ชายคนนั้นพูดพลางผลักไป๋หลี่ซ่างเสียและเฮ่อเหลียนชิงเฉิงเข้าไปในรถตู้ ก่อนจะตามหลังพวกเขาเข้าไป หลังจากหมุนกระจกและล็อกประตูรถเป็นที่เรียบร้อย รถยนต์ก็เริ่มเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ
เส้นทางที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางที่มีด่านตรวจค้นตามปกติ เส้นทางนี้จะทำให้พวกเขาสามารถเลี่ยงความสงสัยได้ กรุงปักกิ่งมีรถยนต์นับล้านๆ คันวิ่งอยู่บนถนนทุกวัน ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงแทบจะไม่เรียกตรวจค้นรถคันใดแม้แต่คันเดียว เว้นเสียแต่ว่าจะมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้านนอกของรถตู้คันนี้ก็ยังดูหน้าตาธรรมดา มันดูเหมือนรถจากต่างจังหวัดที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
รถตู้รุ่นนี้มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือการที่คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นภายในตัวรถได้ แต่คนที่อยู่ข้างในสามารถมองเห็นข้างนอกได้อย่างชัดเจน
คนขับรถตู้เป็นชายอีกคน เขาหมุนพวงมาลัยพร้อมกับส่งตั๋วรถไฟนับสิบใบให้กับคู่รักปลอมทั้งสองกลุ่ม เขาพูดติดสำเนียงว่า ”เตรียมตัวให้พร้อม พวกนายต้องนั่งข้างกันเหมือนอย่างทุกที” เขาว่าพลางเหลือบมองกระจกหลัง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันทีพร้อมกับเหยียบเบรกอย่างแรง ”ทำไมถึงมีเด็กเพิ่มมา”
“ฉันคิดว่ามันคงไม่ปลอดภัยถ้าเราปล่อยเขาไป เขาเห็นตอนที่พวกเรากำลังลักพาตัวเด็กอีกคน ถ้าตำรวจเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เขาอาจจะกลายเป็นตัวปัญหาสำหรับเราได้ อีกอย่าง มีเด็กเพิ่มมาสักคนก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก เด็กจากบ้านที่ขายแพนเค้กรับมือง่ายกว่าพวกเขา ดังนั้นเราค่อยส่งตัวเขาทีหลังก็ยังได้ แต่เราต้องส่งสินค้าสองชิ้นนี้ออกไปให้เร็วที่สุด” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกของไป๋หลี่ซ่างเสียอีกครั้ง
ทันทีที่ได้ยินดังนี้ คนขับก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางหันหลังกลับได้ เขาจึงโยนเสื้อผ้าให้กับพวกเขาอีกสองชุด ”ถอดเสื้อหนังกับเสื้อเชิ้ตสีขาวของเจ้าหนูพวกนี้ออกซะ การแต่งตัวของพวกเขาสะดุดตาเกินไป”
แต่สิ่งที่สะดุดตาไม่ได้มีเพียงแค่เสื้อผ้าของพวกเขาเท่านั้น หน้าตาของพวกเขาโดดเด่นมากเสียจนสามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา
นักค้ามนุษย์ลงมืออย่างรวดเร็ว พวกเขาจัดการเปลี่ยนชุดท่อนบนให้กับไป๋หลี่ซ่างเสียและเสี่ยวชิงเฉิงในเวลาไม่กี่วินาที เหลือแต่กางเกงที่ยังเป็นตัวเดิม เพราะอย่างไรมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับพวกเขาอยู่แล้ว
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ชายคนนั้นก็จับเด็กชายทั้งสองมานั่งบนเบาะเดียวแล้วเอนศีรษะของพวกเขาเข้าหากัน นี่เป็นกลอุบายทั่วไปที่นักค้ามนุษย์ระดับสูงใช้กัน ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย พวกเขาย่อมเลือกลักพาตัวเด็กสองคนมากกว่าคนเดียว เพราะภาพลวงตาอันแสนอบอุ่นหัวใจนี้จะช่วยให้พวกเขาหลบเลี่ยงปัญหาต่างๆ เมื่อถูกตรวจค้น
“นี่ พอหลับตาแล้วเด็กสองคนนี้ดูเหมือนพี่น้องกันจริงๆ เลย” ผู้หญิงคนนั้นดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดหลังจากขึ้นรถตู้ เธอแกะเมล็ดทานตะวันแล้วหันหน้ากลับมาขณะพูดเช่นนั้น
ชายคนนั้นหาวและตอบอย่างไม่สนใจว่า ”เจ้าพวกนี้ก็หน้าตาเหมือนกันหมด เจ้าสองคนนี้ก็แค่หน้าตาดีกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากนี้ถ้าเราไปถึงสถานีรถไฟแล้ว อย่าลืมซ่อนหน้าของพวกเขาไว้ใต้คอเสื้อให้ดีล่ะ เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราก็พักกันหน่อยก็แล้วกัน พอขึ้นรถไฟแล้ว พวกเราต้องตื่นตัวให้มากเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นด้วยกับคำพูดของชายคนดังกล่าว ดังนั้นเธอจึงหลับตาลงพัก นอกจากคนขับรถแล้ว ผู้โดยสารคนอื่นๆ บนรถตู้ต่างก็พยาพยามพักผ่อนในระหว่างที่พวกเขายังทำได้
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเด็กสองคนที่เอนศีรษะชนกันอยู่นั้นกำลังเริ่มขยับนิ้วมือไปมา พวกเขาตื่นเต็มตาทั้งที่ควรจะหมดสติ โดยเฉพาะไป๋หลี่ซ่างเสีย ไม่ใช่แค่เขาจะตื่นเต็มที่หลังจากสูดยานอนหลับเข้าไป แต่แม้กระทั่งดวงตาของเขาก็ยังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
เป็นธรรมดาที่เสี่ยวชิงเฉิงจะสัมผัสถึงกลิ่นอายผิดมนุษย์ที่อมนุษย์ตนนี้แผ่ออกมาได้ เขาใช้มือเล็กๆ กุมรอบข้อมือของอีกฝ่ายเพื่อเตือนไม่ให้อมนุษย์ตนนี้ทำเสียแผน
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนห้ามไป๋หลี่ซ่างเสีย เขาลืมตาขึ้นแล้วเหลือบมองไปทางเสี่ยวชิงเฉิงอย่างเย็นชามาก
อันที่จริง เขาสามารถจัดการคนกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย ก็แค่มนุษย์หน้าโง่ไม่กี่คน หากเข้าตาจนจริงๆ เขาก็สามารถกลืนวิญญาณของพวกมันเข้าปากได้ในครั้งนี้
แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รังเกียจที่จะได้สัมผัสกับชีวิตมนุษย์สักครั้ง อย่างไรเขาก็เคยประกาศเอาไว้แล้วว่าเขาจะขุดรากถอนโคนรังของโจรลักพาตัวพวกนี้ให้จงได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ ไป๋หลี่ซ่างเสียก็หลับตาลงอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในท่าที่สบายตัว เด็กชายที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างเขาถึงได้ผล็อยหลับไปอย่างเกียจคร้านขณะที่เอนศีรษะพิงเสี่ยวชิงเฉิง
นี่เป็นเวลาที่เด็กๆ มักเริ่มรู้สึกง่วงนอน และเสี่ยวชิงเฉิงเองก็รู้สึกเหนื่อยแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องทำตัวว่าง่ายตอนอยู่ในชั้นเรียนมาตลอดทั้งวัน เขาจึงยกนิ้วโป้งขึ้นดูดแล้วผล็อยหลับไป
คำกล่าวที่ว่าพี่น้องผูกพันกันด้วยสายเลือดนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง
แม้แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียและเฮ่อเหลียนชิงเฉิงก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านอนของตัวเองตอนที่เอาศีรษะชนกันนั้นดูคล้ายกันมากขนาดไหน
ท้องฟ้านอกหน้าต่างของรถตู้เริ่มมืดลงทีละน้อยเมื่อใกล้ถึงเวลาหนึ่งทุ่มสิบห้า
เวลานี้เป็นเวลาที่คนพลุกพล่านที่สุดในสถานีรถไฟ โดยเฉลี่ยแล้วที่สถานีปักกิ่งมีผู้โดยสารเดินทางสัญจรกันถึงสามแสนคนต่อวัน
ในจำนวนนั้นมีทั้งคนมีการศึกษา คนทำงานจากทุกสาขาอาชีพ และยังมีชาวนาอีกนับไม่ถ้วน
สถานีรถไฟเต็มไปด้วยเสียงแห่งความคึกคัก ไม่มีกระทั่งความเงียบเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ผู้โดยสารแต่ละคนต่างยืนรออยู่หน้าประตูตรวจตั๋วเพื่อเข้าสู่สถานี กระเป๋าเป้เปื้อนฝุ่นที่อยู่บนหลังของพวกเขากระแทกกัน และบางคนก็แบกเสื่อไว้บนหลัง
ที่นี่แตกต่างไปจากตอนใต้ของกรุงปักกิ่งที่การขนส่งสาธารณะส่วนใหญ่จะเป็นรถไฟความเร็วสูงสำหรับบรรดานักธุรกิจ ดังนั้นการควบคุมจำนวนของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาจึงยากกว่า
โดยส่วนมากนั้น เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจตั๋วจะมีหน้าที่เพียงแค่ตรวจดูว่าเลขบัตรประจำตัวประชาชนกับเลขที่อยู่บนตั๋วรถไฟตรงกันหรือไม่เท่านั้น ตราบใดที่ตัวเลขบนตั๋วของผู้โดยสารตรงกัน และไม่มีวัตถุอันตรายติดตัวมาด้วย พวกเขาย่อมสามารถผ่านเข้าไปได้ทันที
การจะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าเด็กทุกคนหมดสติจากการถูกโปะยาสลบหรือไม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะลำพังแค่งานของพวกเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยมากพออยู่แล้ว การนั่งตรวจตั๋วอยู่ตรงนั้นทั้งวันนับว่าเป็นงานที่กินแรงมหาศาล
บรรดานักค้ามนุษย์ต่างก็เล็งช่องโหว่ทางการรักษาความปลอดภัยนี้เอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะมาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้
รถไฟจะออกตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง โดยปกติแล้วนี่คือช่วงเวลาที่ผู้ปกครองของเด็กจะเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกๆ ของพวกเขาหายตัวไป แต่เรื่องทุกอย่างก็สายเกินไปเพราะกว่าจะถึงตอนนี้ นักค้ามนุษย์ก็จัดแจงพาตัวลูกๆ ของพวกเขาขึ้นรถไฟไปเรียบร้อยแล้ว
ต้องบอกว่าแผนการของนักค้ามนุษย์พวกนี้สมบูรณ์แบบ แต่ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือพวกเขาเลือกเป้าหมายผิด
เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ท้องฟ้าเหนือกรุงปักกิ่งเริ่มกลืนหายไปกับความมืด
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ อู่ซ่อมรถที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดพานเจียหยวน มีชายฉกรรจ์ห้าคนยืนเรียงแถวกันอยู่ที่นั่น
“ทุ่มครึ่งแล้ว ทำไมนายน้อยถึงยังไม่กลับมาอีก ปีกไก่นิวออร์ลีนส์ที่ฉันย่างไว้ให้นายน้อยกินเย็นชืดหมดแล้ว”
“เป็นไปได้หรือเปล่าว่านายน้อยจะหลงทาง”
“ไม่มีทาง! นายลืมไปแล้วหรือว่านายน้อยสามารถจดจำทุกอย่างได้เพียงแค่เห็นครั้งเดียว คนที่จะหลงทางได้ก็คงมีแต่นายเท่านั้นแหละ!”
“อย่าเอะอะ เอสกำลังไปดูที่โรงเรียน เขาน่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้” คนที่ใจเย็นที่สุดกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มชื่อแอลที่ถือท่อเหล็กอยู่ในมือ
แต่ก่อนที่เอสจะกลับมาถึง รถบีเอ็มดับเบิลยูโทมาฮอว์กของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปรากฏขึ้น ยานพาหนะอันงดงามจอดเทียบลงตรงหน้าของพวกเขา ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะถอดหมวกกันน็อกของตัวเองออกแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ”พวกนายยืนทำอะไรกันอยู่”
ชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนมองหน้ากัน แล้วตอบอย่างพร้อมเพรียงว่า ”รอนายน้อยกลับบ้านครับ!”
“เสี่ยวชิงเฉิงยังไม่กลับมาอีกหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักพร้อมกับขมวดคิ้ว
โรงเรียนอนุบาลอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ต่อให้เขาพาเสี่ยวเฮยไปเดินเล่น แต่ป่านนี้เขาก็น่าจะกลับมาถึงนานแล้ว…