ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 59 คราวนี้นางชนะด้วยความแข็งแกร่งของนางเอง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 59 คราวนี้นางชนะด้วยความแข็งแกร่งของนางเอง

บทที่ 59 คราวนี้นางชนะด้วยความแข็งแกร่งของนางเอง

[ภารกิจหลักที่ 9 ใช้สรรพคุณทางยาของอาหารวิญญาณแบบพิเศษและวิชาหมื่นชีวางอกเงยอย่างเหมาะสมเพื่อเอาชนะผู้ท้าทายที่มาท้าทายท่าน หากท่านสามารถป้องกันเหล่าผู้ท้าทายได้สำเร็จเป็นเวลาสิบวัน ท่านจะได้รับรางวัลเป็นค่าพลังวิญญาณ 10,000 แต้ม และอายุขัย +200 วัน หากล้มเหลวบทลงโทษเป็นทวีคูณจากรางวัล]

หลิงเยว่ “…”

รอยยิ้มของหลิงเยว่ที่เพิ่งได้รับกำลังใจจากหลงหว่านโหรวค่อย ๆ หายไปจากใบหน้า ไม่สิ… รอยยิ้มไม่ได้หายไป มันแค่ย้ายไปที่ใบหน้าของเหล่าผู้บำเพ็ญที่ท้าทายนาง

สายตาของคนเหล่านี้ ราวกับพวกเขามองเห็นชัยชนะของตัวเองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจในชัยชนะและความมั่นใจก็เจิดจ้ามากเสียจนแทบจะทำให้ดวงตาของเด็กสาวบอด

ทว่าเมื่อเทียบกันระหว่างความมั่นใจของเหล่าผู้ท้าทายด้านล่างสนามประลอง หลิงเยว่กลับกังวลกับภารกิจที่ระบบให้มาล่าสุดเสียมากกว่า

“ระบบ เจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าต่อสู้ด้วยอาหารวิญญาณพิเศษ และวิชาหมื่นชีวางอกเงยอย่างเดียวใช่หรือไม่ ข้าสามารถใช้วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ได้ใช่หรือไม่?”

ใช้มันอย่างมีเหตุผล…

ระบบกลัวว่านางจะทำตามคำแนะนำของหลงหว่านโหรว เอาแต่หลบอยู่ในค่ายกลป้องกันเป็นเวลาสิบวันใช่หรือไม่?

ระบบนี้ดูถูกนางมากเกินไปแล้ว!

แม้ว่า… วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ใช้ได้จริงและปลอดภัยที่สุด ทว่าหลิงเยว่ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน ในท้ายที่สุด หากนางสามารถชนะได้ เหตุใดจะไม่เลือกวิธีเอาชนะอย่างภาคภูมิใจแทนที่จะทำให้ตัวเองอับอายเล่า?

นางไม่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว จะไม่สามารถทนกับการอยู่บนสนามประลองสิบวันได้!

“ดูสิ สนามประลองหมายเลขเก้าสิบเก้าคือหลิงเยว่”

“นางคือคนที่ชนะการประลองชี้เป็นชี้ตายล่าสุดไม่ใช่หรือ?”

“ชู่ว… ข้าก็ว่าอยู่ คนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกจะสามารถมาติดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง ไม่น่าประหลาดใจแล้ว”

ผู้หญิงคนนี้รู้วิชาที่ชั่วร้ายมาก!

หลิงเยว่มีชื่อเสียงมากจากการประลองชี้เป็นชี้ตาย ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำให้พืชเติบโตบนร่างของสัตว์อสูรได้ ไม่มีนักกลั่นโอสถคนใดที่พวกเขารู้จักที่มีความสามารถเช่นนี้!

“ข้าขอเตือนเจ้าก่อน เจ้าต้องระวังเวลาต่อสู้กับนาง อย่าปล่อยให้สิ่งแปลก ๆ ของอีกฝ่ายมาถูกร่างกายของเจ้าได้”

“เจ้าต้องจัดการอย่างรวดเร็วและเอาชนะนางให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!”

มุมปากของหลิงเยว่กระตุกเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านี้

ผู้ครอบครองสนามประลองทั้งหนึ่งร้อยคนต่างยืนเข้าประจำที่แล้ว

แต่ละสนามประลองจะมีผู้อาวุโสขอบเขตจินตานยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งคอยทำหน้าที่ราวกับกรรมการผู้ตัดสิน

หลิงเยว่มีใบหน้าหม่นลง เมื่อมองดูจำนวนคนของสนามประลองอื่นที่มีไม่มาก ดวงตาของนางก็พลันแดงก่ำด้วยความอิจฉา

“ข้าบรรพจารย์ผู้นี้ขอประกาศว่าการแข่งขันรอบที่สองให้เริ่มขึ้นได้ ณ บัดนี้!”

เมื่อบรรพจารย์เล่อเหอพูดจบ ผู้อาวุโสประจำแต่ละสนามประลองก็ตะโกนทั้งชื่อและระดับการบำเพ็ญของผู้ท้าชิงคนแรกเกือบจะพร้อมกัน

“อีซาน ศิษย์จากยอดเขาจตุรเทพขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด ขอท้าชิงหลิงเยว่ศิษย์แห่งยอดเขาโอสถ!”

ชายหนุ่มผู้ท้าชิงสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่คุ้นเคย เขามีใบหน้าเรียบเฉย ก่อนกระโดดขึ้นไปบนสนามประลองโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ จากนั้นก็ทำมุทราและท่องคาถาอย่างเบา ๆ

หลิงเยว่สังเกตเห็นบางสิ่งแปลก ๆ บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของนางทันที ก่อนตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยใช้วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์เพื่อหลบหลีก ก่อนจะฟาดแส้ไฟใส่คู่ต่อสู้ เพื่อขัดขวางการร่ายคาถาของอีกฝ่าย

อีซานดูราวกับจะเตรียมตัวมาอย่างดี เขารีบถอยกลับเพื่อหลบหลีกการโจมตีด้วยแส้ไฟและพูดคำว่า “ฉี” ออกจากปากของเขา

ยักษ์ที่ก่อร่างจากปราณธาตุดินผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และตบหลิงเยว่ด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ของมันที่เต็มไปด้วยปราณธาตุดินอันรุนแรง

หากโดนตบเต็ม ๆ นางคงกลายเป็นเนื้อบดใช่หรือไม่?

เมื่อฝ่ามือของยักษ์ดินใกล้จะมาถึง หลิงเยว่ใช้ทักษะการเคลื่อนที่จนถึงจุดสูงสุด ร่างกายของนางหลบอย่างไหลลื่นทว่ารวดเร็ว ก่อนจะพุ่งอย่างรวดเร็วไปยังร่างที่สวมชุดสีน้ำเงิน

ทุกการต่อสู้จะต้องจบศึกอย่างรวดเร็วเพื่อประหยัดปราณ!

ดวงตาของหลิงเยว่ดุร้าย และเมื่อนางโยนแส้ไฟในมือออกไป แส้ไฟนั้นก็กลายเป็นยักษ์ไฟเข้าปะทะกับยักษ์ดิน

อีซานพ่นลมหายใจเยาะเย้ย มือของเขาที่ทำมุทราก็ขยับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ขวานยักษ์ปรากฏขึ้นในมือที่ว่างเปล่าของยักษ์ดิน มันเหวี่ยงขวานยักษ์ไปทางยักษ์ไฟ ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ยักษ์ไฟของหลิงเยว่ก็ทรุดตัวลง ก่อนกลายเป็นสะเก็ดไฟที่แตกกระจายลงพื้น

ยักษ์ดินไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันเหวี่ยงขวานไปที่หลิงเยว่ด้วยขวานที่สอง

ผู้บำเพ็ญในกลุ่มผู้ชมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นสิ่งนี้

“ดูราวกับว่าสาวน้อยของเราจะก้าวลงจากสนามประลองเร็วกว่าที่คาดเสียแล้ว”

“ขั้นหกและขั้นแปดนั้นแตกต่างกันเกินไป ดูราวกับว่าสนามประลองนี้จะถูกแทนที่ด้วยอี…”

ก่อนที่คำว่า ‘ซาน’ จะหลุดออกมา ดวงตาของเหล่าผู้บำเพ็ญที่รับชมอยู่ก็เบิกกว้างขึ้น นัยน์ตาของพวกเขาสะท้อนภาพบางสิ่งที่เป็นสีเขียวในเปลวไฟ

บนสนามประลองมีเถาวัลย์งอกขึ้นมาจากเปลวไฟที่กระจัดกระจายและเถาวัลย์ก็เติบโตอย่างดุเดือด พวกมันพันรอบเท้าของยักษ์ดินและแผ่ขยายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

เกือบจะในทันที ยักษ์ที่ถือขวานก็ถูกพัวพันโดยเถาวัลย์ไฟ และเถาวัลย์ไฟก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

“โผละ!”

ยักษ์ดินถูกเถาวัลย์ไฟรัดจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และปราณเศษเล็กเศษน้อยของมันก็ถูกเถาวัลย์ไฟดูดซับไว้!

เป็นไปได้อย่างไร?

อีซานหน้าซีดในทันที

ในเวลานี้มีเปลวไฟลุกลามอยู่ใต้เท้าของเขา เมื่อเปลวไฟกำลังจะแตะอีซาน ร่างของเขาก็หายไปทันใด

ไม่สิ! เขาไม่ได้หายไป เพียงแต่เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากเสียจนดูราวกับหายไป

หลิงเยว่กรีดร้องในใจ แต่เมื่อรู้ว่านางกำลังจะถูกโจมตี มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะร่างกายของนางถูกตรึงไว้!

คาถาตรึงร่าง! สิ่งที่ไม่ถูกกับหลิงเยว่มาโดยตลอด!

ผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์นัก เมื่อครู่ตอนที่เขาทำหน้าซีดและไม่อยากจะเชื่อ มันทำให้นางคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบสนองรวดเร็วถึงเพียงนี้!

งูน้ำสองตัว สีฟ้าหนึ่งตัวและสีน้ำตาลอีกหนึ่งตัวล้อมรอบหลิงเยว่ อีซาน ยืนอยู่ในระยะไกลและเลิกคิ้ว “มันจบแล้วศิษย์น้องหลิง”

ฮึ่ม! เจ้าคิดว่ามันจะจบลงเพียงเพราะเจ้าพูดงั้นหรือ?

การแก้คาถาตรึงร่างไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่านางจะหลบหลีกการโจมตีของงูสองตัวนี้ได้อย่างไร

ในทันทีที่หลิงเยว่สลายคาถาตรึงร่างที่พันธนาการนางสำเร็จ งูน้ำตัวหนึ่งใช้หางฟาดนางและอีกตัวก็อ้าปากกว้างโจมตีในเวลาเดียวกัน

นางหลบไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมปล่อยให้หางของงูฟาดนางขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นหัวงูสีน้ำตาลก็ชูขึ้นมาในอากาศและอ้าปากกว้าง พยายามกินร่างเล็กของเด็กสาวในคำเดียว!

ฉากการที่นางถูกงูกลืนกินนั้นช่างเลวร้ายจริง ๆ!

ทว่างูที่ก่อร่างจากปราณจะมีพลังมากกว่างูจริง ๆ ได้อย่างไร?

เถาวัลย์ไฟคลั่งทันที ก่อนกลายร่างเป็นดาบสีทองแทงงูสองตัวไปพร้อมกัน… อีซานที่อยู่ห่างจากบริเวณปะทะก็หลบหลีกเถาวัลย์สีทอง ทว่าเขากลับพลาดท่าให้เถาวัลย์น้ำที่ไม่โดดเด่น เถาวัลย์น้ำรัดอีซานแน่นก่อนจะโยนเขาออกจากสนามประลองอย่างแรง

ร่างของอีซานในชุดสีน้ำเงินหายไปจากสนามประลองในพริบตา!

“หลิงเยว่ชนะ!”

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเหล่าผู้บำเพ็ญที่รับชมอยู่นิ่งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง

“สวรรค์! นางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกจริง ๆ หรือ?”

“อีซานแพ้แล้วจริง ๆ!”

“นางกลายเป็นผู้ฝึกแก่นปราณทั้งห้าได้อย่างไร…?”

โดยทั่วไปแล้วผู้บำเพ็ญที่มีแก่นปราณหลากหลายธาตุจะเลือกแก่นปราณที่มีคุณภาพสูงสุดมาฝึกฝน และจะละทิ้งแก่นปราณอื่น ๆ ที่มีคุณภาพต่ำ แทบไม่มีผู้บำเพ็ญใดที่ฝึกฝนแก่นปราณทั้งห้าพร้อมกัน เพราะนั่นหมายความว่าการพัฒนาจะช้ามาก และในขณะเดียวกันก็ต้องใช้ทรัพยากรในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ดูราวกับว่าพวกเขาจะดูถูกผู้บำเพ็ญสาวน้อยผู้นี้ซึ่งอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกเกินไป และพวกเขาก็ไม่แปลกใจที่นางสามารถเอาชนะอีซานซึ่งมีระดับการบำเพ็ญสูงกว่านางถึงสองขั้น

อีซานซึ่งถูกโยนลงจากสนามประลองกว่าจะได้สติกลับมาก็ตอนที่ร่างของเขากระแทกพื้นแล้ว เมื่อครู่เขาไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่ามีเถาวัลย์น้ำเข้ามาใกล้

เถาวัลย์ที่โปร่งใสนั้นสามารถหลบเลี่ยงจิตสัมผัสของเขาได้ด้วยหรือ?

ไม่! มันเป็นไปไม่ได้ อีซานไม่เชื่อ มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่ ๆ

หลิงเยว่ล้มลงกับพื้นพร้อมหายใจอย่างติดขัด นางไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้ นางไม่ได้ใช้แผ่นค่ายกล ยันต์ อาวุธวิญญาณ หรือแม้แต่ดอกไม้น้อยสีดำ คราวนี้นางชนะด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง!

มิหนำซ้ำมันยังเป็นการชนะแบบข้ามระดับ!

หลิงเยว่ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นและกินโอสถฟื้นฟูกายา นางได้รับบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายใน ปราณและพลังกายเกือบจะหมดไป นางทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพแย่มากตั้งแต่เจอผู้ท้าคนแรก ดังนั้นจึงต้องเติมเต็มพลังในร่างอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดมีผู้ท้าทายมากมายในกลุ่มผู้ชมที่รอใช้โอกาสจากสภาพที่ย่ำแย่ของเด็กสาวเพื่อจัดการนาง

กฎการแข่งขันยังคงมีความเป็นธรรมอยู่บ้าง หลังจากสู้จบผู้ชนะจะสามารถพักได้หนึ่งก้านธูปก่อนจะถูกท้าครั้งต่อไป

หลิงเยว่ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หยิบอาหารวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ และกินมันราวกับว่าไม่มีใครเฝ้าดูอยู่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท