ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 52 ศัตรูของท่านมาแล้ว ข้าขอตัวออกไปก่อนได้หรือไม่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 52 ศัตรูของท่านมาแล้ว ข้าขอตัวออกไปก่อนได้หรือไม่?

บทที่ 52 ศัตรูของท่านมาแล้ว ข้าขอตัวออกไปก่อนได้หรือไม่?

ชุดสีแดงที่ดูโดดเด่นของผู่ตานมีรูขาดวิ่นเต็มไปหมด ชายเสื้อส่วนใหญ่ก็มีร่องรอยถูกไฟไหม้ ผมยาวที่เคยดูสละสลวยพลิ้วไหวก็กลายเป็นยุ่งเหยิงเช่นขอทาน และที่สำคัญที่สุดคือ…

บนใบหน้านั้นตาซ้ายบวมราวตาคางคก และมีสีดำขนาดใหญ่ข้างริมฝีปากซึ่งดูราวต้องพิษ ที่ตลกกว่านั้นคือด้านขวาของใบหน้าบวมปูดใหญ่กว่าใบหน้าด้านซ้ายสองเท่า

ช่างดูน่าอนาถมาก และขบขันมาก!

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…” หลิงเยว่ที่กำลังวิ่งหนี ระเบิดเสียงหัวเราะทันที

นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างมาก ช่างน่าสงสารและน่าสังเวชมากจริง ๆ

“อย่าหัวเราะ! เอาโอสถฟื้นฟูกายาและโอสถสมานบาดแผลมาให้ข้าเร็ว!” ผู่ตานยกขาขึ้น อยากจะเตะศิษย์น้องของเขาที่กำลังวิ่งไปหัวเราะไปเสียงดัง แต่สุดท้ายก็เลิกล้มความตั้งใจ

ฮึ่ม! ตราบใดที่ข้าไม่เห็นสภาพตัวเองในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ข้าก็ยังถือว่าตัวเองหล่อเหลาเอาการอยู่!

หลิงเยว่เช็ดน้ำตาที่หลั่งออกมาจากการหัวเราะ ก่อนจะควานหาโอสถฟื้นฟูและโอสถสมานบาดแผล แล้วมอบให้กับศิษย์พี่สี่ที่น่าสงสารของนาง

หลังจากที่เห็นเขากินโอสถ นางก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ศิษย์พี่สี่… นี่ท่านถูกปล้นหรือเจ้าคะ!”

“ข้าแค่ฝากของเอาไว้กับพวกนั้นสักพัก!”

สีหน้าท่าทางของผู่ตานเริ่มน่ากลัว เขาจะต้องไปทวงของคืนกลับมาให้ได้แน่นอน!

เขาช่างเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือเลยจริง ๆ หลิงเยว่ถอนหายใจ

แต่โชคดีที่อย่างน้อยเมื่อครู่นางก็ได้กินหม้อไฟแล้วนอนหลับไป

“ฟุ่บ!”

ผู่ตานที่ยืนอย่างมั่นคงเมื่อครู่ จู่ ๆ ก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง จนใบไม้บนพื้นปลิวขึ้นมา

หลิงเยว่ “…”

“ศิษย์พี่สี่ตื่นเถิดเจ้าค่ะ! เดี๋ยวศัตรูของท่านก็ตามหาเจออีกหรอก!”

หลิงเยว่พยายามตะโกนใส่หูของผู่ตาน แต่เขาก็ไม่ขยับเลย ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ คงคิดว่าเขาตายไปแล้วแน่ ๆ

ทิ้งเขาไว้ดีหรือไม่?

ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก!

แต่มันคงจะเป็นฉากที่น่าอายมากถ้าให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่สูงเพียงหกฉื่อครึ่งแบกผู้ชายตัวโตสูงเกือบแปดฉื่อขึ้นหลังแล้ววิ่งหนี!

การต้องอับอายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทำได้จริงเป็นอีกเรื่องเช่นกัน หลิงเยว่อุ้มศิษย์พี่สี่ของนางขึ้นมาจริง ๆ แต่ขนาดว่าเด็กสาวใช้ปราณในการช่วยแล้ว นางยังรู้สึกว่าการอุ้มเขาขึ้นมานั้นยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากนัก

ทุกคนคงจินตนาการได้ว่าการแบกชายหนุ่มที่มีน้ำหนักมากกว่าร้อยจิน*[1] แล้ววิ่งนั้นช้าเพียงใด

มันจะดีกว่าหากหาที่พักสักที่แล้วรอให้เขาตื่น

มิติลับของสำนักเปิดมาสิบวันแล้ว และหลายคนก็ถูกกำจัดออกไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าคนที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแต่ผู้บำเพ็ญมากความสามารถแน่นอน

แต่หลิงเยว่กลับไม่พบใครเลยระหว่างทาง

นี่มันแปลกเกินไป

เป็นไปได้หรือไม่ว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่นางและผู่ตานที่อยู่ในสภาพกึ่งตายในมิติลับนี่?

“ไอ้คนข้างหน้าคือผู่ตานใช่หรือไม่?”

“แน่นอน มีใครอีกบ้างที่สวมชุดสีแดงนอกจากเขา!”

“รีบไปจับมันเร็ว!”

ก่อนหน้านี้ผู้บำเพ็ญหลายคนปิดล้อมผู่ตานซึ่งอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด แต่กลับปล่อยให้เขาหลบหนีได้ ช่างเป็นความอัปยศนัก ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงกระจายกำลังออกค้นหาอีกครั้งและในที่สุดก็พบเขา!

ข้าฝันหวานเกินไปจริง ๆ ที่จริงแล้วยังมีคนอีกมากมายในมิติลับต่างหาก… หลิงเยว่คิดด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง

“ศิษย์น้องห้าเจ้าวางข้าลง”

หลิงเยว่โยนเขาออกไปทันที

แค่ก!

“ศิษย์พี่สี่ ศัตรูของท่านมาแล้ว ข้าขอตัวออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้บำเพ็ญที่เดินเข้ามา มิตรภาพระหว่างศิษย์ร่วมอาจารย์ก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที หลิงเยว่อยากมีปีกสักคู่หนึ่งเหลือเกิน เพื่อที่นางจะได้บินหนีไปทันที

“ทำไมเจ้าต้องตื่นตระหนกเช่นนี้ด้วย?” ผู่ตานหยิบเปลือกหอยสีขาวออกจากแขนเสื้ออย่างใจเย็น เขาจ้องไปที่เปลือกหอยและยิ้มอย่างน่ากลัว

หลิงเยว่ลูบขนที่ลุกบนแขนของนาง เมื่อนางกำลังจะถามว่าเขาจะทำอะไร เด็กสาวก็เบิกตากว้างทันที

เปลือกหอยเล็ก ๆ ค่อย ๆ แง้มออก และในทันทีนั้นมันก็ดูดกลุ่มผู้บำเพ็ญที่ไล่ตามมา!

กลุ่มคนที่ไล่ตามมาทั้งหมดถูกดูดเข้าไปทีละคน โดยไม่สามารถต้านทานได้เลย!

เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่สี่คือหอยที่กลับชาติมาเกิดใหม่?

“ศิษย์พี่ ชีวิตของพวกเขาคงไม่ตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“เจ้าควรเป็นกังวลแต่กับข้าเท่านั้น!”

“ให้เจ้า”

เด็กสาวพยายามต่อต้านความคิดที่ว่ามีคนหลายสิบคนกำลังถูกห้อยที่คอของนาง แม้ว่าเปลือกหอยจะเบามากแต่นางก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี

“ขืนให้ไอ้พวกบัดซบนั่นอยู่กับข้า คงไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้าจะไม่ทรมานพวกมันจนตายทีละคน!”

คำว่า ‘ตาย’ ผู่ตานจงใจเน้นน้ำเสียงและแสดงสีหน้าเหี้ยมโหด หากอยู่นอกสำนักเขาคงทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว จะยังมีชีวิตน้อย ๆ เหลืออยู่ได้อย่างไร?

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเก็บมันไว้ให้ท่านก่อน แล้วค่อยคืนให้เมื่อข้าออกไปนะเจ้าคะ”

หลิงเยว่เชื่อคำพูดของผู่ตานเพราะตอนนี้สีหน้าท่าทางของศิษย์พี่สี่นางเหมือนคนบ้าไปแล้วจริง ๆ

ผู่ตานยักไหล่อย่างไม่แยแส

“อ๊าก! อะไรวะเนี่ยไอ้เมือกเหนียว ๆ นี่มันคืออะไร! ข้าทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผู่ตานปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”

“ใครจับก้นข้าวะ! เจ้าอย่ามาทำตัวโรคจิตกับข้านะ!”

“โอ๊ย! ใคร! ใครตีข้า!”

หลิงเยว่ที่กำลังปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อดูภูมิประเทศเกือบจะพลาดตกเมื่อได้ยินเสียงออกมาจากเปลือกหอย

เปลือกหอยนี้มีชีวิตหรือ?

“ศิษย์พี่… มันมีชีวิตหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่ชี้ไปยังเปลือกหอยสีขาวที่ห้อยอยู่ที่คอด้วยความไม่เชื่อ

“มันมีชีวิตสิ หืม? เจ้าอยากกินมันหรือ?” ผู่ตานลูบคางพลางจิบชานมแล้วพูดต่อ “มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ ถ้าเป็นเจ้าคงทำให้อร่อยได้ใช่หรือไม่?”

เอาอาวุธวิญญาณที่ทรงพลังเช่นนี้มาทำอาหารน่ะหรือ?

หลิงเยว่จะยอมทำเรื่องน่าเสียดายเช่นนั้นได้อย่างไร แต่… นางเกือบถูกล่อลวงไปแล้วเช่นกัน

ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือยังมีสมุนไพรวิญญาณอีกสามชนิดที่ต้องเก็บเพื่อออกไปจากที่นี่!

ลืมเรื่องปล้นไปได้เลย ตอนนี้นางต้องทำตัวแบบติดดินให้มากที่สุด ดูชะตากรรมของนางกับผู่ตานสิ ก่อนหน้านี้ปล้นคนอื่น มาตอนนี้มีสภาพเป็นเช่นไร

“ศิษย์พี่ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

ด้วยการอาศัยความรู้จากตำราอาหารวิญญาณในใจของนาง หลิงเยว่จึงรู้ว่าสมุนไพรวิญญาณที่ต้องใช้ในภารกิจที่เหลืออีกสามชนิดอยู่ที่ใด

พวกเขาทั้งสองแม้โชคร้าย ทว่าก็ยังเหลือความโชคดีเช่นกัน สภาพแวดล้อมที่มีหญ้าหนามเติบโตอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในหนึ่งก้านธูปด้วยการเดินเท้า

ในเวลานี้ผู่ตานคิดถึงอาวุธวิญญาณที่บินได้มาก

หลิงเยว่ยังกระตือรือร้นอยากบินไปกับอาวุธวิญญาณเช่นกัน

แต่การใช้อาวุธวิญญาณที่บินได้ผู้บำเพ็ญจะต้องอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานก่อนเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เวลาภารกิจของผู้เข้าแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณถูกกำหนดให้มีเวลาถึงหนึ่งเดือน ต่างจากผู้เข้าแข่งขันขอบเขตสร้างรากฐานที่มีระยะเวลาภารกิจเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น

เวลาครึ่งเดือนที่เพิ่มให้กับผู้เข้าแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณก็เพราะพวกเขาต้องเดินเท้าในการหาเป้าหมายภารกิจ

ทั้งสองมาถึงป่าทึบ เสียงคำรามของสัตว์อสูรในป่าทำให้หลิงเยว่ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

แต่เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่านางได้ผ่านประสบการณ์กับฝูงสัตว์อสูรมาแล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ข้างในป่านี้ เดาว่าน่าจะมีไม่กี่ตัวนั้นถือว่าไม่มีปัญหาเลย!

ผู่ตานทนไม่ไหวกับวิธีที่หลิงเยว่ก้าวไปแต่ละก้าวอย่างระมัดระวัง

“มีข้าอยู่ทั้งคนเจ้าจะกลัวอะไรนักหนา”

“ก็ท่านไม่น่าเชื่อถือนี่เจ้าคะ” หลิงเยว่พูดสิ่งที่อยู่ในใจของนางโดยไม่ตั้งใจ

“เหตุใดข้าถึงไม่น่าเชื่อถือเล่า?”

“ก่อนหน้านี้ข้าถูกตามล่า แต่ท่านกลับวิ่งหนีไปเร็วกว่าข้าเสียอีก!”

“ข้าเองก็ถูกตามล่า และไม่เห็นเจ้ามาช่วยข้าเลยเช่นกัน!”

หลิงเยว่ “…”

นางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้าเท่านั้น การจะไปช่วยเขามีค่าเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ

ผู่ตานที่สามารถปิดปากหลิงเยว่ได้ทำท่าทางเย่อหยิ่ง และเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาน่าเชื่อถือมากกว่านาง เขาจึงก้าวนำหน้าเป็นผู้นำแทน

แน่นอนว่าสิ่งที่หลิงเยว่ไม่ต้องการให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้

หญ้าหนามพบได้ทั่วบริเวณรอบนอกของป่า และมีลักษณะคล้ายกับหนามมาก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะระบุ

ขณะที่หลิงเยว่กำลังดึงหนาม หูของนางก็กระดิก

มีเสียงฝีเท้ามาที่นี่ มันเป็นเสียงฝีเท้าที่ฟังดูตื่นตระหนกผสมกับเสียง ‘หึ่ง’

เสียง ‘หึ่ง’ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็กสาวรู้สึกหูอื้อ ซึ่งบ่งบอกว่ากำลังเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

หลิงเยว่ “…”

นี่นางต้องอับโชคถึงเพียงใด เพียงต้องการมาหาหญ้าหนาม กลับต้องมาเผชิญกับรังของสัตว์อสูรงั้นหรือ?

ศิษย์พี่ของนางคนนี้เรียนรู้จากนางที่พยายามทำอย่างแบบเงียบ ๆ ไม่ได้เลยหรือ?

“วิ่งเร็ว! พวกตัวต่ออสูรกำลังมา!”

ทันทีที่เสียงแหลมคมของผู้หญิงดังขึ้น เหล็กในสีดำขนาดใหญ่ก็บินเข้ามา!

หลิงเยว่รีบวิ่งหนี ถ้าถูกต่อพิษเหล่านี้ต่อย นางคงถูกอัดลงไปในหลุมที่มีรูปร่างเช่นมนุษย์อย่างแน่นอน!

นางอุตส่าห์ล้มเลิกแผนการปล้น และคิดจะหาสมุนไพรวิญญาณด้วยตัวเองแล้ว แต่ทำไมสวรรค์ถึงยังทำเช่นนี้กับนาง!

มันต้องมีวิญญาณอาฆาตคอยสาปแช่งอยู่แน่ ๆ!

[1] จิน หน่วยวัดน้ำหนัก 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท