ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 73 สมองของนางตื่นตระหนกและนางก็หวาดกลัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 73 สมองของนางตื่นตระหนกและนางก็หวาดกลัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

บทที่ 73 สมองของนางตื่นตระหนกและนางก็หวาดกลัวกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง

“ผู้บำเพ็ญมารออกมาแล้ว!”

“ใช่ นางเป็นผู้บำเพ็ญมาร!”

“ทุกคนมาเร็ว มาช่วยสำนักกำจัดหายนะนี้กัน!”

ทันทีที่หลิงเยว่ออกมา นางก็ได้รับการต้อนรับจากยันต์ที่มีอำนาจต่าง ๆ มากมาย นางรีบเปิดร่มวัชระเบญจธาตุป้องกันจากด้านหน้าอย่างใจเย็น

“เหตุใดเจ้าถึงออกมาตอนนี้?”

หลงหว่านโหรวรีบพุ่งเข้ามายืนปกป้องหลิงเยว่

“ศิษย์น้องหลิงเจ้าเข้าไปซ่อนตัวก่อนเถิด เราคงต้องหวังพึ่งเจ้า เพื่อไปส่งอาหารให้ในภายหลังตอนที่เราถูกจับขัง…”

อวี้เจินเป็นคนที่พูดได้สมพรปากนัก ทันทีที่นางพูดจบผู้อาวุโสใหญ่ก็นำกลุ่มผู้อาวุโสมาจับกุมคนอื่น ๆ รวมถึงพวกเขาทันที

“ทุกคนถูกจำคุกสามวัน!”

ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ มองอวี้เจินและรู้สึกอยากจะฉีกปากอีกฝ่ายนัก

“มองอะไรกัน! ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้าเป็นคนแรกที่โดนจับ!”

อวี้เจินซึ่งถูกผู้อาวุโสใหญ่จับขึ้นมา ยังคงแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด ก่อนจ้องมองอย่างดุเดือดไปยังพวกนักกลั่นโอสถคนอื่นที่สงบลงแล้ว

“ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาคือคนที่ลงมือก่อน เรามาที่นี่เพื่อต่อสู้กับปีศาจร้าย…”

ด้วยใบหน้าที่บวมของจัวหลิงเหยา นางจึงแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ทว่าก็ต้องกลืนคำพูดสุดท้ายอย่างยากลำบากภายใต้การจ้องกลับของผู้อาวุโส

“ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเรานักกลั่นโอสถ กำลังถูกคนจำนวนมากเกลียดชัง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลิงเยว่!”

“โอสถของพวกเราไม่สามารถขายได้ก็เพราะนาง!”

ติงหลิวหลิ่วถอนหายใจทันทีหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “พวกเจ้าไม่เคยคิดกันบ้างหรือว่า สาเหตุที่โอสถไม่สามารถขายได้นั้น เนื่องจากทักษะการกลั่นโอสถของพวกเจ้าย่ำแย่เสียจนโอสถออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ตอนนี้กลับมาตำหนิศิษย์น้องห้าของข้า ความละอายใจของพวกเจ้ามันไปอยู่ที่ใดกันหมด!”

“ถูกต้อง ก็เพียงไอ้พวกคนไร้ยางอายกลุ่มหนึ่งเท่านั้น!” อวี้เจินพยักหน้าเห็นด้วย

“เจ้าสิไร้ยางอาย! เจ้าเก็บซ่อนผู้บำเพ็ญมารเพื่อวางแผนล้มล้างทั้งสำนักใช่หรือไม่?”

“ถ้าเจ้าพูดอีกคำว่าศิษย์น้องห้าเป็นผู้บำเพ็ญมาร ข้าจะฉีกปากของเจ้าออกจากร่างเสีย!”

ติงหลิวหลิ่วพยายามดิ้นรนจนกระทั่งหลุดออกจากการจับกุม ก่อนพุ่งเข้าไปเตะนักกลั่นโอสถชายคนนั้นจนล้มลงกับพื้น จากนั้นจึงกระโดดขึ้นคร่อมร่าง พลันคว้าคอเสื้อด้วยมือหนึ่ง โดยอีกมือหนึ่งก็ตบอีกฝ่ายซ้ายขวาอย่างถี่รัว

“ข้าต่างหากที่ต้องพูดว่า การที่เจ้ากรีดร้องได้ดังน่าสมเพชเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเจ้านั่นแหละคือผู้บำเพ็ญมารตัวจริง!”

การถูกสะกดความแข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้นักกลั่นโอสถชายที่ถูกทุบตีอย่างต่อเนื่องเริ่มมีเสียงครวญครางออกมาจากปากของเขา

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ดูนางเถิด จะจองหองมากเกินไปหน่อยแล้ว!” ในที่สุดจัวหลิงเหยาก็เข้าใจว่าผู้อาวุโสต่างก็มีอคติและต้องการปกป้องศิษย์ผู้นำยอดเขาหลัก แม้แต่ผู้อาวุโสที่มาจากยอดเขารองก็ยังแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง

ผู้อาวุโสใหญ่เหลือบมองที่จัวหลิงเหยาอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “โอ้” เบา ๆ ทว่าก็ไม่ได้หยุดทักทายแต่อย่างใด หนำซ้ำยังแสดงท่าทีราวกับอนุญาตให้ติงหลิวหลิ่วทุบตีบุคคลนั้นเพียงฝ่ายเดียว

“ถ้าเจ้าไม่ไว้วางใจสำนักและผู้นำยอดเขา เจ้าสามารถออกจากสำนักหลานเทียนไปได้เลย”

ทันทีที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดจบ ทั้งสถานที่ที่เคยจอแจก็พลันเงียบลงจนน่าใจหาย

เหตุใดพวกเขาถึงควรจากไป? มันเป็นหลิงเยว่ต่างหาก!

ไม่ใช่ว่านางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญที่มีแก่นปราณครบห้าธาตุเท่านั้นเองหรอกหรือ นอกเหนือจากนี้ยังมีอะไรที่คู่ควรที่จะได้รับการคุ้มครองจากสำนัก และแม้แต่ผู้นำยอดเขาอีก?

นี่คือสิ่งที่พวกนักกลั่นโอสถไม่เข้าใจ

คนจำนวนมากถูกนำตัวไปขัง ยกเว้นหลิงเยว่

“ศิษย์น้องหลิงอย่าลืมไปส่งอาหารให้เรานะ!”

ก่อนที่อวี้เจินจะถูกพาตัวไป นางไม่ลืมที่จะเตือนหลิงเยว่ด้วยเสียงดัง

เหตุใดศิษย์พี่อวี้ถึงคิดได้เพียงเรื่องนี้นะ เมื่อก่อนนางไม่เป็นเช่นนี้นี่นา… ในหัวของหลิงเยว่เต็มไปด้วยคำถาม

ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่เมื่อมองดูหลิงเยว่นั้น เต็มไปด้วยความเมตตาและความเอ็นดู ซึ่งทำให้หนังศีรษะของหลิงเยว่ชาหนึบ ด้วยว่านางไม่สามารถยอมรับมันได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงพวกนักกลั่นโอสถที่มาก่อปัญหา แม้แต่หลิงเยว่ก็ไม่คิดว่าตนเองคู่ควรกับความรักเช่นนี้ เพียงการได้เข้า ‘โรงหนัง’ ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว หนำซ้ำนางยังได้ดอกไม้ดำน้อยมาอีก…

ผู้อาวุโสใหญ่อุ้มหลิงเยว่ขึ้นมาและออกจากสถานที่นั้นด้วยรอยยิ้ม

“!!!”

สรุปแล้วนางยังต้องติดคุกด้วยหรือ? แล้วใครจะเป็นคนไปส่งอาหารให้อวี้เจินและคนอื่น ๆ เล่า!

นี่เป็นความคิดแรกของหลิงเยว่ จากนั้นนางก็อดเริ่มคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการคุมขังนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนเพื่อทำให้โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ออกไป แล้วอีกฝ่ายจึงฆ่านางอย่างเงียบ ๆ

เมื่อศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ กลับมาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็จะมีข้อแก้ตัวมากมาย

ตัวอย่างเช่น นางรู้สึกละอายใจต่อสำนักและสหายทุกคน ดังนั้นนางจึงออกจากสำนักไปเอง…

นางตกใจมากเมื่อคิดไปเองจนได้ข้อสรุปเช่นนี้ เด็กสาวพลันเหงื่อซึมพร้อมกับร่างกายที่แข็งค้าง ผู้อาวุโสใหญ่อยู่ในช่วงปลายของขอบเขตทะยานเซียนแล้ว นั่นทำให้หลิงเยว่ไม่สามารถแม้แต่จะต่อกรได้เลย

หลิงเยว่ถูกพาบินข้ามไปถึงภูเขาด้านหลังที่คุ้นเคยและมุ่งหน้าลึกเข้าไปอีก

“ท่าน… ท่านผู้อาวุโสใหญ่! อย่าเข้าไปอีกเลยเจ้าค่ะ ที่นั่นอันตรายนัก!” หลิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพร้อมกับน้ำตาไหล สิ่งที่อยู่ข้างในสถานที่นี้จะดูดอายุขัยของผู้คน เป็นไปได้หรือไม่ว่าหนทางแห่งความตายของนางคือถูกดูดอายุขัยไปจนหมด?

แต่ความตายเช่นนี้ก็พอรับได้อยู่บ้าง อย่างน้อยมันก็ไม่เจ็บปวดมาก ไม่สิ นางคิดอะไรอยู่! นางต้องลองต่อสู้ดิ้นรนสักหน่อยแล้ว!

ครั้นกำลังคิดถึงการดิ้นรน หลิงเยว่ก็เหมือนถูกจุดประกายความหวังมากขึ้นเมื่อนางเห็นชิงยวน เล่อเหอ ปิงซู่ และสยงฉีเลวี่ย แต่แล้วหลิงเยว่ก็คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ บางทีพวกเขาอาจมาที่นี่เพื่อร่วมกันส่งนางไปสู่ความตายใช่หรือไม่?

หัวใจของหลิงเยว่พลันแตกสลาย

“ข้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญมารจริง ๆ นะเจ้าคะ ท่านบรรพจารย์!” หลิงเยว่กอดต้นขาของเล่อเหอพลางน้ำตาไหล นางจะยอมให้คนสำคัญมากมายเหล่านี้เฝ้าดูการตายของนางเฉย ๆ ได้อย่างไร

“ข้ารู้”

เล่อเหอพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่แน่ใจว่าสาวน้อยตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่การที่เด็กสาวกลัวมากเช่นนี้ คงคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อดูนางตายใช่หรือไม่?

“หรือว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยค้นหาแสงชั่วร้ายนั่นที่ดูดกลืนอายุขัยของผู้คนเจ้าคะ?”

หลิงเยว่นั่งบนพื้น ใช้มือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตา ขณะที่อีกมือจับชายเสื้อคลุมของเล่อเหอไว้

“ใช่แล้ว”

ชิงยวนช่วยหลิงเยว่ลุกขึ้น ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาเช็ดน้ำตาให้ว่าที่ศิษย์ที่กำลังขี้ขลาดมากคนนี้ หลิงเยว่คนที่นางเห็นว่าไม่กลัวตายบนลานประลองคนนั้นไปอยู่ใดแล้วเล่า?

“แต่อายุขัยของข้าไม่พอให้มันดูดกลืน…”

เมื่อตอนนั้นนางสัมผัสมันเพียงพริบตาเดียว อายุขัยของนางก็หายไปหนึ่งเดือน ตอนนี้เด็กสาวมีอายุไม่ถึงเจ็ดร้อยวันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะสัมผัสมันแน่นอน

“เราไม่สามารถเข้าไปเห็นดินแดนข้างในนั้นได้”

หลิงเยว่มองตามมือของสยงฉีเลวี่ยที่ชี้ไปในทิศทางนั้น นางมองเห็นหมอกสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด หมอกสีดำของดอกไม้ดำน้อยยังไม่อาจเทียบได้กับหมอกสีดำตรงหน้านี้ได้เลย

“ขนาดท่านยังเข้าไปไม่ได้ แล้วข้าจะเข้าไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ!”

นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดเท่านั้น!

ตัวตนระดับสูงของสำนักกำลังเกลี้ยกล่อมให้นางไปตายจริง ๆ ใช่หรือไม่?

นอกเหนือจากคำอธิบายนี้หลิงเยว่ก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

“เจ้า… ควรจะทำได้…”

เล่อเหอหยิบเสื้อคลุมสีดำออกมาแล้วพันหลิงเยว่ไว้แน่น “หากอายุขัยของเจ้าถูกดูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ อาจารย์ของเจ้ามีโอสถเพิ่มอายุขัยจำนวนมากอยู่ ซึ่งมันจะช่วยยืดอายุขัยให้เจ้าได้มากกว่าอายุขัยปัจจุบันที่มีอยู่เสียอีก”

หลิงเยว่ร้องไห้ออกมา ไม่ใช่เพราะรู้สึกสะเทือนใจ แต่เป็นเพราะโอสถเช่นนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับนาง และไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใด ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปกปิดมันไว้ด้วยน้ำตาเท่านั้น

“มันไม่ใช่ว่าข้าอยากให้เจ้าตายจริง ๆ เสียหน่อย เสื้อคลุมนี้จะช่วยปกป้องเจ้าจากหมอกพิษ ตราบใดที่เจ้าเดินเข้าไปข้างในได้ร้อยก้าว ภารกิจก็จะถือว่าสำเร็จ”

สิ่งต่าง ๆ ไม่ง่ายเช่นนั้น ทว่าหลิงเยว่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลใดมาปฏิเสธได้

โม่เวิ่นเทียนหยิบรองเท้าสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะที่ดูธรรมดาให้หลิงเยว่

“ใส่มันเสีย มันจะช่วยให้เจ้าเดินเร็วขึ้น”

แม้ว่าหลิงเยว่จะได้รับการสนับสนุนและมีอุปกรณ์ครบครันจากเหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักเช่นนี้แล้ว ทว่านางก็ยังคงตื่นตระหนกมากเสียจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากอก ด้วยมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางสิ่งเลวร้ายกำลังรอนางอยู่ข้างในนั้น

ขอไม่เข้าไปได้หรือไม่?

หลิงเยว่หันกลับไปกลับมาสามครั้งด้วยสีหน้าน่าสงสาร พยายามทำให้เหล่าตัวตนระดับสูงยอมปล่อยเด็กสาวตัวเล็กนี้ไป แต่สุดท้ายนางกลับได้รับการกระตุ้นเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งจากผู้อาวุโสใหญ่

“อย่ารอช้าอีกเลย หากเกิดอะไรขึ้นพวกเราทุกคนจะร่วมมือกันช่วยเหลือเจ้าออกมาแน่นอน”

นางไม่เชื่อ!

เมื่อครู่นางได้ยินว่าแล้วว่า เขาบอกว่าตนเองเข้าไปไม่ได้ แล้วเขาจะสามารถช่วยเหลือนางได้อย่างไร! เด็กสาวไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่าวคำอำลากับเหล่าสหายด้วยซ้ำ!

หลิงเยว่ยกขาข้างหนึ่งขึ้น แต่แล้วก็ต้องถอยเท้ากลับ…

เหล่าตัวตนระดับสูงที่กำลังใจจดจ่ออยากจะเตะนางเข้าไปด้วยตัวเองเหลือเกิน!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท