บทที่ 66 สู้จนตายไปข้าง! สองผู้บำเพ็ญแลกหมัด!
บทที่ 66 สู้จนตายไปข้าง! สองผู้บำเพ็ญแลกหมัด!
ทั้งสองคนต่อสู้กันจนตาแดงก่ำ ราวกับลืมไปว่าในตอนแรกทั้งคู่ต่างคิดว่าจะจบศึกให้เร็วที่สุด ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นการทรมานกันอย่างสาหัส ด้วยต้องการจะกลืนกินลมหายใจอีกฝ่ายให้ได้
หลิงเยว่ซึ่งเคยมีผมยาวสลวยตอนนี้ถูกลูกศรตัดเสียจนแหว่งไม่สม่ำเสมอ เสื้อคลุมสีเขียวบนตัวของเด็กสาวขาดรุ่งริ่งมีรูอยู่ทั่ว แขนเสื้อขาดหายไปและใบหน้าก็มีรอยไหม้ดำ และยังดำมากขึ้นไปอีกเมื่อนางเอามือที่ดำเช่นกันพยายามเช็ด
ผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการประจำลานประลองอดหัวเราะไม่ได้
หลิงเยว่รู้สึกหม่นหมอง ส่วนเจียงจือเชียนก็ไม่ได้ดีมากกว่ากันเท่าใด ผมหนาสีดำของเขาไหม้จนม้วนงอ เสื้อคลุมสีน้ำเงินเต็มไปด้วยรู และเนื้อหนังก็ไหม้ดำเช่นกัน
มนุษย์ตัวไหม้ดำสองคนปฏิเสธที่จะยอมถอยให้อีกฝ่าย และพวกเขาก็เปลี่ยนจากการต่อสู้ระยะไกลมาเป็นการต่อสู้ระยะประชิดด้วยการแลกหมัดและเท้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
ขอให้โชคดีเถิด!
ผู้บำเพ็ญสองคนต่อสู้กันในระยะประชิด!
“อุ๊บ… ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
สยงฉีเลวี่ยพยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็ไม่อยู่ “น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้อยู่ในยอดเขาบ่มเพาะกายาของข้า ดูหมัดอันดุเดือดและขาอันแข็งแกร่งของพวกเขาสิ!”
ชิงยวนเอามือค้ำหน้าผาก นางไม่สามารถทนมองได้ ด้วยกลัวว่าหากมองต่อไป นางก็จะหัวเราะเช่นกัน
ผู้นำยอดเขาจตุรเทพอยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ศิษย์จากยอดเขาของเขาคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญที่ฝึกแก่นปราณสองธาตุที่ยอดเยี่ยม หนำซ้ำยังทำพันธะสัญญากับจิ้งจอกขาวสามตา ทว่าเหตุใดกลับเลือกที่จะต่อยตีระยะประชิดกับอีกฝ่าย ทั้งยังสบถใส่กันไม่หยุดเช่นนั้น
เนื่องจากหลิงเยว่เป็นคนตัวเล็กและน้ำหนักเบา ทั้งยังได้รับการฝึกจากผู้ฝึกกายาหลายคน นางจึงรู้ดีว่าจุดใดที่จะทำร้ายผู้คนได้อย่างเจ็บปวดที่สุด
หมัดตรงอันดุเดือดชกเข้าที่ส่วนปอด แล้วตามด้วยหมัดเข้าลำตัวอีกครั้ง ทำให้เจียงจือเชียนกระเด็นออกไปอย่างเจ็บปวด
ชายผู้ที่กระเด็นไปกลางอากาศเพราะแรงหมัด ถูกหนามยิงเข้าใส่เมื่อลอยไปได้ครึ่งทาง!
เจียงจือเชียน “…”
เขาขอประกาศว่าหนามจะเป็นศัตรูตลอดชีวิตนับจากนี้ไป!
หลิงเยว่เช็ดเลือดจากมุมปาก ก่อนหยิบน่องไก่ทอดออกมาแทะ แน่นอนว่านางไม่ได้ยืนกินเฉย ๆ ราวกับคนโง่ ทว่ากลับเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกลูกธนูที่พยายามลอบโจมตีไปด้วย
ยันต์ระเบิดไฟอีกแผ่นระเบิดอยู่ด้านหลังหลิงเยว่ และในเวลาเดียวกันยันต์ระเบิดน้ำแข็งสีขาวก็ระเบิดใส่เจียงจือเชียนเช่นกัน
ทั้งสองล้มลงกับพื้นเกือบจะพร้อมกัน
การประสบกับชะตากรรมที่ย่ำแย่พร้อมกันเช่นนี้ ทั้งน่าอายและน่าตื่นเต้น
นี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้อง!
หลิงเยว่นอนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และทันใดนั้นนางก็รีบกลิ้งตัวหลบ ซึ่งพริบตาต่อมาตรงจุดที่เด็กสาวเคยนอนเมื่อครู่ ก็ถูกแทงเป็นหลุมขนาดใหญ่โดยลูกศรสีทอง!
ไอ้ผู้ชายคนนี้หมายเอาชีวิตนาง!
เจียงจือเชียนซึ่งถูกเจาะด้วยหนามตรงน่องขาก็คิดเช่นเดียวกัน
การต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรทั้งสองก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น กลีบดอกสีดำร่วงหล่นจากร่างของราชาดอกไม้ และกลายเป็นกลีบขนาดใหญ่ ทันใดนั้นกลีบก็พุ่งไปทางจิ้งจอกขาวสามตา
ในเวลานี้จิ้งจอกขาวสามตามีรอยฟกช้ำมากมายจากการถูกทุบตี ขนสีขาวครึ่งหนึ่งบนตัวหลุดร่วงไปแล้ว!
ขนของข้าล้านไปครึ่งหนึ่งแล้ว!
ข้าทนไม่ไหวแล้ว!
ดวงตาที่สามของจิ้งจอกขาวเรืองแสงสีแดง และทันใดนั้นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยไฟก็พลันตกลงมาปกคลุมตัวราชาดอกไม้ และพยายามเผาอีกฝ่ายให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ราชาดอกไม้กลายเป็นแสงสีดำทะลุผ่านทะเลเพลิง จึงพุ่งเข้าไปหาจิ้งจอกขาวอย่างเต็มแรง จนจิ้งจอกขาวลอยกระเด็นไปอย่างไม่อาจควบคุม
คราวนี้จิ้งจอกขาวลุกไม่ได้และหมดสติไป เมื่อราชาดอกไม้ไล่ตามไปอีกครั้ง เจียงจือเชียนก็รีบเก็บจิ้งจอกขาวกลับไป
ทะเลเพลิงหายไปจากท้องฟ้า เหลือเพียงหมอกสีดำอย่างเดียวแล้ว
หลิงเยว่ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ ดอกไม้ดำน้อยของนางยังคงทรงพลังที่สุด!
“เจียงจือเชียน ข้าแนะนำให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิด ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของเจ้าจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้!”
“เจ้ากล้าสู้กับข้าตัวต่อตัวหรือไม่เล่า!”
เจียงจือเชียนรู้ดีว่าหากไม่มีจิ้งจอกขาวที่จะคอยต้านราชาดอกไม้ โอกาสชนะของเขาย่อมลดลงอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะ…
ก่อนที่หลิงเยว่จะตอบกลับ เจียงจือเชียนก็ถูกแสงสีดำกระแทกออกจากลานประลอง…
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะตกลงกับเจ้า ส่งเจ้าออกไปเลยง่ายกว่ามาก!”
“ลานประลองหมายเลขเก้าสิบเก้า หลิงเยว่จากยอดเขาโอสถเป็นผู้ชนะ!”
เมื่อคำประกาศจบลง หลิงเยว่ก็หัวเราะและหัวเราะก่อนจะล้มลงกับพื้น
ผู้ชม “…”
หลงหว่านโหรวอุ้มหลิงเยว่ที่อยู่ในสภาพร่อแร่ขึ้นมาทันที
รอบที่แล้วก็ยับเยิน รอบนี้เป็นหนักเสียยิ่งกว่า…
หลงหว่านโหรวต้องทำความสะอาดหลิงเยว่ด้วยปราณถึงสามรอบ เพื่อให้ผิวที่สกปรกกลายเป็นสีขาวขึ้นมาบ้าง หลิงเยว่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีส่วนใดของผิวที่อยู่ในสภาพดีเลย เต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บเต็มไปหมด
ท่านอาจารย์ช่างเหลือเกินจริง ๆ ถ้าหลิงเยว่ไม่สามารถติดสิบอันดับแรกได้ก็จะไม่ยอมรับเป็นลูกศิษย์จริง ๆ หรือ?
นางไม่เชื่อหรอก
หลงหว่านโหรวต้องการบอกศิษย์น้องห้าว่าไม่จำเป็นต้องต่อสู้แบบทุ่มเทเช่นนี้อีกแล้ว แต่สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจ หลิงเยว่หมดสติอยู่เช่นนี้จะได้ยินนางได้อย่างไร
หลังจากป้อนโอสถรักษาสองสามเม็ดแล้ว หลงหว่านโหรวก็ใส่หลิงเยว่ลงในถังอาบน้ำที่ถูกเติมด้วยน้ำโอสถรักษา และการอาบน้ำโอสถรักษาสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว
“อ๊าก! เจ็บ!”
หลิงเยว่ที่หมดสติตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด ความรู้สึกทั้งเจ็บและร้อน เด็กสาวอยากจะขึ้นจากน้ำโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ถูกหลงหว่านโหรวผลักกลับ
“มันเจ็บเกินไปแล้วเจ้าค่ะศิษย์พี่ใหญ่! ปล่อยข้าออกไปเถิด!” หลิงเยว่กำขอบอ่างไว้แน่น สีหน้าของนางเจ็บปวดเหลือจะทน
“ขนาดโอสถหล่อกระดูกเจ้ายังสามารถทนความเจ็บปวดของมันได้ นี่เป็นเพียงความเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เจ้าจะทนไม่ได้เชียวหรือ?”
“นั่งขัดสมาธิเสีย แล้วโคจรปราณในร่างเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาเข้าสู่ร่างกายของเจ้า”
เมื่อเห็นว่าไม่มีความหวังที่จะออกไปจากอ่างได้ หลิงเยว่ก็ทำได้เพียงทำตามคำแนะนำทั้งน้ำตา นางกำจัดความคิดที่ฟุ้งซ่าน ก่อนโคจรปราณไปทั่วร่างกาย ฤทธิ์ของยาไหลเวียนในร่างกายพร้อมกับปราณ จริง ๆ มันไม่ได้เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว หนำซ้ำนางยังรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ
สีหน้าที่เจ็บปวดพลันสลายไปทีละน้อย กลายเป็นความเพลิดเพลิน เลือดจากบาดแผลที่ถูกเจาะทะลุบนไหล่ของนางหยุดแล้ว และแผลก็ค่อย ๆ สมานอย่างช้า ๆ
ชั่วพริบตาสามวันผ่านไป
หลิงเยว่ได้เปลี่ยนจากผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมาเป็นผู้ป่วยที่มีชีวิตชีวา แม้จะกินยาและอาบน้ำโอสถแต่ก็ยังยากที่จะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์
ขณะนี้นางเป็นคนเดียวที่เสร็จสิ้นการต่อสู้แล้ว ส่วนติงหลิวหลิ่วและคนอื่นยังไม่กลับมา
นางตัดสินใจลองออกไปดู
“อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือไม่?”
ทันทีที่นางออกไปก็ได้พบกับโม่จวินเจ๋อซึ่งเพิ่งก้าวลงจากกระบี่เหมันต์เร้นลับ
เมื่อนางเห็นชายหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน หลิงเยว่ยอมรับว่านางอิจฉา
“ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ แล้วท่านเล่าบาดเจ็บบ้างหรือไม่?”
“ข้าเองก็บาดเจ็บเช่นกัน”
โม่จวินเจ๋อยื่นมือออกเผยให้เห็นรอยไหม้ที่หายดีแล้วบนหลังมือ
หลิงเยว่อยากให้เขาเก็บมือกลับไปจริง ๆ นี่น่ะหรือที่เรียกว่าการบาดเจ็บ?
“เร็วเข้า พาข้าไปที่ลานประลองที ศิษย์พี่สามของข้ายัง…”
“ศิษย์น้องห้า!”
เสียงคร่ำครวญดังขัดจังหวะคำพูดของหลิงเยว่ และเมื่อเด็กสาวหันกลับไป ก็เห็นว่าศิษย์พี่สามถูกหลงหว่านโหรวแบกมาในมือข้างหนึ่ง ฉากนี้ราวกับคล้ายสิ่งที่นางเคยประสบมาก่อน ทว่า… ศิษย์พี่สามของนางดูน่าเวทนายิ่งกว่าเดิมเสียอีก
หลังจากที่ติงหลิวหลิ่วตะโกน คอของนางก็พับและหมดสติไป
หลงหว่านโหรวอุ้มติงหลิวหลิ่วเข้าไปในหอกลั่นโอสถ และในไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ทำให้หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อตัวสั่นเทิ้มในเวลาเดียวกัน
“เจ้ายังจะไปอีกหรือ?”
แทนที่จะไปดูการแข่งขัน โม่จวินเจ๋ออยากกินอาหารอร่อย ๆ เสียมากกว่า
หลิงเยว่ที่อ้าปากพูดว่านางต้องการไปก็ปิดปากทันที เมื่อเห็นศิษย์พี่ของนางอีกสองคนถูกหามกลับมาในระยะไกลเช่นนี้
คนหนึ่งดูแย่กว่าอีกคนมาก
นางรู้สึกใจสลายและหลั่งน้ำตา
“ข้าไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่กลั้นสะอื้น สภาพที่น่าเวทนาของผู่ตานทำให้นางเสียใจมาก ทั้งเสื้อผ้าสีแดงและนิ้วของเขาต่างไหลอาบไปด้วยเลือด
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ มาดูศิษย์พี่สี่ทีเจ้าค่ะ!”
หลงหว่านโหรวรีบวิ่งออกมาเกือบจะในทันที และพาผู่ตานในสภาพร่อแร่ไปรักษาอย่างระมัดระวัง หลิงเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โม่จวินเจ๋อหยิบโอสถรักษาออกมาแล้วเทลงในปากของว่านอวี้เฟิง อาการของเขาดีกว่าผู่ตานมาก
หลังจากป้อนโอสถแล้วว่านอวี้เฟิงก็ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา
หลิงเยว่ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาว่างนี้ปรุงเกี๊ยวน้ำของโปรดศิษย์พี่รองเป็นพิเศษ นางตักขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วยื่นเข้าปากของเขา
ว่านอวี้เฟิง “…”
ไม่ เขาไม่อยากกินมัน!
“เป็นอะไรหรือศิษย์พี่รอง? ท่านไม่มีความอยากอาหารหรือ เอาเป็นน้ำแกงไก่แทนหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงเยว่วางเกี๊ยวน้ำลงแล้วหยิบชามน้ำแกงไก่ขึ้นมาและกำลังจะป้อนอีกฝ่าย แต่โม่จวินเจ๋อหยุดนางไว้ครึ่งทาง
“ข้าทำเอง เจ้าไปส่งน้ำแกงให้ศิษย์พี่สามของเจ้าดีกว่า”
โม่จวินเจ๋อหยิบชามจากมือของหลิงเยว่มา ก่อนจะตักน้ำแกงด้วยใบหน้าเย็นชาแล้วส่งไปที่ปากของว่านอวี้เฟิง
ว่านอวี้เฟิง “…”
ขออภัยด้วย! เมื่อเห็นหน้าของเจ้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่สามารถกินน้ำแกงได้ไม่ว่ามันจะอร่อยเพียงใดก็ตาม!