บทที่ 855 หลี่จิ่วเต้า ‘เจ้ารู้จักบรรพจารย์ฝูหรือไม่’
พวกลั่วสุ่ยกลับมานานแล้ว ยามหลี่จิ่วเต้าก้าวออกมาจากห้อง แสงแดดส่องกำลังดี สายลมพัดโชยเบา ๆ หมู่เมฆลอยละล่อง
“พวกเจ้าคอยอยู่บ้านแล้วกัน”
หลี่จิ่วเต้าบอกลั่วสุ่ย “จริงสิ ข้ารู้สึกว่าปลาน้อยเจ็ดสีตัวนั้นฉลาดเฉลียว จิ้งจอกน้อยสีแดงและจิ้งจอกขาวก็ไม่เลว ลั่วสุ่ย เจ้าช่วยดูทีว่าพาพวกเขาก้าวสู่เส้นทางฝึกตน เริ่มการฝึกฝนด้วยได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
ลั่วสุ่ยเอ่ยยิ้ม ๆ งดงามเฉิดฉัน
นางติดตามคุณชายมานาน ไฉนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของคุณชาย
คุณชายอนุญาตให้มัจฉาสัตมายา จิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิง และจิ้งจอกขาวจำแลงกายเป็นมนุษย์แล้ว!
นางในอดีตก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังได้รับอนุญาตจากคุณชาย ก็จำแลงเป็นมนุษย์ภายใต้การ ‘ชี้นำ’ ของเซี่ยเหยียน
“ข้าขอออกไปลองกระบี่หน่อย…”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยจบก็เรียกกิเลนไฟมา ขี้นขี่บนหลังและออกจากลานเล็ก
“ประเสริฐ!”
หลังคุณชายออกจากลาน มัจฉาสัตมายาก็กระโจนขึ้นจากน้ำด้วยความตื่นเต้นยินดี
เมื่อไม่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ มันจำต้องอยู่แต่ในน้ำ ซ้ำยังไม่สามารถแสดงความผิดปกติต่อหน้าคุณชาย ทว่าหลังจำแลงเป็นมนุษย์แล้ว มันย่อมสะดวกขึ้นมาก!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มันสามารถพูดคุยกับคุณชาย ทั้งยังสามารถลิ้มรสอาหารเลิศรสต่าง ๆ ฝีมือคุณชาย ไม่ต้องถูกชางเหยาขู่กรรโชกอีกแล้ว!
“เห็นหรือไม่ คุณชายยังทนดูไม่ไหว คอยช่วยข้าอยู่!”
มันเอ่ยต่อชางเหยาด้วยความลำพอง “จากนี้ไป เจ้าไม่อาจยั่วน้ำลายข้าด้วยอาหารรสเลิศของคุณชายอีกแล้ว!”
ชางเหยาร้ายกาจมาก ทุกครั้งหลังคุณชายปรุงอาหารอันโอชะเสร็จ ชางเหยาจะนำอาหารจำนวนหนึ่งมายั่วให้มันน้ำลายสอ หลังจากนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว มันเองก็มีสิทธิ์กินข้าวบนโต๊ะ!
“เหอะ!”
ชางเหยาแค่นเสียงด้วยความขุ่นเคือง แก้มกลม ๆ นั้นดูน่ารักเป็นพิเศษ เห็นแล้วชวนให้หยิกสักครา
“สหาย ขอบคุณเจ้ามาก! ขอบคุณการมาเยือนของเจ้า ช่วยให้ข้าไม่ต้องโดนมีดเฉือนมาหลายวันแล้ว!”
ภายในบ่อน้ำ ปลาหมึกโผล่หัวขึ้นมา เอ่ยกับอสูรปริภูมิเวลาซึ่งถูกโซ่ตรวนอยู่ในมุมหนึ่ง
ก่อนนี้หลังหลี่จิ่วเต้าจบการเดินทางและกลับมายังลานเล็ก ก็ได้ปล่อยปลาหมึกออกจากขวดหยกพิสุทธิ์ นำมาเลี้ยงไว้ในบ่อ
เขาไม่กลัวปลาหมึกจะเพ่นพ่านหนีไปที่อื่น เพราะเคยให้สุนัขดำคอยจับตาดูปลาหมึกไว้
ความสามารถของสุนัขดำแข็งแกร่งกว่าปลาหมึกมากนัก
และระหว่างนี้อย่าให้เอ่ยเลยว่าชีวิตของปลาหมึกสดชื่นปานใด น้ำในบ่อมิใช่น้ำธรรมดา เหลือเชื่ออย่างยิ่ง!
มันใช้ชีวิตในบ่อน้ำ เป็นผลให้ขอบเขตพลังยกระดับขึ้นอย่างว่องไว
โดยเฉพาะหลังคุณชายพาอสูรปริภูมิเวลากลับมา มันยิ่งกระปรี้กระเปร่าเข้าไปใหญ่ ไม่ถูกมีดเฉือนมานมนาน ผู้ที่ต้องโดนกลับกลายเป็นอสูรปริภูมิเวลา
โฮก!
อสูรปริภูมิเวลาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถลึงตาใส่ปลาหมึกพลางเอ่ยเสียงเคียดแค้น “อย่าได้ผยองเกินไปนัก วันหน้าพวกเจ้าได้มีวันร่ำไห้แน่! รากฐานปริภูมิเวลาของเรามิได้ดาษดื่นอย่างที่พวกเจ้าคิด! อย่านึกว่าหวังพึ่งหลี่จิ่วเต้าผู้นั้นแล้วจะต่อกรกับปริภูมิเวลาของเราได้ น่าขัน!”
มันเป็นตัวตนระดับใด เหนือขอบเขตนิรันดร์ขึ้นไปแล้ว สุดท้ายกลับถูกหลี่จิ่วเต้าจับตัวมาขังไว้ในลานเล็ก กลายเป็นวัตถุดิบสดใหม่
คราวหลี่จิ่วเต้าอยากกินเนื้อก็จะมาเฉือนมัน แม้ว่าสำหรับยอดฝีมือระดับมันการถูกเฉือนเนื้อจะมิใช่เรื่องใหญ่ ไม่อันตรายถึงชีวิต และไม่ทำให้มันรู้สึกเจ็บด้วย
แต่นี่เป็นเรื่องน่าอดสูยิ่งนัก!
“วางมาดอะไร! เจียมตัวหน่อย!”
สุนัขดำก้าวเข้ามา ตบศีรษะอสูรปริภูมิเวลาด้วยกรงเล็บ “สมบัติอันน้อยนิดของพวกเจ้าปริภูมิเวลาน่ะหรือ พอให้เหลียวมองที่ไหน!”
อสูรปริภูมิเวลาโมโหโทโส
ก่อนนี้มีปลาหมึกเรียกมันว่าสหาย ต่อมามีสุนัขดำตบหัวมัน มันอยากฉีกปลาหมึกและสุนัขดำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหลือเกิน!
ตัวบ้าอะไรกัน!
เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ปลาหมึกและสุนัขดำต้อยต่ำยิ่งกว่าแมลงอ่อนแอ แต่กลับกล้าปฏิบัติต่อมันเช่นนี้ พยัคฆ์ตกอับถูกสุนัขรังแก โมโหจริง ๆ!
ทว่าโมโหส่วนโมโห มันกลับทำอะไรมิได้ พลังของมันถูกสะกดไว้หมด ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ออกมาเลยสักนิด!
‘ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น ถึงเวลาเมื่อใด ยามกองทัพปริภูมิเวลาของมันบุกมา พวกเจ้าต้องตายกันหมด!’
มันคำรามกราดเกรี้ยวในใจ
เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่าย ๆ แน่ ถึงคราวกองทัพปริภูมิเวลารุกรานมาเต็มกำลัง มันจักต้องให้หลี่จิ่วเต้า ปลาหมึก สุนัขดำ และสิ่งมีชีวิตตนอื่น ๆ ได้ชดใช้อย่างสาสมแน่!
…
หลี่จิ่วเต้าขี่กิเลนไฟออกจากเมืองชิงซาน มาอยู่ที่ริมลำธาร
ต้นหลิวและก้อนหินกลับมานานแล้ว เขามองลวดลายที่เคยวาดให้ก้อนหินด้วยความพึงใจ น่ามองกว่าก่อนนี้ที่โล้น ๆ มาก
สุดท้าย เขาขี่กิเลนไฟจากไป มาอยู่ยังสถานที่ปลอดคน กิเลนไฟพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เผยร่างจริงออกมาในชั้นเมฆ
ก่อนนี้ กิเลนไฟคงรูปลักษ์ม้ามังกรเรื่อยมา
กิเลนไฟบินทะยานอยู่บนหมู่เมฆด้วยความเร็วสูง ก่อนนี้หลี่จิ่วเต้าท่องไปทั่วอาณาจักร จึงคุ้นเคยกับสถานที่ต่าง ๆ มาก
เขาสั่งให้กิเลนไฟมายังทะเลทรายแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีทรายเหลืองเต็มไปหมด มองออกไปไม่เห็นที่สิ้นสุด ถือเป็นสถานที่ปลอดคน มองมิเห็นร่องรอยมนุษย์สักนิด
เหมือนว่ากระบี่ฉุนจวินมีปัญหาบางอย่าง เขากลัวจะเกิดอุบัติเหตุเกินการควบคุมจนมีการบาดเจ็บล้มตาย ถึงได้พยายามออกห่างจากมวลมนุษย์ให้ไกลที่สุด
หากเป็นที่นี่ ย่อมไม่มีปัญหา
ทะเลทรายแห่งนี้ใหญ่มาก ต่อให้เกิดอุบัติเหตุเกินควบคุมจริง ๆ ก็มิมีการบาดเจ็บล้มตาย
เขานำกระบี่ฉุนจวินออกมา สะท้อนใจไปว่ากระบี่เล่มนี้ช่างประณีตงดงามยิ่งนัก ก่อนจะตวัดเบา ๆ แสงกระบี่นับคณาพลันปะทุออกมา
‘เหมือนว่ามิมีปัญหาอันใด สามารถใช้ได้ปกติ…’
หลี่จิ่วเต้าตาเป็นประกายและคิดในใจ
เขากระชับกระบี่แล้วฟาดฟันออกไป แสงกระบี่เจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งออกไป พสุธาแยกออกจากกัน ทรายเหลืองลอยฟุ้งเดือดพล่าน รอยแยกลึกมองไม่เห็นที่สิ้นสุดปรากฏ แบ่งทะเลทรายแห่งนี้เป็นสอง!
“ทรงพลังจริง ๆ!”
เขาสะท้อนใจ กระบี่เล่มนี้ไม่เลวเลย เมื่อครู่เขาเพียงตวัดกระบี่ฉุนจวินเบา ๆ เท่านั้นยังมีพลังน่าพรั่นพรึงปานนี้ หากเขาออกแรงฟาดฟัน ไม่รู้ว่าจะน่ากลัวขนาดไหน!
“ไม่มีปัญหานี่…”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อย ๆ คิดไม่ตกนิดหน่อย ยามนี้ดูแล้วกระบี่ฉุนจวินมิได้มีปัญหาสักนิด ปกติสุด ๆ
ทว่าเมื่อครั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนั้น เหตุใดการโจมตีจากกระบี่ฉุนจวินถึงแตกพ่ายในพริบตา คล้ายว่าเกิดปัญหาบางอย่าง
‘หรือเพราะเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์ฝู’
เขานึกถึงบรรพจารย์ฝูขึ้นมา
เขากับบรรพจารย์ฝูมีวาสนาต่อกัน และเกี่ยวพันกันด้วยบ่วงกรรมบางอย่าง ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนต่างให้ความสำคัญกับบ่วงกรรมเช่นนี้ ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจเพียงใดก็ยิ่งให้ความสำคัญ ยำเกรงต่อบ่วงกรรมเป็นหนักหนา
บางทีอาจเพราะกระบี่ฉุนจวินเล่มนี้สัมผัสถึงบ่วงกรรมระหว่างเขาและบรรพจารย์ฝูถึงมิกล้าทำร้ายเขา กลัวจะกระทบไปถึงบรรพจารย์ฝู แล้วกลายเป็นปัญหาใหญ่!
‘คงเป็นเช่นนั้นแน่!’
หลี่จิ่วเต้าใคร่ครวญดูอย่างละเอียด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าความจริงต้องเป็นเช่นนี้
‘บรรพจารย์ฝูเก่งกาจจริง ๆ ไร้เทียมทานในใต้หล้า!’
เขาเอ่ยในใจด้วยความสะท้อนใจเหลือแสน
เพียงเพราะเขามีบ่วงกรรมเกี่ยวพันกับบรรพจารย์ฝูนิดหน่อยเท่านั้น กระบี่ฉุนจวินยังยำเกรงปานนี้ มิกล้าแตะต้องเขา บรรพจารย์ฝูช่างกล้าแกร่งเหลือเกิน!
‘จากนี้ไป หากได้เจอศัตรูที่สู้มิได้ แล้วข้าตะโกนว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์ฝูจะทำให้ศัตรูกลัวจนขี้หดตดหายได้หรือไม่?!’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
เขารู้สึกว่าบรรพจารย์ฝูเก่งกาจอย่างยิ่ง ต้องมีชื่อเสียงระบือนามเป็นแน่
หากเผชิญกับศัตรูที่มิอาจต่อกร ก็สามารถลองดูได้
…
ณ ดินแดนฮวง
บนเกาะกระจิริดกลางทะเลแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีค่ายกลอำพรางสลักไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่อาจมองเห็นเกาะแห่งนี้จากข้างนอกได้เลย นอกเสียจากเป็นยอดฝีมือขอบเขตสูงส่งเท่านั้นจึงจะจับสัมผัสได้
ริมทะเล บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง บรรพจารย์ฝูกำลังเอนกายอาบแดดอย่างสบายอุรา
“ฮัดชิ่ว!”
ทันใดนั้น เขาจามอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“ผู้ใดบ่นถึงข้ากัน”
เขาลูบจมูกไปมาด้วยสังหรณ์ใจไม่ดี คล้ายว่ามีบ่วงกรรมบางอย่างตกกระทบหัวเขา
“อย่าเล่นงานข้าอีกเลยพี่ชาย!”
เขาอยากร่ำไห้ ลางสังหรณ์ที่ผุดขึ้นในใจเลวร้ายจริง ๆ
หากมีบ่วงกรรมตกกระทบหัวเขา ย่อมต้องมิใช่บ่วงกรรมดี ๆ แน่
“ข้าปกปิดชื่อเสียงเรียงนาม ซ่อนตัวอยู่บนเกาะนี้มานมนาน ผู้ใดหมายหัวข้าอยู่กันนี่”
เขาเอ่ยด้วยความอยากร้องไห้
หลังจากเสียท่าหลายต่อหลายครั้งเมื่อก่อนหน้า เขาหมดอาลัยตายอยากแล้วอย่างแท้จริง ไม่เหลือความมุ่งมั่นอันใดอีก คิดแต่อยากซ่อนตัว ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวภายนอกอีก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าชะตากรรมยังไม่ยอมปล่อยเขาไป…
“ข้าเหนื่อยแล้วจริง ๆ อย่าเล่นงานข้าอีกเลย ปล่อยข้าไปเถิด!”
เขาเอ่ยอย่างน่าเวทนา ปรารถนาเพียงบ่วงกรรมใด ๆ อย่ามาข้องแวะกับเขาอีก
…
ณ ดินแดนหยิน ทะเลทราย
หลี่จิ่วเต้าทดลองอีกหลายครา พบว่ากระบี่ฉุนจวินเล่มนี้ไม่มีปัญหาจริง ๆ และมีประสิทธิภาพเป็นปกติ
“บรรพจารย์ฝูทรงพลังยิ่ง!”
เขายิ่งมั่นใจว่าบรรพจารย์ฝูผู้นี้เก่งกล้าอย่างแท้จริง กระบี่ฉุนจวินมิกล้าลงมือกับเขาเพราะบ่วงกรรมที่เชื่อมโยงเขาและบรรพจารย์ฝูไว้จริง ๆ
“ลองเหินดูหน่อย!”
ดวงตาเขาวาวโรจน์ ฉากสำคัญมาแล้ว
ที่เขาปรารถนากระบี่ฉุนจวินถึงเพียงนี้ เพราะอยากเหินกระบี่เฉกเช่นเซียนกระบี่ ทะลุทะลวงอยู่บนหมู่เมฆตามที่ต้องการ!
จากนั้นเขาปล่อยมือจากกระบี่ฉุนจวิน ให้กระบี่ฉุนจวินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
สมเป็นกระบี่วิเศษ สามารถเคลื่อนไหวได้ตามห้วงนึกคิดของเขา กระบี่ฉุนจวินค้างเติ่งอยู่กลางอากาศจริง ๆ
จากนั้น หลี่จิ่วเต้าตั้งจิตให้กระบี่ฉุนจวินโรยตัวลงมา แล้วก้าวขึ้นไปบนนั้น
“ไปเลย!”
ชายหนุ่มตื่นเต้นนิดหน่อย ความฝันในอดีตกำลังเป็นจริง เขาได้เหินกระบี่แล้ว!
ขณะควบคุมด้วยกระแสจิต กระบี่ฉุนจวินก็พาเขาเหินขึ้นไป!
เริ่มแรกเขายังมิได้ใจกล้าเท่าใด ขอให้กระบี่ฉุนจวินพาเขาเหินในความสูงระดับล่างเท่านั้น เขาเหินอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้รอบแล้วรอบเล่า
กระบี่ฉุนจวินมั่นคงอย่างยิ่ง เขาคุ้นเคยขึ้นเรื่อย ๆ และใจกล้ามากขึ้น ลองเหินบนท้องฟ้าระดับสูงแล้ว
รอบแล้วรอบเล่า เขาตื่นเต้นจนหยุดมิได้เลย การเหินกระบี่อภิรมย์ยิ่งนัก เปรมปรีดิ์กว่าการขี่บนหลังกิเลนไฟท่องชั้นเมฆเสียอีก!
สุดท้ายเขาเหินจนหนำใจแล้ว ถึงกลับลงมายังทะเลทรายอีกครั้ง
เขาต้องบอกกิเลนไฟก่อนว่าจะกลับบ้านแล้ว
ทว่าเวลานั้นเอง ในร่องลึกที่เขาฟันไว้กลับมีสุ้มเสียงประหลาดดังออกมา เสียงนั้นดังกึกก้องเป็นหนักหนา
จากนั้น สิ่งมีชีวิตมโหฬารตนหนึ่งพุ่งออกจากร่องลึก
นี่คือแมงมุมตัวยักษ์ใหญ่ดำทะมึนทั้งตัว กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ขยายอยู่รอบ ๆ
“เจ้ามนุษย์เดนตาย เจ้ารบกวนการนอนของข้า!”
มันจ้องมองหลี่จิ่วเต้าด้วยสายตามุ่งร้าย
“เจ้ารู้จักบรรพจารย์ฝูหรือไม่”
หลี่จิ่วเต้ามองแมงมุมตัวนั้นพลางเอ่ยปากถาม
เขากล่าวถึงชื่อบรรพจารย์ฝู เพื่อดูว่าบรรพจารย์ฝูมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ปานใด!