บทที่ 37 หว่านเมล็ดเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
บทที่ 37 หว่านเมล็ดเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ซาลาเปายัดไส้ของหลิงเยว่ได้รับการทดสอบแล้ว และผลลัพธ์นั้นคงอยู่ได้นานกว่าโอสถย่างก้าววายุทั่วไปอย่างแน่นอน และยังมีผลแบบอื่น ๆ อีกด้วย
เดิมทีนางต้องการปิดด่านฝึกตนเพื่อการแข่งขันสำนัก ทว่าตอนนี้นางถูกกดดันจนไม่สามารถจัดสรรเวลาได้ จึงต้องเลื่อนการฝึกออกไป
“ข้าจะไปตลาดเพื่อซื้อของ”
ครั้งนี้จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมจำนวนมาก ซึ่งหลิงเยว่ไม่กล้าหยิบพวกมันออกจากระบบแลกเปลี่ยนโดยตรงต่อหน้าคนฉลาดเหล่านี้
“ข้าจะไปกับเจ้า”
โม่จวินเจ๋อติดตามอย่างเงียบ ๆ
“ศิษย์น้อง ข้าจะไปกับเจ้าด้วย การแข่งขันของสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น มีผู้คนหลากหลายมาอยู่บริเวณสำนัก นั่นไม่อาจรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้”
ศิษย์น้องของเขาต้องได้รับการคุ้มครองจากศิษย์พี่อย่างเขา!
ว่านอวี้เฟิงยืนอยู่อีกข้างของหลิงเยว่
หลงหว่านโหรวมีหน้าที่ส่งซาลาเปาให้กับอาจารย์ของนาง ดังนั้นนางจึงมอบถุงหินวิญญาณให้หลิงเยว่
“ศิษย์น้องห้า เจ้าสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ และถ้าในถุงนั่นมีไม่พอจ่าย เจ้าก็ขอเพิ่มเอาจากศิษย์พี่รองหรือไม่ก็ศิษย์พี่สามของเจ้าได้”
ติงหลิวหลิ่วเดินแทรกโม่จวินเจ๋อออกไปแล้วคล้องแขนของหลิงเยว่ “ศิษย์น้องห้า เราไปกันเถอะ…”
หลิงเยว่ถือถุงหินวิญญาณและมีกระเป๋าเงินสำรองเคลื่อนที่อีกสามตู้อยู่ข้างนาง เด็กสาวพลันมองขึ้นไปบนฟ้า ด้วยสภาพปัจจุบัน นางจะทำภารกิจจากระบบได้อย่างไรกัน?
ความคิดในการจะแสดงสิ่งต่าง ๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่นางก็ปัดตกไปอย่างไร้ความปรานี
หลิงเยว่ซึ่งแต่เดิมต้องการเพียงเดินเล่นในตลาด แต่เมื่อมองดูคนสามคนที่ตามมาไม่ห่าง นางก็หยุดคิดทันที
ช่างเถอะ วันนี้นางไปฝึกฝนก่อนดีกว่า
ทันทีที่เขาได้ยินเกี่ยวกับการฝึกฝน โม่จวินเจ๋อก็อุ้มหลิงเยว่แล้วพามุ่งหน้าไปยังภูเขาด้านหลังโดยไม่พูดจา
“ศิษย์น้องห้า มีจดหมายมาส่งถึงเจ้า!” ติงหลิวหลิ่วยื่นจดหมายให้หลิงเยว่ที่เพิ่งถูกนำตัวกลับมาในสภาพกึ่งตาย
จดหมาย?
ใครจะส่งจดหมายถึงนาง?
หลิงเยว่รับซองจดหมายมาอย่างสงสัย
“มันถูกระบุว่าถูกส่งมาจากหมู่บ้านต้าสี่”
หมู่บ้านต้าสี่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่หรือ?
หลิงเยว่ไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา และเมื่อเปิดจดหมาย มือก็พลันสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
สัญชาตญาณบอกนางว่าเนื้อหาในจดหมายต้องไม่ใช่สิ่งดี หรืออาจจะเลวร้ายมากด้วยซ้ำ…
‘หมู่บ้านต้าสี่ถูกนองเลือดในชั่วข้ามคืน และมีเพียงคนเดียวในหมู่บ้านเท่านั้นที่รอดชีวิต’
คนที่รอดชีวิตคนนั้นคือนางใช่หรือไม่?
คือนาง!
ตึก ตัก…
น้ำตาหยดใหญ่ตกลงบนกระดาษจดหมายสีเหลืองเข้ม หลิงเยว่ไม่อาจควบคุมไม่ให้น้ำตาไหลได้เลย
“ศิษย์… ศิษย์น้องห้า! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าเป็นอะไรไป!?”
ติงหลิวหลิ่วรีบคุกเข่าลงเพื่อเช็ดน้ำตาของหลิงเยว่ นางบังเอิญเหลือบมองเนื้อหาในจดหมาย มือที่เช็ดน้ำตาพลันหยุดชะงัก
หลิงเยว่คิดถึงผาวซ่านเกือบจะในทันที
ผาวซ่านสูญเสียลูกชายคนเดียวของเขา และไม่มีโอกาสล้างแค้นนางในสำนัก ดังนั้นเขาจึงไปแก้แค้นกับพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมใช่หรือไม่?
ตอนนี้ไม่เพียงแต่พ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมเท่านั้นที่ตาย แต่ยังรวมถึงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านด้วย
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ผาวซ่านสังหารหลายร้อยชีวิตในชั่วข้ามคืนเพียงเพื่อต้องการแก้แค้นนาง!
หลิงเยว่ไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่เมื่อนางใช้ร่างกายของเจ้าของร่างเดิม ตนก็ต้องแบกรับเคราะห์กรรมของอีกฝ่าย ผู้บำเพ็ญความเป็นอมตะให้ความสำคัญกับเคราะห์กรรมเป็นอย่างมาก
ใช่แล้ว ผาวฮุยตายด้วยน้ำมือของนาง หว่านเมล็ดเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น…
หลิงเยว่ได้แต่รู้สึกผิดและโทษตัวเอง ที่ผ่านมาเด็กสาวคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของนางในสำนักเท่านั้น ไม่ได้คำนึงถึงครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมและชาวบ้านในหมู่บ้านต้าสี่เลย
“ทั้งหมดข้าผิดเอง ข้าทำร้ายพวกเขา ข้าเองเจ้าค่ะ…”
“ศิษย์น้องห้า!”
เมื่อเห็นว่าหลิงเยว่แสดงสัญญาณราวถูกมารในใจครอบงำ ติงหลิวหลิ่วจึงรีบหยิบโอสถสงบจิตออกมาอย่างลนลานแล้วยัดทั้งหมดเข้าไปในปากของหลิงเยว่
“ใจเย็น ๆ ศิษย์น้องห้า! เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเช่นนี้!”
ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของว่านอวี้เฟิงทันที และหลังจากได้ยินติงหลิวหลิ่วอธิบายแล้วเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หากผู้บำเพ็ญโจมตีมนุษย์ธรรมดา ผลที่จะตามมานั้นร้ายแรงนัก!
ผู้บำเพ็ญเช่นนี้ จะถูกผูกกับกรรมสาหัสและไม่สามารถก้าวหน้าในการบำเพ็ญได้ รวมถึงลูกหลานของพวกเขาจะไม่มีโอกาสบำเพ็ญไปตลอดชีวิต
“ศิษย์น้องห้า นอกจากตระกูลผาวแล้วเจ้ามีศัตรูคนอื่นอีกหรือไม่?”
หลิงเยว่ส่ายหน้าและพยายามค้นหาความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นอกจากผาวซ่านแล้ว ไม่มีใครที่มีแรงจูงใจพอจะทำลายหมู่บ้านได้ในชั่วข้ามคืนเช่นนี้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น หมู่บ้านต้าสี่ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักหลานเทียน และมีเพียงคนในเท่านั้นที่สามารถทำการสังหารหมู่ได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ได้…
“ทุกคนในหมู่บ้านต้าสี่ถูกสังหารหมู่อย่างกะทันหัน และแม้แต่ผู้อาวุโสขอบเขตจินตานที่ดูแลพื้นที่นั้นก็ไม่ได้สังเกตเห็น คนที่ลงมือจะต้องมีระดับการบำเพ็ญเหนือขอบเขตปฐมวิญญาณ ตระกูลผาว… พวกเขาไม่สามารถเชิญผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณให้มาช่วยลงมือได้แน่นอน”
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด ไม่สิ… ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านรู้ได้อย่างไร?” คำถามที่ติงหลิวหลิ่วถามก็คือสิ่งที่หลิงเยว่อยากจะถามเช่นกัน
“ตระกูลผาวนั้น เราได้ส่งศิษย์ไปเฝ้าดูพวกเขาแล้ว” หลงหว่านโหรวลูบหัวของหลิงเยว่อย่างลำบากใจ
ในการตายของทั้งหมู่บ้าน สภาพศพของคนตระกูลหลิงนั้นน่าอนาถที่สุด และสภาพทั้งบ้านก็เละเทะไปหมด เห็นได้ชัดว่าคนก่อเหตุน่าจะมีจุดประสงค์เพื่อตามหาบางสิ่งบางอย่าง
ไม่สิ… อาจไม่ใช่การตามหาบางสิ่งบางอย่างก็ได้ หากแต่จะเป็นการตามหาคน
แม้ว่ามนุษย์ที่ไม่มีแก่นปราณจะให้กำเนิดเด็กที่มีแก่นปราณได้ แต่พรสวรรค์ของเด็กเหล่านั้นก็ไม่มีทางสูงส่งเท่ากับของหลิงเยว่
“ศิษย์น้องห้า สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น อย่าคิดที่จะไปที่หมู่บ้านต้าสี่เพื่อเก็บศพของพ่อแม่เจ้า ผู้อาวุโสของสำนักจะนำเถ้าอัฐิของพวกเขากลับมาให้เอง”
หลิงเยว่ที่ถูกคาดเดาความตั้งใจได้จ้องมองไปที่หลงหว่านโหรวอย่างว่างเปล่า สิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้เพื่อปลอบใจตัวเองก็คือการไปนำศพพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมนี้มาคำนับแล้วทำพิธีให้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของเด็กสาว แต่นางก็ยังจำได้ว่าเมื่อเจ้าของเดิมถูกนำตัวมาที่สำนักหลานเทียนทั้งหมู่บ้านก็มีความสุขและภูมิใจในตัวนางมาก
ศิษย์พี่ใหญ่กลัวว่าถ้าผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวผู้นี้ออกไปข้างนอก นางจะกลายเป็นไปติดกับดักของฝ่ายตรงข้ามใช่หรือไม่?
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะศิษย์พี่ใหญ่” หลิงเยว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ตอนนี้นางอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้า ผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณสามารถฆ่าเด็กสาวได้ง่ายดายด้วยการจามเพียงครั้งเดียว นาง… คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร
แต่เมื่อไหร่ที่นางแข็งแกร่งพอและรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าล้างหมู่บ้านต้าสี่ หลิงเยว่จะให้คนผู้นั้นชดใช้ด้วยเลือด!
เมื่อเทียบกับการเก็บศพและทำพิธี บางทีวิธีนี้อาจช่วยให้ดวงวิญญาณของทั้งหมู่บ้านสงบสุขได้ดีกว่า
มือของหลิงเยว่ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น และดวงตาของนางก็มั่นคงแน่วแน่
นางเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นจากพื้น นำส่วนผสมออกมาและเริ่มทำอาหารวิญญาณแบบพิเศษ ตอนนี้มีเพียงทำให้ตัวเองยุ่งเท่านั้นที่จะไม่คิดถึงโศกนาฏกรรมครั้งนี้
“ศิษย์น้องห้า ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ”
ติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิงช่วยล้างผักและจัดการกับเนื้อ
หลงหว่านโหรวถอนหายใจอย่างลับ ๆ และจากไป
ข้าหวังว่าศิษย์น้องห้าจะสามารถคิดได้ลึกซึ้งมากขึ้น
หอกลั่นโอสถเงียบเกินไป ติงหลิวหลิ่วจึงพยายามเปิดหัวข้อสนทนา
“จริงสิ! ทำไมศิษย์น้องสี่ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
“เขาไม่ได้บอกว่าจะมาถึงภายในสองวันหรือ?”
คำตอบของว่านอวี้เฟิงทำให้ติงหลิวหลิ่วกลอกตากลมโตไปมา
“ศิษย์น้องห้า เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าศิษย์พี่สี่ของเจ้าเป็นคนเช่นไร?”
เมื่อก่อนหลิงเยว่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น ทว่าตอนนี้นางไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยากรู้อีกแล้ว
“ศิษย์พี่สี่ชอบกินอะไร ข้าจะปรุงให้เขาเจ้าค่ะ”
“เขา…” ติงหลิวหลิ่วพูดติดขัด
“เขางดเว้นธัญพืชหรือเจ้าคะ เขาไม่ชอบกินหรือ?”
“ไม่! ไม่ใช่เช่นนั้น เขาเป็นพวกมีปัญหาทางสมองและอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่… ไม่สิ เขาดีกับสหายและศิษย์พี่เช่นพวกข้ามาก แต่เขาแค่ไม่ชอบการกลั่นโอสถเหมือนกับเจ้า”
ว่านอวี้เฟิงอธิบายอย่างลังเลเพราะเขาหาข้อดีของศิษย์น้องสี่ไม่เจอเลยจริง ๆ เลยไม่รู้ว่าจะสรรเสริญศิษย์น้องสี่ในเรื่องใด
หลิงเยว่ซึ่งไม่มีอารมณ์อยากรู้อยากเห็นในที่สุดก็ถูกกระตุ้น