ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 61 ใช้วิธีที่นางเคยใช้ย้อนมาใส่นางเอง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 61 ใช้วิธีที่นางเคยใช้ย้อนมาใส่นางเอง

บทที่ 61 ใช้วิธีที่นางเคยใช้ย้อนมาใส่นางเอง

เมื่อเผชิญหน้ากับแสงสีดำที่พุ่งเข้ามา สือเชี่ยนไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ดวงตาของนางยังคงทำเพียงจับจ้องหลิงเยว่ที่น่าเวทนาตรงหน้า

ทว่าเมื่อราชาดอกไม้เห็นว่ามนุษย์คนนี้ไม่ได้จริงจังกับมันเลย มันจึงตัดสินใจให้อีกฝ่ายเห็นพลังของมันแทน!

หมอกสีดำปกคลุมสนามประลองทันที ทั้งยังปกคลุมแสงสีทองที่ส่องประกาย

ผู้อาวุโสประจำสนามประลองสะดุ้งและกำลังจะดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นบนสนามประลอง อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังจะลงมือหมอกสีดำก็จางหายไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หญิงสาวร่างทองผู้น่ากลัวล้มลงกับพื้นเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่านางกำลังเข้าสู้ห้วงนิทราพร้อมกับฝันหวาน

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ข้าไม่รู้… เหตุใดสือเชี่ยนถึงหลับไป นางบ้าไปแล้วหรือ นางไม่ควรมานอนที่นี่!”

“ดอกไม้สีดำนั่นดูคุ้นตาจริง ๆ”

ผู้บำเพ็ญบางคนดูเหมือนจะจำราชาดอกไม้ได้ และทันใดนั้นดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เบื้องหลังของหลิงเยว่คนนี้คืออะไรกัน! นางทำพันธะสัญญากับดอกไม้สุดแข็งแกร่งนี้มาได้อย่างไร!

ทั้ง ๆ ที่มีดอกไม้ปีศาจเช่นนี้อยู่กับตัว เหตุใดเจ้ายังต้องทำให้ตัวเองดูน่าอนาถเช่นนี้ด้วย?

หรือว่านี่เป็นการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนึ่งใช่หรือไม่?

หลิงเยว่ลุกขึ้นจากพื้นอย่างสั่นเทา เลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและเสื้อคลุมสีเขียวของนางก็ขาดรุ่งริ่ง ทันทีที่นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็ต้องล้มลงกับพื้น

ราชาดอกไม้บอกว่าหลิงเยว่มีเวลาเพียงสองนาทีในการโยนคู่ต่อสู้ออกจากสนามประลอง และเพียงแค่โยนสือเชี่ยนออกไปเท่านั้น จึงจะถือว่านางป้องกันสนามประลองได้สำเร็จ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นไม่ไกลนัก แต่ความรู้สึกของหลิงเยว่ในขณะนี้ราวกับว่านางและสือเชี่ยนอยู่ห่างไกลกันนับพันลี้ เด็กสาวดึงแขนเสื้อของสือเชี่ยนอย่างยากลำบาก ก่อนจะกระชับนิ้วของนางแล้วควักเอาน่องไก่ทอดที่เต็มไปด้วยพลังออกมาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง

เหล่าผู้ชม “…”

เหตุใดยังอยากกินอาหารอยู่อีก เจ้าต้องกินโอสถฟื้นฟูอะไรสักอย่างไม่ใช่หรือ? การกินน่องไก่ทอดมีประโยชน์อะไร มันจะทำให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นได้หรือไม่?

หลิงเยว่บอกพวกเขาผ่านการกระทำว่าการกินน่องไก่สามารถทำให้นางมีแรงขึ้นมาได้แน่นอน นางคว้าแขนของสือเชี่ยนด้วยมือทั้งสองข้างแล้วเหวี่ยงออกนอกสนามประลองอย่างแรง แรงเหวี่ยงนั้นทำให้หลิงเยว่ล้มลงและถอยหลังไปหลายก้าว

“ป้องกันสำเร็จ!”

ผู้อาวุโสประจำสนามประลองมองดูร่างของสือเชี่ยนที่ลอยออกไปแล้วตะโกนขึ้น

ร่างที่ถูกขว้างนั้นบินข้ามหัวของเหล่าผู้ชม ก่อนจะลอยออกไปไกล

การกระทำเช่นนี้ ค่อนข้างเป็นความแค้นส่วนตัวอยู่สักหน่อย นางสามารถขว้างอีกฝ่ายให้หล่นลงจากสนามประลองเฉย ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องขว้างแรงเช่นนั้น

อันที่จริงถ้าเป็นไปได้หลิงเยว่อยากจะโยนสือเชี่ยนให้หายตัวไปสุดขอบฟ้าเสียด้วยซ้ำ!

ตอนนี้นางเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใน โอสถรักษาระดับต่ำไม่สามารถรักษาให้หายได้ในเวลาอันสั้น ศิษย์พี่ใหญ่ยังให้โอสถรักษาระดับกลางแก่นาง หลิงเยว่ครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะรับประทานโอสถอีกเม็ดหนึ่งในขณะที่ต้องทานทนต่อความเจ็บปวด จากนั้นจึงค่อยยัดโอสถห้ามเลือดและโอสถฟื้นปราณระดับต่ำทั้งหมดเข้าไปในปากของนาง

การกินโอสถจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมหน้าแดงด้วยความอิจฉา เมื่อใดพวกเขาจะร่ำรวยพอจนสามารถกินโอสถได้แบบไม่ต้องคิดเช่นนี้บ้าง?

เป็นไปไม่ได้ที่หลิงเยว่จะมีความแข็งแกร่งพอในการต่อสู้กับผู้ท้าชิงคนที่สาม แต่การเอาชนะคนที่มีระดับสูงกว่าสองคนก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ตัวเองแล้วใช่หรือไม่?

แม้ว่าการสู้กับผู้ท้าชิงคนที่สองจะดูน่ากังขาอยู่บ้าง ทว่าใครบอกว่าผู้บำเพ็ญจะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น และไม่ใช้ ‘ความช่วยเหลือจากภายนอก’ ต้องรู้ก่อนว่า ‘ความช่วยเหลือจากภายนอก’ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเช่นกัน!

การต่อสู้สองครั้งติดต่อกัน กินเวลาไปแล้วสามวัน และนางเพียงต้องอดทนต่อไปอีกเจ็ดวัน นางตัดสินใจว่าเมื่อผู้ท้าชิงอีกคนขึ้นมาบนสนามประลอง หลิงเยว่จะเปิดค่ายกลป้องกันโดยเร็วที่สุด!

ดังนั้นผู้บำเพ็ญเหล่านั้นที่ต้องการจัดการกับหลิงเยว่ในขณะที่นางกำลังบาดเจ็บและอ่อนแอ ก็ได้แต่จ้องมองที่นางซึ่งหลบอยู่ในค่ายกลป้องกันเท่านั้น

หากไม่มีความแข็งแกร่งเท่ากับสือเชี่ยนก็อย่าฝันว่าจะทำลายแผ่นค่ายกลนี้ได้!

ผู้ท้าชิงบางคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคร่ำครวญถึงความโชคร้ายของตนกับค่ายกลป้องกัน ในขณะที่คนอื่น ๆ วางแผนที่จะรอให้เวลาของค่ายกลหมดลง

แน่นอนว่าหลิงเยว่สร้างปัญหาให้กับผู้ท้าชิงได้มากจริง ๆ ในทันทีที่เวลาของค่ายกลอันเก่าหมดลง นางก็จะรีบใช้แผ่นค่ายกลป้องกันอันใหม่ ซึ่งทำให้ผู้คนคลั่งและอิจฉาในความร่ำรวยของนางจนแทบกระอักเลือด

พวกเขาสามารถเข้าใจได้ว่าศิษย์สายในของยอดเขาโอสถมีโอสถมากมาย ทว่าหลิงเยว่คนนี้ที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกเท่านั้น ทั้งยังไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงที่แท้จริงของผู้นำยอดเขาชิงยวน กลับมีแผ่นค่ายกลให้ใช้มากมายได้อย่างไร!

ความอิจฉาริษยาทำให้ผู้คนดุร้ายมากขึ้นและยังเหมือนกับเป็นการรวมใจของเหล่าผู้ท้าชิง ดูเหมือนพวกผู้ท้าชิงจะคุยตกลงกันก่อนแล้ว ทุกคนที่ขึ้นมาจะโจมตีค่ายกลอย่างสุดกำลัง เมื่อคนนี้หมดปราณอีกคนจะขึ้นมาโจมตีแทนต่อที่จุดเดิม

พวกเขาต้องการดูว่าหลิงเยว่มีแผ่นค่ายกลป้องกันอีกสักกี่อัน!

หลิงเยว่ “…”

นางมีแผ่นค่ายกลป้องกันค่อนข้างเยอะ ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นพวกมันพังทลายไปทีละอัน

ใช้ไปเช่นนี้มันเสียเปล่านัก!

แต่อาการบาดเจ็บของนางยังไม่ทุเลาเพียงพอสำหรับเผชิญหน้ากับพวกผู้ท้าชิงตรง ๆ ช่างเถิด… หลิงเยว่นอนลงอีกครั้งแล้วหยิบหมอนและผ้าห่มบาง ๆ ออกมาคลุมร่าง

เหล่าผู้ชม “…”

พวกข้าดูเกลียดชังเจ้าไม่พออีกหรือ? ลืมตาขึ้นเดี๋ยวนี้! แล้วมองดูพวกข้าให้ดีว่าค่ายกลของเจ้าถูกทำลายอย่างไร!

เหล่าผู้ท้าชิงเป็นเหมือนวัวคลั่ง ผลัดกันพุ่งเข้าใส่ค่ายกลป้องกันแบบถวายชีวิต!

เช่นนี้เจ้ายังจะนอนอยู่ได้อีกหรือไม่!

แน่นอนว่าเด็กสาวนอนไม่หลับ หลิงเยว่ไม่กล้านอนทำได้เพียงแค่หลับตาเพื่อพักจิตใจ ใครจะรู้ว่าค่ายกลจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าใด ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้?

“แกร๊ก…”

รอยแตกปรากฏขึ้นในค่ายกลป้องกัน และรอยแตกก็ค่อย ๆ ขยายออกไป

เมื่อเห็นว่ามีความหวัง ผู้ท้าชิงที่กำลังโจมตีค่ายกลจึงโจมตีอย่างสุดกำลังอีกครั้ง!

“โครม!”

ปราณธาตุดินที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อหลิงเยว่ ร่างกายของนางก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว เด็กสาวไม่สามารถหยุดตัวเองได้จนเท้าข้างหนึ่งถอยกลับไปถึงขอบสนามประลอง ก่อนลูกไฟขนาดใหญ่จะพุ่งเข้ามาหานางอีกลูก

ตราบใดที่โดนลูกไปนั่น นางจะต้องหล่นลงจากสนามประลองอย่างแน่นอน

นางอุตส่าห์อดทนมาจนถึงวันที่เจ็ดแล้ว ต้องไม่แพ้ในตอนนี้เด็ดขาด!

มวลพลังน้ำขนาดใหญ่ชนกับลูกไฟกลางอากาศทำให้เกิดเสียง ‘ฉ่า…’ และหมอกไอน้ำก็แผ่กระจายไปทั่วสนามประลองทำให้ผู้ชมมองไม่เห็น

ฝ่าซิวกลัวว่าหลิงเยว่กำลังเล่นกลสกปรก ดังนั้นเขาจึงรีบถอยกลับและตะโกนว่า “ระเบิด!”

ไอน้ำยังคงลอยอยู่ในอากาศ มวลพลังปราณทั้งสองธาตุยังคงต้านกันอยู่กลางอากาศโดยไม่อาาจแยกจากกันได้ หลิงเยว่ใช้โอกาสนี้ดึงขาข้างหนึ่งที่แทบจะหลุดออกจากสนามประลองขึ้นมา ก่อนเดินเข้าหาฝ่าซิว

ดูเหมือนเด็กสาวกำลังเดิน แต่จริง ๆ แล้วร่างกายของนางเบาและรวดเร็วมาก ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้มากขึ้น เมื่อฝ่าซิวเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็ดุร้าย เมื่อผู้ชมคิดว่าเขาตั้งใจจะลงมืออีกครั้ง ค่ายกลป้องกันก็ห่อหุ้มเขาไว้

หลิงเยว่ “…”

ชายคนนี้! เขากำลังใช้วิธีที่หลิงเยว่เคยใช้กับเขามาย้อนใส่นางเอง!

ผู้บำเพ็ญในกลุ่มผู้ชมหัวเราะออกมาเสียงดัง นี่เป็นเรื่องราวที่หักมุมแบบที่พวกเขาไม่คาดคิด

ฝ่าซิวที่อยู่ในค่ายกลป้องกันยิงฟันของเขาอย่างยั่วยุไปที่หลิงเยว่

“หากเจ้าเก่งจริงก็ทำลายมันเสีย!”

อารมณ์ของหลิงเยว่ค่อนข้างซับซ้อนราวกับว่านางเห็นเงาของตัวเองในตัวคู่ต่อสู้คนนี้ ไม่สิ นางไม่ได้น่าอนาถเช่นนี้เสียหน่อย

“ได้เลย ข้าพังมันแน่เจ้ารอก่อนเถิด!”

หลังจากพูดคำที่รุนแรงแล้ว หลิงเยว่ก็เริ่มควานหาเมล็ดพืชในถุงเก็บของ หลังจากพบถุงเล็ก ๆ ที่มีเมล็ดสีดำที่ดูเหมือนถั่วเล็ก ๆ นางก็ยิ้ม

เมล็ดพืชถูกโปรยรอบ ๆ ค่ายกล จากนั้นหลิงเยว่ก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าค่ายกลก่อนจะทำมุทราอย่างรวดเร็วและท่องคาถาเบา ๆ

“เมล็ดพืชอีกแล้ว!”

“เจ้ากำลังพยายามใช้พืชเพื่อทำลายค่ายกลใช่หรือไม่? ถ้ามันเป็นหนามโลหะแบบที่ใช้ต่อสู้กับสือเชี่ยนในรอบที่แล้วก็มีโอกาสสูงที่ค่ายกลจะพังทลาย!”

“นี่ไม่ใช่เมล็ดเถาวัลย์!”

ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจเหล่าผู้บำเพ็ญให้จ้องไปบนสนามประลองมากกว่าเดิม เมล็ดพืชสีดำเริ่มแตกหน่องอกขึ้นมา ต้นอ่อนสีดำค่อย ๆ งอกขึ้นแนบติดกับม่านพลังป้องกันของค่ายกล ทันใดนั้นก็มีฉากแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ใบสีดำเรียวแตะใบของอีกต้นหนึ่ง จากนั้นทั้งใบและต้นสีดำทั้งหลายก็เชื่อมต่อกัน

คล้ายกับพวกมันเป็นสหายรักกัน พวกมันจับมือกันและเกาะคลุมไปจนทั่วม่านพลังของค่ายกลป้องกันจนมิด และยังไม่หยุดเติบโตอีกต่างหาก

ดวงตาของฝ่าซิวในค่ายกลมืดลง เขามองไม่เห็นอะไรเลย เพราะแสงจากภายนอกถูกปิดกั้นทั้งหมด

ทว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนก แม้ว่าระดับค่ายกลป้องกันของเขาจะยังไม่ถึงขั้นสร้างรากฐาน แต่ก็มากเกินพอที่จะต้านทานหลิงเยว่ซึ่งอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกได้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท