ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 39 อย่าเข้ามานะ!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 39 อย่าเข้ามานะ!

บทที่ 39 อย่าเข้ามานะ!

หลิงเยว่ที่ยังไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของตน กำลังถูกจับตามองโดยผู้นำยอดเขาและผู้อาวุโสระดับสูงอยู่ เด็กสาวลืมตาขึ้นมา สภาพแวดล้อมรอบด้านที่เห็นยังคงเป็นความรกร้างไร้ที่สิ้นสุด

มันรกร้างเช่นเดียวกับหัวใจที่เย็นเยียบของนาง

เมื่อเหนื่อยจากการวิ่งและรู้สึกประหวั่นในใจขึ้นมา หลิงเยว่จึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น และทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าป้ายหยกเคลื่อนย้ายที่แขวนอยู่ตรงเอวกำลังสั่น

ภารกิจกำลังจะประกาศออกมาแล้ว

โดยให้หาสมุนไพรวิญญาณ หรือการล่าสัตว์อสูรเพื่อหาแก่นวิญญาณอสูร ซึ่งเป็นไปตามที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดเลย

แต่สิ่งที่หลิงเยว่กังวลคือชื่อของมิติลับนี้ เพราะมันแปรปรวนมาก

แปรปรวน?

มันคือแดนมายา!

ตอนนี้นางน่าจะกำลังติดอยู่ในแดนมายา มันไม่ใช่กลอุบายหรือค่ายกลแน่นอน!

ใบหน้าของหลิงเยว่รู้สึกร้อนเมื่อคิดถึง ‘การเฝ้ามองของผู้ชม’ ถึงสิ่งที่นางเพิ่งทำลงไป

ไม่สิ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอายอะไร ปัญหาตอนนี้คือจะออกไปอย่างไรต่างหาก?

ขณะที่หลิงเยว่กำลังคิดหนัก คนโง่คนที่สองก็วิ่งเข้ามา

ทั้งสองมองหน้ากันและถอยห่างจากกันแทบจะพร้อมกัน

“อย่าเข้ามาใกล้นะ!”

ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินถอยกลับพลางมองดูหลิงเยว่อย่างหวาดกลัว ราวกับว่าหากไม่ระวังมันอาจจะมีต้นไม้งอกออกมาจากร่างกายของเขา

เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ดูการประลองชี้เป็นชี้ตายวันนั้น และรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าเขานั้นมีฝีมือโหดร้ายมากถึงเพียงไหน

หลิงเยว่ผู้ไม่สามารถมองเห็นระดับการบำเพ็ญของชายหนุ่มได้ “…”

ระดับการบำเพ็ญของชายผู้นี้สูงกว่านางด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุอันใดเขากลับทำตัวเหมือนกลัวนางพอ ๆ กับเห็นผี! เขาต้องมีแผนชั่วเป็นแน่!

หลิงเยว่ยืนอยู่กับที่และมองดูชายในชุดสีน้ำเงินวิ่งห่างออกไปเรื่อย ๆ จนร่างนั้นเล็กลงเรื่อย ๆ ทว่าในไม่ช้าร่างของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนจากตัวเล็กนิดเดียวกลายมาเป็นปกติ ชายหนุ่มที่ถูกพลังบางอย่างส่งกลับมายังที่เดิมนั้นมองดูหลิงเยว่ด้วยสีหน้าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!

“เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่?!”

หลิงเยว่อยากจะหัวเราะ และนางก็หัวเราะจริง ๆ

“เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า!”

ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินโกรธจนนึกอยากจะลงมือ แต่เขาลังเลเมื่อนึกถึง ‘วิชาที่ชั่วร้าย’ ของหลิงเยว่

“ปล่อยข้าออกไป! ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษข้าที่ต้องแย่งป้ายหยกของเจ้า!”

ป้ายหยกนั้นถูกผูกเข้ากับศิษย์ที่เข้าร่วม ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำป้ายหยกแตก เจ้าของป้ายหยกจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป

แน่นอนว่าการทำเช่นนี้จะช่วยลดคู่แข่งด้วย

หลิงเยว่ผู้เข้าใจกฎ ภายนอกสงบนิ่ง แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงกลัวตนมากถึงเพียงนี้ แต่ตราบใดที่ไม่แสดงอาการหวาดกลัวนางก็จะเป็นผู้ชนะ!

“เจ้าเองก็สามารถหักป้ายหยกเคลื่อนย้ายของเจ้าตอนนี้แล้วออกไปด้วยตัวเองได้เช่นกัน”

“ข้าไม่ใช่คนโง่!”

ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินระวังหลิงเยว่สุดขีด พร้อมกับหยิบป้ายหยกเคลื่อนย้ายของเขาออกมาเพื่อตรวจสอบ อย่างที่เขาพูด เขาไม่ใช่คนโง่จริง ๆ และรู้ว่าตอนนี้ทั้งสองบังเอิญเข้ามาสู่ดินแดนมายา

ในดินแดนมายาจะมีจุดเนตรแห่งมายาอยู่เสมอ ตราบใดที่พบมัน เขาก็จะสามารถออกไปได้!

ฮึ่ม! คนโง่ที่น่ารังเกียจอย่างหลิงเยว่คนนี้คงไม่รู้วิธีที่จะออกไปอย่างไรใช่หรือไม่?

นางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนตรแห่งมายาคืออะไร!

แน่นอนว่าหลิงเยว่ไม่รู้วิธีออกไปจริง ๆ นางฝากความหวังไว้กับชายหนุ่มคนนี้ที่ใส่เสื้อคลุมศิษย์สายใน แต่ตอนนี้เขากลับกำลังวิ่งไปรอบ ๆ เหมือนแมลงวันไร้หัวและนางก็ไม่รู้ว่าทำไม

คงต้องพึ่งตัวเองดีกว่าพึ่งคนอื่นสินะ!

เจียงจือเชียนให้ความสนใจกับหลิงเยว่มาก และเมื่อเขาเห็นนางหยิบเมล็ดพันธุ์ออกมาจำนวนหนึ่ง เขาก็ตาแทบถลนและรีบกระโดดออกไปให้ห่างอีกสามเท่า!

หลิงเยว่ก้มหน้าลงเพื่อดูเมล็ดพืชบนฝ่ามือ จากนั้นมองดูชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินซึ่งมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนั้น ในที่สุดนางก็เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มกลัว เด็กสาวก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็รุนแรงยิ่งขึ้น

“ถ้าเจ้าเข้ามาใกล้อีกอย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมนะ!”

ไม่ใช่ว่าเจียงจือเชียนไม่สามารถเอาชนะหลิงเยว่ได้ แต่เพียงว่าการแข่งขันเพิ่งเริ่มต้น ซึ่งไม่เหมาะที่จะต่อสู้แลกชีวิตกันตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บพลังเอาไว้ก่อน

หลิงเยว่เอ่ย “ข้าสามารถพาเจ้าออกไปได้”

เขาไม่เชื่อ!

ถ้าหลิงเยว่ออกไปได้ นางคงออกไปแล้ว ไม่มาติดอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้!

ผู้ชายคนนี้น่ารำคาญจริง ๆ หลิงเยว่ไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก นางจึงโยนยันต์ใส่เขาอย่างรวดเร็ว

“ตรึงร่าง!”

ยันต์ตรึงร่างที่เขียนโดยโม่จวินเจ๋อสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณถูกตรึงร่างได้อย่างง่ายดาย

เจียงจือเชียน “!!!”

เพื่อความปลอดภัย หลิงเยว่ยังได้เปิดใช้งานแผ่นค่ายกลป้องกันด้วย ซึ่งสร้างโดยโม่จวินเจ๋อเช่นกัน

ตอนที่หลิงเยว่พบว่านอกเหนือจากการเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว โม่จวินเจ๋อยังเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลและปรมาจารย์ยันต์อีกด้วย นางทั้งตกตะลึงและอิจฉา ช่องว่างระหว่างคนเราทำไมถึงได้กว้างใหญ่ขนาดนี้!

ความระมัดระวังรอบคอบของหลิงเยว่ได้รับการยอมรับจากผู้ชมภายนอกที่ชมผ่านคันฉ่องสวรรค์ มีเพียงผู้นำยอดเขาจุตรเทพเท่านั้นที่มีใบหน้ามืดมน

ศิษย์ยอดเขาของเขาที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด กลับถูกศิษย์จากยอดเขาโอสถที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้าเท่านั้นข่มขู่ และดูสิ ตอนนี้ถึงกับถูกตรึงไว้อย่างง่ายดาย!

ผู้นำยอดเขาจุตรเทพรู้สึกอับอายจนต้องหันไปมองดูศิษย์คนอื่น ๆ ในคันฉ่องสวรรค์แทน

“เจ้าได้สอนหลิงเยว่ถึงวิธีทำลายแดนมายาหรือไม่ เหตุใดจึงดูเหมือนว่านางรู้วิธีทำลายแดนมายาด้วยเล่า?”

หลงหว่านโหรวส่ายหัวอย่างจริงจัง หนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา ศิษย์น้องห้าไม่เพียงแต่ต้องนั่งสมาธิบำเพ็ญเท่านั้น นางยังต้องฝึกวิชาการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ ทั้งยังต้องฝึกการทำอาหารอร่อยในเวลาว่างอีกต่างหาก ตารางการฝึกเต็มถึงเพียงนี้ศิษย์น้องห้าจะมีเวลาว่างพอเรียนรู้วิธีออกจากแดนมายาได้อย่างไร?

ชิงยวนเริ่มสนใจหลังจากได้รับคำตอบปฏิเสธจากศิษย์คนโตของนาง นางต้องการเห็นว่าอนาคตศิษย์คนที่ห้าของนางจะออกจากแดนมายาโดยไม่รู้วิธีทำลายมันได้อย่างไร

หลิงเยว่นั่งยองกับพื้น ก่อนควักพลั่วเล็ก ๆ ออกมาแล้วเริ่มขุดหลุม จากนั้นก็ฝังเมล็ดพืชสองสามเมล็ดลงไปแล้วกลบดินทับ

“นางต้องการที่จะให้กำเนิดต้นกล้าอ่อนในแดนมายาพิษทมิฬเพื่อจะทำลายมันอย่างนั้นหรือ?” สยงฉีเลวี่ยรู้สึกขบขันกับสิ่งที่เขาพูด

“ในแดนมายาพิษทมิฬ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถดำรงอยู่ได้ การปลูกต้นกล้าจะสำเร็จได้อย่างไร หรือต่อให้เมล็ดพืชนั่นจะแตกหน่อจริง แต่มันก็ไม่สามารถทำลายแดนมายาได้แน่นอน” ผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ เขาส่ายหน้า

คำพูดของเขาเป็นความจริง

แม้แต่ชิงยวนและหลงหว่านโหรวก็เห็นด้วยในใจว่าหลิงเยว่กำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์

“เหตุใดท่านผู้เป็นผู้นำยอดเขาโอสถจึงเอ็นดูคนโง่เช่นนี้?”

บรรยากาศในตอนแรกค่อนข้างกลมกลืนกันจนกระทั่งมีเสียงอันหยาบคายดังขึ้น

“ข้าคงไม่เหมือนกับท่านรองผู้นำยอดเขาของข้าหรอก ที่มักจะรับแต่ศิษย์ที่ข้าดูถูกและไม่ต้องการเท่านั้น”

ชิงยวนมีรอยยิ้มบนใบหน้าของนางและน้ำเสียงก็อ่อนโยนมากจริง ๆ

“เจ้า!”

“พวกท่านสองคนหยุดทะเลาะกันก่อน ดูนั่นก่อนสิ!” สยงฉีเลวี่ยชี้ไปที่หลิงเยว่ในคันฉ่องสวรรค์

ชิงยวนถอนสายตาจากหลิ่วเหอแล้วกลับไปมองหลิงเยว่

นางคิดว่าหลิงเยว่ประสบความสำเร็จในการเพาะต้นกล้าอ่อนในแดนมายาพิษทมิฬ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นเพียงเส้นทางที่นางกำลังก้าวเดินไปในตอนนี้เป็นทิศทางตรงไปยังเนตรแห่งมายา

“คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังนำทางนางอยู่?”

เมล็ดพันธุ์!

ทุกคนนึกถึงเมล็ดพืชไม่กี่เมล็ดที่หลิงเยว่ขุดหลุมฝัง

ทุกคนเดาถูก หลิงเยว่กำลังปล่อยให้เมล็ดพืชนำทางจริง ๆ และนางก็ทำให้พวกมันหยั่งรากได้สำเร็จเช่นกัน แต่พวกมันกลับเติบโตลงไปใต้ดินซึ่งบุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้

เจียงจือเชียนที่ถูกตรึงไว้ไม่สามารถมองเห็นผู้คนที่กำลังมองเขาผ่านคันฉ่องสวรรค์ได้

เขาเห็นแค่หลิงเยว่ยืนขึ้นจากพื้นหลังจากร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เสร็จแล้วก็เดินออกไปอย่างมั่นใจในอีกทิศทาง

ร่างของเด็กสาวที่สวมชุดสีเขียวเดินออกไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเจียงจือเชียนคิดว่าหลิงเยว่จะถูกส่งตัวกลับมา ร่างของนางกลับหายไป!

เขามองไม่เห็นนางแล้ว!

“เจ้าไม่ได้บอกว่าจะพาข้าออกไปด้วยหรือ!”

เจียงจือเชียนตะโกนออกไปโดยพลัน แต่น่าเสียดายที่คำตอบเดียวที่เขาได้รับคือเสียงหวีดหวิวของสายลม

มันจบแล้ว…

เขาถูกตรึงไว้และไม่สามารถแม้แต่จะหักป้ายหยกเคลื่อนย้ายได้ ต้องยืนอยู่ที่นี่จนกว่าด่านแรกของการแข่งขันจะจบลงใช่หรือไม่?

น่าโมโหอะไรเช่นนี้!

อะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ กับพวกศิษย์ผู้โชคร้ายที่ถูกตัดสิทธิ์ออกไปก่อนที่จะเริ่ม!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท