าขบขันกว่ามาก ด้วยเพราะถูกระเบิดจากสมุนไพรวิญญาณที่มีสีแตกต่างกัน

ว่านอวี้เฟิงสามารถกลั้นหัวเราะไว้ได้ ทว่าอวี้เจินที่เพิ่งมาถึง ไม่สามารถยั้งตัวเองไหว ไม่นานรอยยิ้มของนางก็เบ่งบานไปทั่วยอดเขา

แน่นอนว่าอวี้เจินสามารถดึงความสงบเสงี่ยมของว่านอวี้เฟิงมาสู่ตัวนางเองได้ทันที

อวี้เจินตกใจเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาน่ากลัวหลายคู่ นางจึงรีบวิ่งเข้าไปในหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม ข้างนอกมีนักกลั่นโอสถผู้น่าขันมากเกินไป เกรงว่านางจะหัวเราะออกมา ซึ่งนั่นจะทำให้ตนถูกรุมทุบตีอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ข้ากำลังกลั่นโอสถปรับวิญญาณ เจ้าก็รู้ดีว่ามันมีค่าเพียงใด!”

ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าสุดยื่นมือออกไปหาว่านอวี้เฟิง

“หินวิญญาณระดับกลางหนึ่งหมื่นก้อน!”

ว่านอวี้เฟิงยิ้ม

“จัวหลิงเหยาเจ้าเป็นเพียงนักกลั่นโอสถระดับสี่ แต่ตอนนี้เจ้ากำลังบอกข้าว่าเจ้ากำลังกลั่นโอสถระดับหกงั้นหรือ?”

ถ้าหลิงเยว่อยู่ที่นี่ นางจะสามารถระบุได้ว่าเสียงของผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวกับคนที่โยนนางลงจากภูเขา

“อย่างไรเจ้าก็ต้องรับผิดชอบกับการกลั่นโอสถข้ามระดับของข้าที่ล้มเหลวไปแล้วใช่หรือไม่?”

จัวหลิงเหยาจับหางผมของตัวเองไปมา แน่นอนว่านางซึ่งเป็นนักกลั่นโอสถระดับสี่ไม่รู้สึกตกใจกับเสียงกรีดร้องนั้น แต่เนื่องจากมีคนส่งเสียงตะโกน นางจึงย่อมไม่โทษตัวเองที่กลั่นยาล้มเหลว

แน่นอนว่าว่านอวี้เฟิงรู้ว่าจัวหลิงเหยาต้องการใช้โอกาสนี้เอาเปรียบเขา

ท้ายที่สุดแล้ว อาจารย์ชิงยวนและอาจารย์ของนางต่างก็เป็นศัตรูกันมาตลอด ทั้งสองคนขัดแย้งกันเสมอ ซึ่งทำให้ศิษย์บางคนพลอยมีความบาดหมางกันไปด้วย

ว่านอวี้เฟิงเลี่ยงผ่านจัวหลิงเหยาที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างใจเย็นและไปหาศิษย์คนอื่น ๆ ต่อ “เขียนชื่อและของที่เสียหายของพวกเจ้ามาให้ข้า พรุ่งนี้ข้าจะจ่ายค่าชดเชยให้”

ไม่มีใครกังขากับคำพูดของลูกศิษย์คนรองของผู้นำยอดเขาอยู่แล้ว เหล่าศิษย์เตาระเบิดยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาจดบันทึกของที่เสียหายและชื่อของพวกเขาแล้วมอบให้ว่านอวี้เฟิงก่อนจากไป

เดิมทีมีศิษย์หลายสิบคน แต่ตอนนี้เหลืออีกเพียงสี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ไป

ว่านอวี้เฟิงก็รู้จักทั้งสี่คนนี้

พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ของศัตรูตัวฉกาจของอาจารย์ และแน่นอนว่าผู้นำกลุ่มคือจัวหลิงเหยา

“นอกเหนือจากหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งหมื่นก้อนของข้าแล้ว เจ้าต้องจ่ายหินวิญญาณระดับกลางห้าพันก้อนให้กับศิษย์น้องชายสองคนและศิษย์น้องหญิงของข้าอีกหนึ่งคน”

ผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้!

ว่านอวี้เฟิงกำลังจะเปิดปากด่า แต่ประตูหอกลั่นโอสถด้านหลังเขากลับเปิดออกเสียก่อน

เพียะ!

หลงหว่านโหรวเดินเข้าหาจัวหลิงเหยาเกือบจะในทันที และเสียงตบก็ดังขึ้นในคืนที่เงียบสงบ

มันเป็นการตบที่ไม่ได้ใช้ปราณที่เป็นอันตราย ซึ่งนับเป็นการดูถูกอย่างยิ่ง

“หลงหว่านโหรว!”

จัวหลิงเหยากุมแก้มข้างหนึ่งของตน ดวงตาพลันแดงก่ำ มียันต์ปรากฏอยู่ในมือของนาง นางจึงโยนมันใส่หลงหว่านโหรวในทันที

พวกนางได้เข้าสู่ยอดเขาโอสถพร้อมกัน และเห็นได้ชัดว่าจัวหลิงเหยามีความสามารถมากกว่าสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น ในท้ายที่สุดจัวหลิงเหยากลับทำได้เพียงเป็นศิษย์ของรองผู้นำยอดเขาเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นศิษย์สายตรงด้วย แต่นางก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหลงหว่านโหรว!

นางไม่ยอมรับแน่!

หลงหว่านโหรวหลบยันต์ที่ระเบิดไปทั่วท้องฟ้าอย่างใจเย็น ปกตินางเป็นคนไม่พูดมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจัวหลิงเหยา นางก็เปิดปากพูดเยาะเย้ยทันที

“คืนนี้ข้ามีความสุขเหลือเกิน แม้ว่าจะต้องเสียหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งแสนก้อนก็นับว่าคุ้มค่า!”

ประโยคนี้เหมือนกับการตบไปที่แก้มอีกข้างของจัวหลิงเหยา นั่นยิ่งทำให้เกิดความเจ็บแสบมากทีเดียว

“เฮ้อ… ข้ารู้มาตลอดว่าศิษย์ของรองผู้นำยอดเขานั้นยากจน แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะยากจนถึงขนาดมาต้มตุ๋นผู้อื่นเช่นนี้”

ว่านอวี้เฟิงที่ได้รับการสนับสนุนจากศิษย์พี่ใหญ่เริ่มเยาะเย้ยเสริม

เมื่อได้ยินคำเย้ยหยันเหล่านั้น อีกสี่คนก็โกรธมากเช่นกัน

อาวุธวิญญาณและยันต์ต่างระเบิดไปทั่วท้องฟ้าในตอนกลางคืน

แม้ว่านักกลั่นโอสถจะมีพลังการต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่จำนวนอาวุธวิญญาณและยันต์ที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้นทำให้ผู้บำเพ็ญที่เฝ้าดูจากยอดเขาอื่น ๆ เห็นแล้วอิจฉา

“ศิษย์พี่หญิงหลง ท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ เพียงให้โอสถฟื้นปราณระดับกลางหนึ่งขวดแก่ข้าก็พอ!”

“ศิษย์พี่หญิงจัว ของข้าคิดเพียงโอสถฟื้นปราณครึ่งขวดก็พอ!”

ศิษย์คนอื่น ๆ ที่กำลังเฝ้าดูอยู่ไม่เต็มใจที่จะถูกเพิกเฉยจึงตะโกนให้กำลังใจหลงหว่านโหรวและจัวหลิงเหยา

มีศิษย์เข้าร่วมสนุกกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมากขึ้นเรื่อย ๆ ล้วนเป็นผู้ที่อยากได้ยาในมือของนักกลั่นโอสถ

เรื่องราวชักจะใหญ่โตจนไปดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสยอดเขาโอสถ

เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน เหล่าผู้อาวุโสก็พลันปวดหัว เป็นพวกเขาอีกแล้ว… การลงโทษโดยการปรับหินวิญญาณคงไม่รู้สึกรู้สาอีกแน่ แต่ขังเดี่ยวก็ดูจะมากเกินไป…

เหล่าผู้อาวุโสค่อนข้างกังวล ทว่าตอนนี้การต่อสู้ยังไม่รุนแรงนัก พวกเขาจะรอดูไปก่อน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายขอความช่วยเหลือจากศิษย์ยอดเขาอื่นจริง ก็คงไม่สายเกินไปที่จะเข้าไปหยุด

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท