สะเทือนลั่น!
เลือดเดือดพล่าน!
นี่คือบทพูดที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่หลี่เจิ้งฮุยเคยอ่านมาในบรรดาโดจินบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ!
เมื่อเผชิญหน้ากับบทพูดนี้ หลี่เจิ้งฮุยเริ่มตัวสั่นเทิ้ม!
ตัวละครถังซำจั๋ง หรือจะเรียกว่าจินฉานจื่อโดดเด่นขึ้นมาในฉับพลัน เขาสัมผัสได้ถึง ‘จิตวิญญาณ’ ของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ!
องอาจห้าวหาญ!
หัวขบถดื้อรั้น!
ทำลายล้างทุกสิ่ง!
เนื้อเรื่องช่วงแรกดูเหมือนไร้สาระและไร้แก่นสาร แทบจะเปลี่ยนนิสัยของตัวละครอาจารย์และลูกศิษย์ในต้นฉบับจนจำไม่ได้ แต่จู่ๆ บทในช่วงนี้ก็เปิดเผยให้เห็นถึงสารัตถะของนิยายได้ชัดเจน
นี่คือบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเช่นกัน!
นี่ก็คือบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ!
เพียงแต่ผู้อ่านใช้วิธีเขียนซึ่งเกินจริง ทว่าแท้จริงแล้วละเอียดอ่อน เพื่อให้สอดคล้องกับจิตวิญญาณของต้นฉบับอย่างใกล้ชิด!
ในเวลานี้ เจตนารมณ์ของอี้อันได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าหลี่เจิ้งฮุยอย่างชัดเจน
ซุนหงอคงกำลังต่อต้านสวรรค์!
และจินฉานจื่อกำลังต่อต้านพระยูไล!
พวกเขาล้วนเกิดมาหัวขบถ!
แน่นอน
อย่าลืมว่านี่คือตำนานหงอคง
เรื่องราวของตัวละครหงอคง ยังเกิดขึ้นในเส้นเวลาอื่นด้วย
วานรตัวนี้ ในที่สุดก็ได้ออกเดินตามเส้นทางแห่งโชคชะตาของมันเอง….
นี่คือความกล้าหาญปานประหนึ่งถูกลิขิตไว้ก่อนออกเดินทางสู่ประจิมทิศ!
“ต้าเซิ่งจะไปที่ใดฤา”
“เหยียบนภาทิศใต้ ย่ำตำหนักหลิงเซียว”
“หากไปแล้วไม่อาจกลับมา?”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับมา”
นับตั้งแต่ซำจั๋งเผชิญหน้ากับพุทธองค์ หลี่เจิ้งฮุยก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เมื่อถึงเวลาที่เจตนาอันลุกโชนในการต่อต้านสวรรค์ของซุนหงอคงเปิดเผยออกมา หลี่เจิ้งฮุยก็ตบโต๊ะเอ่ยปากชมเปาะแล้ว!
“ดี!”
หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ!
จินวิญญาณแห่งบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศกำลังลุกโชติช่วง!
หากไปแล้วไม่อาจกลับมา? เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับมา!
แม้เขาจะพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้เพียงความเงียบงันในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น!
เขาได้กลายเป็นเซียน รับตำแหน่งปี้หม่าเวิน[1]บนสวรรค์ ทั้งยังได้พบกับแม่นางนามว่าจื่อสยา
จื่อสยากล่าว “บางทีทุกคนล้วนมีวังสวรรค์อยู่ในใจ มีชิ้นส่วนของความมืดมน ในส่วนลึกของความมืดมนมีผืนน้ำซึ่งสะท้อนเงาในจิตใจ จิตวิญญาณพำนักอยู่ที่นั่น แต่เมื่อบุคคลใดตัดสินใจเป็นเทพ ย่อมต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เขาต้องทำให้ไม่มีสิ่งใดบนผิวน้ำ มองไม่เห็นสิ่งใด และในช่วงเวลาอันเงียบงัน เขาจะกลายเป็นเซียน ทว่าในหัวใจนั้นว่างเปล่า รสชาติของมันเป็นเช่นใดเล่า”
จื่อสยาเป็นเทพธิดาที่ประหลาดเหลือเกิน
จื่อสยายังบอกอีกว่านางอยากไปดูเขาฮวากั่ว
นางจินตนาการว่าเขาฮวากั่วนั้นงดงามยิ่งนัก ซุนหงอคงก็บอกเล่าให้นางฟังเช่นนั้น
แต่เมื่อจื่อสยาได้เห็นเขาฮวากั่วจริงๆ จึงได้รู้ว่าซุนหงอคงโกหก
เขาฮวากั่วไม่ได้งดงามเลยสักนิด
ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยดินอันไหม้เกรียม ต้นไม้ซึ่งถูกเผาจนดำเมี่ยมแลดูประหนึ่งกรงเล็บอันดุร้ายซึ่งยื่นออกมาจากพื้นดิน หมอกดำหนาทึบปกคลุมทั้งพื้นที่ จนดวงตะวันถูกบดบัง
ภูเขาซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับสุสานนั้นไร้ชีวิตชีวา มีเพียงนกประหลาดแผดเสียงแหลมราวกับภูตผีกำลังกรีดร้อง
หากจะบอกว่านี่คือเขาฮวากั่ว ไม่สู้บอกว่านั่นคือนรกเห็นจะเหมาะกว่า
“เหตุใดเจ้าต้องหลอกข้าด้วย”
“เจ้าบอกว่าข้าหลอกเจ้า เช่นนั้นข้าก็หลอกเจ้า”
หลี่เจิ้งฮุยรู้สึกเศร้า
เขาคล้ายกับจะเข้าใจความจนใจของซุนหงอคง
บางทีนี่อาจเป็นบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศที่แท้จริงก็ได้
งานต้นฉบับมองข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาฮวากั่ว ราวกับเขาฮวากั่วไม่ได้รับความเสียหาย
ทว่าเมื่อลองคิดดูสักนิด ซุนหงอคงทำสงครามกับกองทัพขุนพลสวรรค์นับเรือนแสน เขาฮวากั่วจะปลอดภัยได้อย่างไร?
ความจริงคือที่นี่กลายเป็นผืนดินอันไหม้เกรียม แปรเปลี่ยนเป็นขุมนรกซึ่งสุนัขป่าเห่าหอนและภูตผีกรีดร้อง
ในขณะนี้ หลี่เจิ้งฮุยรู้สึกสงสารวานรตัวนี้
ซุนหงอคงยอมจำนนแล้วหรือ?
เขาคล้ายกับยอมจำนน แต่ก็คล้ายกับไม่ยอมจำนน
จื่อสยากล่าวว่า เทพเซียนไม่ได้มีความละโมบและชั่วร้ายมากเฉกเช่นปีศาจ
แต่ซุนหงอคงกลับถามว่า “หากเทพเซียนไม่ละโมบ ไฉนจึงไม่อาจทนต่อคำสบประมาทบนโลกโลกีย์ได้แม้แต่น้อย หากเทพเซียนไม่ชั่วร้าย ไฉนจึงต้องกุมชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนบนโลกไว้ในมือด้วยเล่า”
หลี่เจิ้งฮุยกำหมัดแน่น!
นั่นสิ ปีศาจในบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศล้วนแต่มีผู้อยู่เบื้องหลัง ส่วนปีศาจที่ไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังต่างถูกซุนหงอคงสังหารไปหมดแล้ว
เทพเซียนสูงส่งอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือ?
ในตอนนี้หลี่เจิ้งฮุยก็รู้สึกแบบเดียวกัน!
ท้ายที่สุดแล้ว ซุนหงอคงยังไม่ยอมจำนน!
ไม่เป็นที่ต้อนรับในสวนท้อสวรรค์ เป็นเพียงหนึ่งในชนวนซึ่งทำให้ซุนหงอคงอาละวาดวังสวรรค์
อันที่จริง ต้นตอที่แท้จริงนั้นสามารถสืบย้อนไปถึงความแตกต่างที่โดยเนื้อแท้ของเทพเซียนและภูตผีปีศาจ
ในงานเลี้ยงท้อสวรรค์
เพียงแค่อาเหยาเก็บผลท้อที่เล็กเกินไป ก็ถูกพระแม่หวังหมู่ขับไล่ไปยังโลกโลกีย์
อาเยวี่ยอ้อนวอนแทนอาเหยา แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
เทียนเผิงปรากฏตัว
เขาอุ้มอาเยวี่ย ก่อนจะเดินออกไปจากวังสวรรค์ราวกับไม่เห็นผู้คนโดยรอบ ในขณะนั้นเหล่าเทพเซียนล้วนตกตะลึง!
“นี่มันตือโป๊ยก่ายคนนั้นจริงหรือ?”
หลี่เจิ้งฮุยรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเขาชักจะเดือดพล่านขึ้นมา!
ใช่แล้ว!
ตือโป๊ยก่ายคืออดีตแม่ทัพเทียนเผิง!
ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นหมูได้ล่ะ
หมูที่ตะกละตะกลาม ขี้เกียจ และปลิ้นปล้อนหลอกลวง?
ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ ในอดีตชาติเคยเป็นแม่ทัพเทียนเผิงผู้กุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ในวังสวรรค์ได้ด้วยหรือ?
เขาควรจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้!
เขามีรูปลักษณ์เช่นนี้ต่างหาก!
ส่วนซุนหงอคงกลับพยุงอาเหยาขึ้นมา
เขาก่อกบฏ เช่นเดียวกับในต้นฉบับ เทพเซียนทั้งหลายไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งผู้ไร้เทียมทาน!
เขาพาอาเหยาไปยังเขาฮวากั่ว
ขุนพลและกองทัพสวรรค์ลงมาพิชิตวานร แต่เมื่อเหล่าปีศาจจากใต้พิภพขึ้นมาช่วย กลับถูกซุนหงอคงไล่กลับไปอย่างไร้ปรานี
เขาบอกว่า “นี่คือความแค้นระหว่างเทพเซียน”
เขาบอกว่าตนไม่ใช่ปีศาจ เขาอ้างตนว่าเป็นเทพเซียน เหยียบย่ำหัวใจของปีศาจตนอื่น แต่หลี่เจิ้งฮุยมองเห็นความเจ็บปวดภายใต้เปลือกนอกของวานรตัวนี้ได้อย่างชัดเจน
เขาเพียงแค่ไม่ต้องการลากผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง และฉายภาพซ้ำของโศกนาฏกรรมบนเขาฮวากั่วในอดีต
ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับศึกใหญ่ไว้มากนัก
แต่ด้วยการอ่านอย่างดื่มด่ำและเข้าถึง หลี่เจิ้งฮุยกำลังเลือดพลุ่งพล่าน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตำนานหงอคงเต็มไปด้วยไคลแม็กซ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างต่อเนื่อง!
เขาถูกเนื้อเรื่องเหล่านี้ดึงดูดไว้โดยสมบูรณ์!
“หากสวรรค์กดขี่ข้า ข้าจักผ่าสวรรค์นั้นให้แยกจากกัน หากปฐพีกักขังข้า ข้าจักเหยียบปฐพีให้แหลกลาญ เราต่างเกิดมาเป็นอิสระ ผู้ใดกล้าอ้างตนอยู่เหนือกว่า!”
ในภวังค์
หลี่เจิ้งฮุยประหนึ่งมองเห็นร่างอันโดดเดี่ยวของวานรผู้ไม่ยอมจำนนต่อให้ฟ้าดินไม่ก้มหัวให้ภูตผีปีศาจหรือเทพเซียน กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพสวรรค์โดยลำพัง
ที่จริงแล้วนี่คือพล็อตเรื่องจากต้นฉบับ
ทว่าแฟนฟิกชันเรื่องนี้ได้ขัดเกลาและเพิ่มเติมอีกหลายส่วน ทำให้ยิ่งเลือดเย็น และโศกเศร้า!
บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศของอี้อันช่างน่าสลดใจ!
ตอนสำคัญในตำนานหงอคง ได้ค่อยๆ เปิดฉากและตีแผ่ไปพร้อมกับเรื่องราวเมื่อห้าร้อยปีก่อน!
“โลกนี้ ข้าเคยมาเยือน ข้าเคยต่อสู้ ข้าเคยมีรักลึกซึ้ง ข้าไม่สนใจจุดจบ”
“ข้ามีความฝัน ข้าปรารถนาให้ยามที่ข้าเหาะขึ้นไป สวรรค์เปิดทางให้ข้า ยามที่ข้าลงทะเล ผืนน้ำแยกเป็นสองฝั่ง ยามที่เหล่าเทพเซียนเห็นข้า พวกเขาเรียกข้าว่าสหาย ไร้ความหวาดกลัวหรือกังวลใจ ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมข้าได้อีก ไม่มีผู้ใดที่ควบคุมข้าได้อีก ไม่มีที่ใดที่ข้าไม่เคยไปถึงอีก ไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่เคยทำอีก ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเอาชนะไม่ได้อีก!”
“ผ่านพ้นเคราะห์ลำเค็ญ เรียนรู้ที่จะไม่ยอมแพ้”
“ข้าถือกำเนิดมาแล้วอย่างไร? ไม่อาจหัวเราะเริงร่า ข้ามลายสิ้นแล้วอย่างไร? ความหยิ่งทะนงในใจไม่อาจลบล้าง!”
หลี่เจิ้งฮุยรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้กำลังเดือดพล่าน!
นี่คือซุนหงอคง!
ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าสวรรค์พิโรธได้ หากมนุษย์ฝ่าฝืนความยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ทว่าสวรรค์รู้บ้างหรือไม่ว่ามนุษย์ก็พิโรธได้เช่นกัน หากเขาผู้นั้นอับจนหนทาง ยามข้าอ้อนวอน เจ้าเย้ยเยาะ ยามข้าเจ็บปวด เจ้าเฉยเมย ยามนี้ข้าพิโรธแล้ว”
ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าสวรรค์พิโรธได้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสวรรค์ก็สั่นสะท้ายได้เช่นกัน? และยามสวรรค์สั่นสะท้าน ข้าจะหัวเราะลั่น โบกสะบัดกระบองทองสารพัดนึก ฟาดให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน นับจากนี้ไปอีกหมื่นปี พวกเขาจะจดจำชื่อของข้า ฉีเทียนต้าเซิ่งซุนหงอคง!”
ทว่าหลังจากเลือดร้อน อันที่จริงกลับมีความเหงาอันไร้ที่สิ้นสุด
เฉกเช่นคำรำพันของพระอาจารย์ผู่ถี “ข้าไม่อาจแก้ไขจุดเริ่มต้นใด เหตุใดจึงไม่ลืมจุดจบนั้นเล่า”
การต่อต้านของซุนหงอคงและจินฉานจื่อนั้นล้มเหลว
จะลืมการเดินทางสู่ประจิมทิศได้อย่างไร?
เมื่ออ่านจนถึงประโยคสุดท้าย ทฤษฎีสมคบคิดในการเดินทางสู่ประจิมทิศก็ถูกเปิดเผยในตำนานหงอคง
ข้อความต้นฉบับกล่าวประโยคหนึ่งไว้ถึงสองครั้ง “เมื่อระยะเวลาห้าร้อยปีเป็นเพียงฉากลวง เหตุใดบุคคลในช่วงเวลาอันว่างเปล่าจึงทุกข์และเหตุใดจึงสุขเล่า?”
เลือดอันเดือดพล่านของหลี่เจิ้งฮุยค่อยๆ เย็นลง
ทว่าจิตใจของเขากลับไม่ได้สงบลง
ราวกับมีบางอย่างทะลวงขึ้นจากผืนดิน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าอารัมภบทของนิยายพูดถึงอะไร
ที่แท้ทั้งศิษย์ อาจารย์ รวมไปถึงม้ามังกรขาวต่างมีความอัดอั้นตันใจ แต่กลับฝืนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ซุนหงอคงหลงลืมเรื่องราวต่างๆ เมื่อห้าร้อยปีก่อน แต่กลับมองดูอาทิตย์อันดงตามสัญชาตญาณ
การเดินทางสู่ประจิมทิศของภิกษุถัง เดิมทีเป็นภารกิจในการต่อต้านพระยูไล
ตือโป๊ยก่ายแสร้งทำเป็นโง่เขลาได้แยบยลที่สุด ทั้งที่เขาจดคำทุกเรื่องได้
ซัวเจ๋งก็จดจำทุกสิ่งได้เช่นเดียวกัน ทว่าเป้าหมายของเขานั้นชัดเจนมาโดยตลอด นั่นคือการทำภารกิจของวังสวรรค์ให้สำเร็จ รวมไปถึงต่อประกอบตะเกียงแก้วกลับมา และนำไปคืนให้กับพระแม่หวังหมู่
ส่วนมังกรขาวนั้น…
มาเพื่อภิกษุถังล้วนๆ
ดังนั้นนางจึงทำให้ฝนตกลงมายังเขาฮวากั่วในตอนท้าย
แม้จะรู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของนางจะฝ่าฝืนกฎแห่งสวรรค์ และไม่อาจย้อนคืนได้
นิยายเรื่องนี้แบ่งการบรรยายเป็นหลายย่อหน้า
สุดท้ายแล้วซัวเจ๋งวิปลาส กลายเป็นเพียงตัวตลก
ตือโป๊ยก่ายกอดกับอาเยวี่ยตายไปพร้อมกันในกองไฟ ด้วยสภาพจิตใจเฉกเช่นหมู
ท่ามกลางการบรรจบกันของมิติเวลาในตอนสุดท้าย ซุนหงอคงซึ่งกลายเป็นผู้พิทักษ์ในอีกห้าร้อยปีให้หลังได้สังหารวานรเมื่อห้าร้อยปีก่อน
นี่คือพญาวานรโสภาตัวจริงและตัวปลอม
อันที่จริงพวกเขาล้วนเป็นวานร
อันที่จริงวานรตัวนี้ได้ตายไปตั้งแต่ห้าร้อยปีที่แล้ว
เพียงแต่เขายอมตาย ดีกว่ายอมพ่ายแพ้
“ฉันเข้าใจแล้ว”
จู่ๆ หลี่เจิ้งฮุยก็กระจ่างขึ้นมาบ้าง
ซุนหงอคงและจินฉานจื่อ ‘พ่ายแพ้’ แล้ว แต่ขณะเดียวพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ
เขามองไปยังบทบรรยายย่อหน้าที่สองนับจากสุดท้าย ‘ใบไม้ปลิวหล่นลงสู่ผืนปฐพี เมล็ดพันธุ์หลับใหลอยู่ใต้ปุยหิมะขาว บุปผาผลิบานและร่วงโรยอย่างเร็วรี่ ท่ามกลางเงาของแสงที่ผันผ่าน แผนที่ดาวแปรเปลี่ยนชั่วกัปล์ ขุนเขาสูงตระหง่านจากท้องทะเล พืชพรรณเติบโตและเหี่ยวเฉาหลายชั่วอายุคน แต่มักมีต้นหนึ่งซึ่งตั้งตรงท้าแรงลม ทรหดเฉกเช่นบรรพบุรุษของพวกมัน’
จิตวิญญาณของการเดินทางสู่ประจิมทิศไม่ยอมจำนน
ที่แท้เมล็ดพันธุ์ ล้วนประจัดกระจายไปทั่วโลกมนุษย์
จะมีสักวันหนึ่ง ที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ยามที่เสียงคำรามบนเส้นขอบฟ้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซุนหงอคงพิงต้นไม้ไหม้เกรียม รอคอยอย่างเงียบเชียบ
ในชั่วขณะนั้น ท้องฟ้าอันมืดมิดถูกอัสนีบาตขนาดใหญ่แยกออก
ซุนหงอคงกระโดดขึ้นมา ชี้กระบองทองขึ้นฟ้า
“เข้ามาสิ!”
ร่างของเขาซึ่งส่องสะท้อนแสงอัสนีในยามนั้น ยังคงธำรงอยู่เป็นตำนานในอีกพันอีกหมื่นปีต่อมา
จะลืมการเดินทางสู่ประจิมทิศได้อย่างไร?
[1] ปี้หม่าเวิน คือชื่อตำแหน่งคนเลี้ยงม้า