“ไม่มีคนอยู่เลยจริงๆสินะ…..”
ผมเปิดประตูทางเข้า และมองเข้าไปภายในห้องสมุดอันอ้างว้าง
ตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารเที่ยงไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครมาใช้บริการห้องสมุดเช่นเคย
(ก็นะ ไม่มีคนอยู่มันก็ดีกว่าแล้วอยู่ล่ะนะ)
เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาของเบเรต์คนก่อนค่อนข้างจะน่าสิ้นหวังไปหน่อย การที่ได้อยู่ในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านย่อมทำให้ผมสบายใจกว่าเป็นไหนๆ
“เอาล่ะ ก่อนอื่นก็หาตัวลูน่าก่อนเลยแล้วกัน”
มีอยู่สองเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมาห้องสมุด
ประการแรกคือ คืนหนังสือที่ยืมไปเมื่อวาน
ประการที่สองคือ ให้ลูน่าแนะนำหนังสือเล่มใหม่ให้
นิยายที่ลูน่าแนะนำมาเมื่อวานพออ่านดูแล้วผมคิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับผมมันก็สนุกดีเหมือนกัน
ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่จะไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือของลูน่า แต่ผมก็ตั้งตารอนิยายเรื่องต่อไปที่เธอจะแนะนำให้จริงๆ
(ไว้ค่อยมาคืนตอนก่อนกลับก็ได้มั้ง…ไปหาลูน่าก่อนดีกว่า เอ…น่าจะอยู่ชั้นสองล่ะมั้ง)
เมื่อวานผมก็เจอลูน่าตอนอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นสองด้วยสิ มีความเป็นไปได้ที่เธอจะอยู่ชั้นสองเหมือนเดิม
“หวังว่าลูน่าจะอยู่ชั้นสองนะ…”
ห้องสมุดของโรงเรียนค่อนข้างกว้าง พื้นที่ใหญ่ขนาดที่ว่าถ้าเล่นซ่อนแอบก็ต้องหากันทั้งวันแน่
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินขึ้นบันไดมุ่งหน้าไปชั้นสองพร้อมคิดในหัวว่า ‘วันนี้ก็เอานิยายแนวโรแมนติกเหมือนเดิมดีกว่า’
และชั่วขณะนั้นที่กำลังก้าวเข้าสู่ชั้นสองพอดี
“……อะ”
“หืม?”
ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงทุ้มตํ่าเล็กน้อย
เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็สบตากับนักเรียนชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
เขามีผมสีแดงเพลิงนัยน์ตาสีม่วงงดงาม ลักษณะคล้ายๆเอเลน่า
(อะ อาเร๊ะ? เด็กคนนี้ดูแล้วรู้สึกคุ้นๆจังเลยแหะ เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่านะ)
ผมรับรู้ได้ถึงความทรงจำอันคลุมเครือของเบเรต์
ระหว่างนั้นผมก็สบตากับเขาบรรยากาศเงียบกริบ ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดก็ยังคงดำเนินต่อไป
(อ่า เป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่ ผมไม่รู้จักเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักผมนะตอนเจอเมื่อกี้ก็เขาก็อุทานว่า ‘อะ’ ด้วยสิ แถมยังจ้องมาทางนี้ตลอดเวลาเลยด้วย)
ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรขนาดนั้นหรอกนะแต่ว่า ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ผิดแน่
ใจเย็นไว้ตัวฉัน จะทำตัวหยาบคายไม่ได้เด็ดขาด ผมคิดและเริ่มทักทายก่อน
“สวัสดียามบ่ายครับ”
ผมทักทายอย่างใจเย็นตีเนียนให้เหมือนกับว่ารู้จักเขาไว้ก่อน
*****
“ส สวัสดีตอนบ่ายครับ…..ท่านเบเรต์”
คนที่กำลังคุยกับเบเรต์ก็คืออลันที่หัวใจกำลังเต้นโครมคราม สัญชาตญานของเขากำลังกู่ร้องว่า ‘ชิบหายแล้วว’
(ท ท ท ทะ ทำไม….ทำไมลูกชายของท่านมาร์ควิสถึงมาอยู่ในที่แบบนี้กัน!?)
ไม่มีข้อมูลว่าท่านเบเรต์เคยมาห้องสมุดมาก่อน
จากมุมมองของอลัน เขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
“เวลาแบบนี้ก็ยังเรียนอยู่อีกเหรอ? ขยันจังนะ”
“ม -ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ..! ”
อลันโบกมือปฏิเสธและค่อยๆก้าวถอยหลังอย่างช้าๆและระมัดระวัง
(ม ไม่ไหว ถึงเมื่อคืนท่านพี่จะบอกว่าอย่าปักใจเชื่อข่าวลือพวกนั้นก็เถอะ แต่อิแบบนี้ไม่ไหวจริงๆงะ ก็แรงกดดันมัน…..)
เบเรต์เดินเข้ามาใกล้อลันด้วยรอยยิ้มสยอง?บนใบหน้า เป็นเหตุทำให้อลันหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
เบเรต์ทำหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ‘ฉันรู้จักแกนะไอ้เวร จะหนีไปไหนห๊ะ’ และค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้วว
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกน่า กำลังเรียนเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”
“อะ เอ่อ เรื่องการบริหารธุรกิจครับ”
“การบริหารธุรกิจ!? เห….การบริหารธุรกิจงั้นเหรอ”
“อะ ครับ เพราะมีเรื่องที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่เยอะเลยครับ….”
(คนๆนี้ น-น่ากลัวชะมัดเลย ขอร้องล่ะช่วยรีบกลับไปเร็วๆทีเถ๊ออ แถมยังไม่มีใครอยู่แถวนี้ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็…อึ๋ยย ตายแน่ๆๆ)
ความรู้สึกสั่นกลัวเริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
อลันพยายามระดมความคิดอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะไม่ทำให้ท่านผู้นี้หงุดหงิดเป็นอันขาด
“การบริหารธุรกิจเนี่ยค่อนข้างยากเลยเนอะ ว่ามั้ย?”
“อะ ผ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกั๊น…! ”
“ที่จริงแล้วน้องชายของคนรู้จักฉันก็กำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการบริหารเหมือนกัน ขอโทษที่รบกวนเวลาเรียนนะ แต่ว่าขอยืมสมุดโน้ตนั่นหน่อยได้ไหม?”
“…..”
(ถ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พอให้ยืมแล้วก็จะฉีกทึ้งสมุดโน้ตของผมใช่มั้ยล่ะ!? ต..แต่ ผมรู้นะ ข่าวลือเกี่ยวกับคุณน่ะ! ไม่ยอมหลงกลง่ายๆหรอกนะ! )
แต่ทว่า
“ไม่ได้เหรอ?”
“ม ม -ไม่ครับ!! ช..เชิญเลย! ”
(ถึงจะรู้อย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่า ไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้เด็ดขาด ถ้าปฏิเสธล่ะก็ซี้แหงแก๋!! )
มันก็เหมือนกับกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับธรรมชาติเพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์นักล่า
มันคือสัญชาตญานในการเอาตัวรอด
ผมยื่นสมุดโน้ตที่เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ผมตั้งใจค้นคว้ามาอย่างยากลำบากให้ท่านเบเรต์ด้วยมือที่สั่นพับๆๆไม่หยุด
แต่ทว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้กลับต่างจากที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
“โทษทีนะที่จู่ๆก็ขอยืม ขอบคุณนะ”
“เอ๊ะ!?”
อลันเห็นท่านมาร์ควิสก้มหัวให้
(เอ๊ะ? ม-เมื่อกี้ ขอโทษเหรอ? แล้วยังขอบคุณอีก! ท่านเบเรต์คนนั้นเนี่ยนะ…!? )
ไม่ได้หูฝาดไปหรอกนะ ราวกับจะพิสูจน์คำพูดนั้น ชายตรงหน้าก็ค่อยๆพลิกหน้ากระดาษอ่านเนื้อหาในสมุดอย่างระมัดระวัง
ภาพนั้นมันน่าตกใจเกินไปจนเหมือนจู่ๆก็โดนค้อนปอนด์หนักๆฟาดเข้ามาที่กลางกระหม่อม
เบเรต์กำลังอ่านสมุดโน้ตอย่างตั้งใจ ในขณะที่อลันช็อกนิ่งไปแล้ว
“นี่นายเรียนเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้วงั้นเหรอ?”
“ตั้งแต่ ม.ต้นแล้วล่ะ….ครับ”
“ต ตั้งแต่ ม.ต้น เลยเหรอ!?”
“อะ ครับ….”
(อาา เขาคงจะบอกว่า ‘อย่างแกน่ะไม่ไหวหรอก’ สินะ…)
ถ้าตามปกติเบเรต์คงจะพูดแบบนั้น แต่ว่า
“นี่มันสุดยอดไปเลยนะโน้ตนี่น่ะ แค่ฉันอ่านผ่านๆก็รู้เลยว่านายพยายามมามากขนาดไหน ”
“เอ๊ะ….”
“เนื้อหาที่จัดระเบียบไว้เป็นอย่างดี และไฮไลท์ข้อความสำคัญๆไว้ด้วยทำให้อ่านง่ายขึ้นแล้วยังโน้ตส่วนสำคัญๆไว้ครบถ้วนเลยด้วย ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็คงจดโน้ตดีๆแบบนี้ไม่ได้แน่ๆเลยล่ะน้า…”
“….”
เบเรต์ที่พูดด้วยสีหน้าจริงจังทำเอาผมอึ้งจนพูดไม่ออก ผมสัมผัสได้ว่าเขาชมผมจากใจจริง ไม่ใช่ในแบบประจบประแจงหรือประชดประชันแน่ๆ
“ถ้านายเรียนรู้มาได้เยอะขนาดนี้ ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วล่ะมั้ง ถึงเนื้อหามันจะดูกว้างไปหน่อยก็เถอะ ”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ…..”
“เหรอ? ฉันเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าความพยายามของนายจะไม่สูญเปล่าแน่นอน ขอบคุณสำหรับโน้ตนะ”
“ม ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่พูดไปตามความรู้สึกน่ะ หวังว่าน้องชายของคนรู้จักฉันจะพยายามได้เหมือนนายก็ดีสิน้า…”
ทัศนคติของเบเรต์ต่างไปจากที่อลันจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง เบเรต์ที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่มีความหยิ่งผยองหรือเอาแต่ใจเลยแม้แต่น้อย แถมเขาดูจะเป็นห่วงน้องชายของคนรู้จักคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจเลยด้วย
(หรือว่า ที่ท่านพี่พูดจะเป็นความจริงกันนะ….)
‘…เป็นคนที่ใช้ได้อยู่นะ เขาน่ะ เป็นคนใจดีอย่างน่าประหลาดเลยล่ะ’
‘จะว่าไงดีล่ะ เบเรต์ค่อนข้างจะเป็นคนที่น่าสงสารนะ พี่เดาว่าน่าจะต้องมีขุนนางบางกลุ่มที่ต้องการลดทอนอำนาจมาร์ควิสของเขาแน่ๆเลยกุข่าวลือแย่ๆที่ดูเกินจริงมากมายขนาดนั้น’
อลันนึกถึงคำพูดที่ท่านพี่พึ่งพูดไปเมื่อคืนขึ้นมา
“ยังไงก็เถอะ เรื่องที่นายกังวลนี่มันเป็นเรื่องตั้งแต่รากฐานเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ร รากฐาน…เหรอครับ?”
“อื้อ อย่างคอนเซปเรื่องแผนการขาย ฯลฯ อะไรพวกนั้น เห็นนายหาข้อมูลต่างๆในขอบเขตค่อนข้างกว้างเลยนะ แต่กลับไม่มีข้อมูลขั้นพื้นฐานของเรื่องนั้นๆเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เอ๊ะ!?”
“อะฮ่าๆ ฉันพูดถูกใช่มั้ยล่ะ? นี่คือสิ่งที่ฉันคิดตอนที่ได้เห็นโน้ตของนายเมื่อกี้นี้ไงล่ะ”
เมื่อเบเรต์พูดอย่างนั้น อลันก็ยิ้มให้เขาน้อยๆ และความกลัวก็อันตรธานหายไปจากใจของเขา
และความรู้สึกที่ว่า ‘บางทีฉันอาจพึ่งพาท่านผู้นี้ได้..’ ก็เข้ามาในหัวแทน
“อะ เอ่อ..ท่านเบเรต์ครับ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร คุณช่วยรับฟังสิ่งที่ผมคิดอยู่หน่อยได้มั้ยครับ…”
ถ้ากล้าถามตั้งแต่แรกก็คงจะสบายไปนานแล้ว
“เอ๊ะ? อ่าา ได้สิ ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะช่วยได้มากแค่ไหนก็เถอะ ถ้าไม่รังเกียจก็ว่ามาเลย”
“…ข ขอบคุณมากเลยครับ!”
“ถ้างั้นฉันจะนั่งตรงนี้นะ”
“อะ เดี๋ยวผมขยับเข้าอี้ให้นะครับ!”
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องแค่นี้เองเดี๋ยวฉันทำเอง”
“……อา”
อลันได้ตระหนักถึงคำพูดของพี่สาวของตนยิ่งกว่าเดิม ทุกคำพูดที่พี่สาวของเขาพูดล้วนเป็นความจริงอย่างแน่นอน
(ขอประทานอภัยจริงๆครับที่ผมเข้าใจผิด ผมผิดไปแล้ว ขอโทษจริงๆครับบบบ…)
อลันขอโทษเบเรต์จากก้นบึ้งของหัวใจ และเผชิญหน้ากับเบเรต์ด้วยสีหน้าจริงจัง
—ขณะที่ชายหนุ่มสองคนที่ไม่รู้จักกันกำลังหันหน้าเข้าหากัน
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชะโงกหัวแอบมองเธออยู่นะจ๊ะอยู่ที่มุมมืดของห้องสมุด มีหนังสือและสมุดโน้ตการบริหารธุรกิจมากมายอยู่ที่มือของเธอ
TN: เย็นนี้อาจจะได้อีกตอนนะครับ รีบแปลให้พ้นช่วงน่าเบื่อแบบนี้แล้วรีบมุ่งสู่โมเม้นจั๊กจี้หัวใจกันดีกว่า! เร็ททโกกกก!!