ตอนที่ 877 ย้ายไปบ้านหลังใหม่
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายไปยังบ้านตระกูลสวีในตอนเช้า และใช้เวลาสองชั่วโมงในการตกลงซื้อขายอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็ก
ตระกูลสวีอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไม่ถึงหนึ่งปี น้ำและไฟฟ้าเป็นของใหม่ทั้งหมด ผนังห้องยังเป็นสีขาว ไม่จำเป็นต้องติดตั้งน้ำและไฟฟ้าใหม่ และไม่จำเป็นต้องทาสีผนังใหม่
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ในบ้านยังคงเป็นพื้นคอนกรีตทั้งหมดและไม่มีกระเบื้องปูพื้น
หลินม่ายขอให้จางเหวินปิงจัดหากำลังคนเพื่อมาปูกระเบื้องภายในบ้านหลังนี้ให้เสร็จภายในหนึ่งวัน
ด้วยคำสั่งของหลินม่ายที่ต้องการให้งานเสร็จภายในหนึ่งวัน จางเหวินปิงจึงว่าจ้างช่างฝีมือปูกระเบื้องมาทั้งหมด 15 คน
ให้พวกเขาแบ่งเป็นกลุ่มละ 5 คนเพื่อรับผิดชอบต่อหนึ่งชั้น และขอให้งานเสร็จก่อนบ่าย 4 โมงเย็น
หลินม่ายไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน เธอใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายวิ่งไปหาคณะกรรมการหมู่บ้าน พยายามหาที่ดินขนาดหกตารางวาที่ได้รับอนุมัติสำหรับอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กที่เธอซื้อ
เธอวางแผนที่จะสร้างห้องน้ำสำหรับชั้นหนึ่งถึงชั้นที่สามในอาคารหลังนี้
ไม่ว่าบ้านจะสวยงามแค่ไหน แต่หากไม่มีห้องน้ำ การใช้ชีวิตคงไม่สะดวกนัก
ในยุคนี้แม้แต่ในเมืองหลวง ที่ดินส่วนใหญ่ยังคงห่างไกลจากคำว่าที่ดินทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทอง
ซองแดงถูกนำออกมาใช้ คณะกรรมการหมู่บ้านไม่เพียงอนุมัติที่ดินหกตารางเมตรของเธอเท่านั้น แต่ยังอนุญาตให้เธอสร้างสวนหลังบ้านขนาดหลายสิบตารางเมตรอีกด้วย
เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนที่โรงเรียนจะเปิดอย่างเป็นทางการ การสร้างห้องน้ำทั้งสามชั้นให้เสร็จภายในสองวันคงเป็นไปไม่ได้
เช่นนั้นต้องทำห้องน้ำชั้นหนึ่งก่อน จากนั้นย้ายเข้าไปอยู่ให้เร็วที่สุด แล้วค่อยทำห้องน้ำชั้นสองและชั้นสาม
แม้ว่าห้องน้ำชั้นล่างจะเสร็จภายในสองวัน แต่ขณะนี้เป็นฤดูหนาวและไม่สามารถใช้งานได้ทันที เพราะปูนยังคงไม่แห้งสนิท และจะต้องทิ้งไว้อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์
แม้ว่าจะยังย้ายเข้าบ้านใหม่ไม่ได้ในตอนนี้ แต่ก็ยังต้องไปโรงเรียนตามปกติ
หลังรับประทานอาหารเช้าในทุกวัน ทันทีที่ถึงเวลาเจ็ดโมงเช้า เธอจะขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์พาลูกน้อยและน้าทังไปโรงเรียนด้วยกัน
หลังเรียนคาบเช้าเสร็จก็กลับมาให้นมลูกในรถ ก่อนที่น้าทังและหลินม่ายจะรับประทานอาหารเที่ยงในโรงอาหาร จากนั้นขับรถกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็น
ชีวิตที่ยากลำบากนี้กินเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดบ้านหลังใหม่ก็พร้อมให้ย้ายเข้าไปอยู่
วันที่ทุกคนย้ายเข้าบ้านใหม่เป็นวันอาทิตย์
ทั้งครอบครัวตื่นเต้นเล็กน้อยและตื่นนอนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
หลังจากรับประทานอาหารเช้าไม่นาน ทีมขนย้ายที่หลินม่ายขอให้เจียวอิงจวิ้นจัดหาให้ก็มาถึง
สิ่งเดียวที่ต้องเอาไปคือเสื้อผ้า เครื่องนอน และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ซึ่งถูกเตรียมไว้เมื่อคืนนี้
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องครัวไม่ได้เอาไป
อาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กเป็นเพียงที่อยู่อาศัยชั่วคราว บ้านหลังใหญ่นี้ยังคงเป็นของครอบครัวหลินม่ายในเมืองหลวง ข้าวของภายในจึงไม่จำเป็นต้องย้ายออก
ชายร่างใหญ่ที่มาช่วยขนย้ายเพียงแค่ขนของที่แพ็คไว้ขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่เท่านั้น
แม้ว่าจะมีเสียงรบกวนเพียงน้อยนิดจากทีมขนย้าย แต่เพราะเป็นเวลาหลังเจ็ดโมงเช้า เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างก็ตื่นกันแล้ว
ด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ ชายร่างใหญ่หลายสิบคนวิ่งเข้าออกเพื่อบรรทุกสิ่งของ แม้แต่คนสายตาสั้นก็ยังมองเห็นได้
เพื่อนบ้านหลายคนมารวมตัวกันและมีคนถามหลินม่าย ซึ่งกำลังยืนอุ้มทารกอยู่ในอ้อมแขน “เสี่ยวหลิน หนูกำลังจะย้ายออกแล้วเหรอ?”
เพื่อนบ้านที่ถามคำถามแสดงออกถึงความไม่เต็มใจ
ครอบครัวของหลินม่ายเป็นเพื่อนบ้านที่มีคุณภาพสูงในสายตาของคนอื่น
บ้านนี้ไม่เคยรังแกผู้อื่น และหากรับรู้ว่ามีเพื่อนบ้านกำลังลำบากใจ พวกเขาจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอ
เพื่อนบ้านดี ๆ แบบนี้หายาก ใครจะยินดีให้พวกเขาย้ายออกไป?
หลินม่ายอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ไม่เชิงว่าย้ายออกเสียทีเดียวค่ะ แค่ย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว แล้วหนูจะกลับมาในช่วงวันหยุดฤดูหนาวและฤดูร้อน”
เพื่อนบ้านคนหนึ่งใจกล้าถามออกไปโดยตรง “ทำไมถึงย้ายออกไปชั่วคราวล่ะ?”
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
จากนั้นเพื่อนบ้านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็นเพราะความจำเป็น ครอบครัวฟางจึงต้องย้าย
หลังจากขนของทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกขนาดใหญ่แล้ว ลุงหยางที่ฟางจั๋วหรานว่าจ้างให้ดูแลบ้านก็มาถึง
ครอบครัวหลินม่ายย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ซึ่งใกล้กับโรงเรียน และเป็นไปไม่ได้ที่จะแวะเวียนกลับมาดูแลบ้านหลังนี้
แม้ว่าความปลอดภัยของเมืองหลวงจะดี แต่ก็ยังมีคนหนุ่มสาวที่คึกคะนองและต้องจ้างผู้ดูแลบ้าน
หลินม่ายมอบหมายงานดูแลบ้านให้ลุงหยาง แล้วยังมอบเงินค่าอาหารสำหรับเดือนนี้เพื่อที่เขาจะได้นำไปใช้จ่าย
ลุงหยางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตอนแรกเขานึกว่าจะต้องจ่ายค่าอาหารเอง
หลินม่ายกล่าว “ทุกเดือนตราบใดที่ไม่มีข้อผิดพลาด จะมีโบนัสให้ลุง 50 หยวนนะคะ”
หลินม่ายเป็นนักธุรกิจและรู้วิธีการบริหารดีที่สุด เพื่อที่ลูกน้องของเธอจะยอมภักดีและทำงานหนัก
ลุงหยางที่ฟางจั๋วหรานเชิญมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลโหย่วเหอ
เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ แต่ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบาก
ฟางจั๋วหรานจ่ายเงินให้เขาอย่างงามสำหรับการดูแลบ้านและสนามหญ้า โดยเสนอค่าจ้างที่สูงกว่าที่เขาได้รับจากงานประจำ ลุงหยางจึงค่อนข้างพอใจกับงานนี้
ตอนนี้หลินม่ายยังให้คำสัญญาว่า ตราบใดที่บ้านได้รับการดูแลอย่างดี เธอจะมอบโบนัสพิเศษให้ ลุงหยางจึงมีความสุขมากกว่าเดิม
เขาสัญญาอย่างหนักแน่น “ผมจะหาสุนัขมาเฝ้าบ้านและสวนในภายหลัง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินม่ายจึงให้เงิน 20 หยวนสำหรับค่าอาหารสุนัขในเดือนนั้น
แม้ว่ายุคนี้จะไม่มีอาหารสุนัข และสุนัขก็ยังถูกเลี้ยงด้วยของเหลือ
ลุงหยางไม่สามารถใช้จ่ายเงินไปในส่วนนี้ เนื่องจากเขาออกมารับงานนี้เพราะสภาพครอบครัวที่ยากจน
หลังจากจัดการเรื่องลุงหยางแล้ว หลินม่ายพาคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง น้าทัง และเสี่ยวมู่ตงขึ้นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก่อนที่รถบรรทุกจะขับตามไป
ฟางจั๋วหรานนั่งรถจี๊ปกับโต้วโต้ว อาหวง และน้าถู
รถยนต์ขนาดเล็กสองคันและรถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นไปที่บ้านสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กที่หลินม่ายซื้อไว้ ซึ่งขบวนรถของพวกเขาดึงดูดสายตาของชาวบ้านในท้องถิ่นจำนวนมากให้หยุดดูในทันที
ตามคำขอของหลินม่าย ชายร่างใหญ่ที่เจียวอิงจวิ้นจัดหามาเริ่มขนย้ายสิ่งของไปยังชั้นต่าง ๆ ก่อนจากไปเมื่องานเสร็จ
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และน้าถูซื้อเฟอร์นิเจอร์ หม้อ กระทะ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องใช้ในบ้านอื่น ๆ สำหรับบ้านใหม่เมื่อวานนี้
ครอบครัวนั่งบนโซฟาใหม่ในห้องนั่งเล่นและประชุมย่อย ก่อนจะช่วยกันจัดสรรบ้าน
หลินม่ายและสามีต่างก็มีความสุข ชั้นสามทั้งชั้นเป็นที่พักอาศัยของพวกเขาและเสี่ยวมู่ตง
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางอาศัยอยู่ที่ชั้นสองกับโต้วโต้ว
น้าถูและน้าทังอาศัยอยู่ในห้องใหญ่ชั้นหนึ่ง และมีห้องเล็กสำหรับหลินม่ายไว้ใช้เลี้ยงดูเสี่ยวมู่ตงเวลาที่อยู่ชั้นล่าง
หลังจากจัดสรรกันแล้ว ทุกคนก็เริ่มเก็บกวาดและจัดของกัน
แม้ว่าจะเป็นเพียงเสื้อผ้า เครื่องนอน และสิ่งของอื่น ๆ แต่ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการจัดให้เรียบร้อย
หลังจากจัดแจงเรียบร้อย โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นซึ่งเพิ่งติดตั้งได้ไม่กี่วันก็ดังขึ้น
เจียวอิงจวิ้นโทรบอกหลินม่ายว่าคุณเจิ้งมาถึงเมืองหลวงแล้ว
หลินม่ายวางแผนจะทำอาหารมื้อใหญ่ในตอนเที่ยงเพื่อตอบแทนครอบครัว
แต่แผนการก็ต้องเปลี่ยนแปลง คุณเจิ้งมาถึงเมืองหลวงและเธอต้องดูแลเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงกลับมาจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อใหญ่กับครอบครัวในตอนกลางคืนเท่านั้น
หลินม่ายจัดระเบียบตัวเองและขับรถไปทักทายคุณเจิ้งทันที เธอบอกเขาว่าพรุ่งนี้บ่ายจะพาเขาไปพบกับหัวหน้าสีเพื่อดูแผนที่ก่อน แล้ววันมะรืนพวกเขาจะไปเยี่ยมชมสถานที่จริง
วันต่อมา นอกจากการพาคุณเจิ้งไปหาหัวหน้าสีแล้ว เธอยังต้องทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้โต้วโต้วด้วย
ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนประถมเดิมของโต้วโต้วมากเกินไป
ปู่ฟาง ย่าฟาง และน้าถูไม่สะดวกไปรับไปส่งโต้วโต้วที่โรงเรียน ดังนั้นเธอจึงต้องหาโรงเรียนประถมใกล้บ้านให้ใหม่
พรุ่งนี้เธอจะหยุดทั้งวันเพื่อทำสองสิ่งนี้
ในตอนเย็น หลินม่ายโทรหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอลากิจ ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาไม่พอใจอย่างมาก
“ก็พอเข้าใจเรื่องที่เธอขอลาไปทำธุระ แต่ทำไมต้องเป็นคนจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนให้ลูกด้วยล่ะ? แล้วสามีของเธอไปไหน เธอเป็นผู้ปกครองเด็กน้อยคนเดียวหรือไง?”
ที่ปรึกษาได้จินตนาการถึงสภาพของครอบครัวหลินม่ายในใจ โดยคิดว่าหลินม่ายพยายามที่จะทำให้สามีของเธอพอใจ ยอมขายบ้าน และยังยอมทำทุกอย่างให้
หลินม่ายอธิบาย “สามีของฉันเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลโหย่วเหอ เขาต้องผ่าตัดหลายเคสในทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องที่บ้านน่ะค่ะ”
อาจารย์ที่ปรึกษารู้สึกละอายใจ อนุมัติการลาของเธอ และแนะนำให้เธอย้ายหนูน้อยไปยังโรงเรียนประถมที่อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยชิงหวา
อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า เขาสามารถช่วยเธอหาทางได้
หลินม่ายรีบปฏิเสธทันที โดยบอกว่าเธออยากให้ลูกเรียนในโรงเรียนประถมธรรมดา และได้ติดต่อครูใหญ่ไว้แล้ว
ครูใหญ่คงไม่มีความสุขหากเธอจะเปลี่ยนใจในภายหลัง
แท้จริงหลินม่ายไม่ได้กลัวว่าครูใหญ่จะโกรธ
โรงเรียนประถมสังกัดมหาวิทยาลัยชิงหวาเป็นโรงเรียนประถมหลักที่มีชื่อเสียง ใครจะไม่อยากไปโรงเรียนประถมหลักหากมีโอกาส ถึงหลินม่ายจะทำให้ครูใหญ่ขุ่นเคืองเธอก็ยอม
แต่ปัญหาคือ หลินม่ายไม่รู้ว่าลูกของตัวเองจะเรียนไหวหรือไม่
แม้ว่าผลการเรียนของโต้วโต้วเมื่อปลายภาคการศึกษาปีที่แล้วจะดีขึ้นมาก และสอบผ่านทั้งสองหลักสูตร
แต่ผลลัพธ์นี้ไม่ได้มาง่าย ๆ และต้องใช้เงินจำนวนมากในการจ้างครูสอนพิเศษเพื่อเทความรู้ใส่หัวโต้วโต้ว กระทั่งหล่อนสามารถสอบผ่าน
ถ้าให้ไปเรียนในโรงเรียนประถมสังกัดมหาวิทยาลัยชิงหวา เธออาจจะเพิ่มแรงกดดันด้านการเรียนให้กับโต้วโต้ว
หลินม่ายยังคงหวังว่าโต้วโต้วจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ดังนั้นเธอจำใจต้องละทิ้งโอกาสที่จะหนูน้อยได้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาอันทรงเกียรติ
ขณะที่หลินม่ายพูดคุยกับครูที่ปรึกษา ฟางจั๋วหรานอยู่ด้านข้างด้วย
เมื่อหลินม่ายวางสาย เขาเข้ามากอดเธอจากด้านหลังและพูดอย่างรู้สึกผิด “ม่ายจื่อ ผมขอโทษ ผมทำหน้าที่ในฐานะสามีได้ไม่ดี”
หลินม่ายหันกลับมาหาเขา “คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าทำหน้าที่ในฐานะสามีได้ไม่ดี? คุณไม่ได้ให้เงินทั้งหมดที่ได้รับมากับฉัน และแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวหรือ? มู่ตงตัวน้อยโตขึ้นมาก คุณซักผ้าอ้อมให้เขาหลายครั้ง แล้วยังชงนมให้เขาอีกด้วย คุณได้ดูแลครอบครัวอย่างดี แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่เมื่อเทียบกับคุณ ผมยังทำน้อยกว่ามาก”
“คุณมีงานที่วิเศษ อย่ากังวลถึงเรื่องอื่นเลยค่ะ”
หลินม่ายไม่เคยเชื่อว่าในชีวิตการแต่งงาน ผู้หญิงควรจะเป็นคนที่มีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว
ผู้ชายไม่เพียงแต่หาเงินเลี้ยงครอบครัว แต่ยังดูแลงานบ้านอีกด้วย
ในชีวิตที่แล้ว ขณะที่ดูวิดีโอ เธอเห็นการสนทนาเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีส่วนร่วมในกีฬาต่อสู้ และตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วพวกเธอได้อะไรจากชีวิตแต่งงานที่ต้องแบกรับภาระการคลอดบุตรและงานบ้าน?
แต่แท้จริงแล้วผู้ชายเองก็เผชิญแรงกดดันอย่างมากในการหาเลี้ยงครอบครัว และพวกเขามักจะกลับมาบ้านเพื่อดูแลงานบ้านในขณะที่ต้องฟังคำบ่นของภรรยา มันทำให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วพวกเขาได้อะไรจากการแต่งงานเช่นนี้เช่นกัน?
สิ่งที่เรียกว่าบ้าน ล้วนต้องการความร่วมมือของสามีภรรยาเพื่อทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นกว่าเดิม
ในตอนกลางคืน สามีภรรยานอนกอดกันเป็นเวลานานก่อนจะหลับตาลงและผล็อยหลับไป
แต่มันเป็นความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
หลินม่ายยังคงต้องพักฟื้นหลังคลอด ขณะที่ฟางจั๋วหรานแทบทนไม่ไหวที่จะสัมผัสเธออีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ย้ายบ้านกันเร็วและเป็นระบบระเบียบมากเลยค่ะ ทำยังไงกันหนอ
พี่หมอไม่ต้องน้อยใจนะคะ อย่างน้อยพี่ก็ช่วยซักผ้าอ้อม ดูแลลูก ซึ่งเป็นงานที่ผู้ชายบางส่วนในยุคนั้นไม่แตะเลยและโยนมาให้เป็นภาระภรรยาคนเดียว
ไหหม่า(海馬)