ตอนที่ 881 ไม่แน่ใจ
หลินม่ายขับรถกลับไปที่ตรอกเสี่ยวหยางและจอดรถไว้ที่ประตู
ขณะกำลังจะอุ้มลูกน้อยที่อยู่บนเบาะที่นั่งผู้โดยสาร ประตูก็เปิดจากด้านใน
ฟางจั๋วหรานออกมาจากบ้าน
เขาห่อทารกที่กำลังหลับอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์
ทั้งคู่ขึ้นไปที่ชั้นสามและเข้าไปในห้องของพวกเขา
ฟางจั๋วหรานเทน้ำอุ่นลงในอ่างและขอให้หลินม่ายล้างมือและใบหน้าของเธอ
เด็กน้อยรู้สึกตัวแล้วในเวลานี้ เขานอนอยู่บนเตียง มองหลินม่ายที่กำลังเอียงศีรษะพร้อมส่งเสียงอ้อแอ้
หลินม่ายรู้ว่าเขาต้องการกินนม จึงให้นมเขาทันทีหลังจากล้างมือและหน้า
ฟางจั๋วหรานแตะศีรษะของทั้งแม่และลูกก่อนจะลงไปที่ห้องครัวชั้นล่างเพื่อทำเกี๊ยวให้หลินม่าย
ขณะนี้ยังเช้าอยู่ แต่น้าถูตื่นแล้วและกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นกับปู่ฟางและยายฟาง
เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานเข้าไปในครัว หล่อนจึงรีบถาม “คุณหมอฟาง ต้องการทำอาหารอะไรให้ม่ายจื่อคะ? บอกป้ามาได้เลยนะคะ ป้าจะทำให้”
ฟางจั๋วหรานไม่ค่อยเข้าครัว แต่ทุกครั้งที่เข้าครัว เขาก็มักจะเตรียมของอร่อยให้หลินม่ายเสมอ น้าถูไม่ต้องการให้เขาเหนื่อยล้าจึงเอ่ยถามอาสาจะเป็นผู้ทำให้
ฟางจั๋วหรานโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำเอง” หลังจากพูดจบ เขาก็เข้าไปในครัว
เขาชอบทำอาหารให้ภรรยาด้วยฝีมือตัวเอง เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก
หลังจากที่หลินม่ายให้นมลูกชายของเธอเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ปรุงเกี๊ยวเสร็จและนำขึ้นมาให้เธอกินในขณะที่ยังร้อนอยู่
หลินม่ายยื่นทารกน้อยให้เขาพร้อมร้องขอให้ช่วยอุ้มลูกให้เรอ
เธอหยิบชามเกี๊ยวขึ้นมาและตักเข้าปาก
แม้ว่าทักษะการทำอาหารของฟางจั๋วหรานจะด้อยกว่าเธอมาก แต่ก็ถือว่ายังกินได้อยู่
ไส้เนื้อในเกี๊ยวนั้นสดใหม่และอร่อยมาก
หลินม่ายไม่ได้รู้สึกหิวมากนักในตอนนี้ ดังนั้นเกี๊ยวอุ่น ๆ ชามหนึ่งจึงกำลังพอดีสำหรับเธอ
ฟางจั๋วหรานตบหลังของลูกชายเพื่อกระตุ้นให้เขาเรอ และในขณะเดียวกันก็ถามว่าการแต่งงานระหว่างไป๋เซี่ยและเฝิงเยว่จู๋เป็นอย่างไรบ้าง
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วถาม “ตระกูลเฝิงค่อนโลภมากจริงๆ คิดจะฉวยประโยชน์จากคุณด้วย โชคดีที่ไป๋เซี่ยมีเหตุผลและไม่ฟังคำยุยงของครอบครัวเฝิง มิฉะนั้นหากคุณไม่ซื้อบ้านให้เขา ความสัมพันธ์ของพี่ชายและน้องสาวระหว่างคุณกับเขาจะต้องขาดสะบั้นอย่างแน่นอน”
หลินม่ายกล่าว “ถ้าเขายังไม่เข้าใจความเป็นจริง ฉันก็จะไม่เป็นพี่น้องกับเขาหรอกค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของเขา ไม่ได้อยากเป็นเครื่องกดเงินสดของเขา”
ทั้งคู่คุยกันสองสามคำเกี่ยวกับการแต่งงานของไป๋เซี่ย และหลินม่ายก็จบหัวข้อนี้หลังจากกินเกี๊ยวหมด
ไม่กี่วันต่อมา เฝิงเยว่จู๋ก็ไปยังมหาวิทยาลัยที่ไป๋เซี่ยกำลังศึกษาอยู่
ขณะนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน ไป๋เซี่ยพาเฝิงเยว่จู๋ไปที่โรงอาหาร สั่งอาหารอร่อย ๆ แล้วทั้งสองคนก็รับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
หลังจากที่เฝิงเยว่จู๋กินไปไม่กี่คำ หล่อนก็อธิบายความตั้งใจของตัวเองอย่างเขินอาย
ไป๋เซี่ยไม่พูด แต่ยังคงกินอย่างเงียบงัน
เฝิงเยว่จู๋รู้สึกประหม่าเล็กน้อยและถาม “เซี่ยเซี่ย ทำไมคุณไม่พูด คุณ… คุณไม่อยากแต่งงานกับฉันเหรอ?”
ไป๋เซี่ยพยักหน้า “อือ ผมกำลังคิดแบบนั้นอยู่”
“คุณ…” น้ำตาของเฝิงเยว่จู๋ไหลออกมาทันที “คุณจะทำลายความสัมพันธ์หนึ่งปีของเราเหรอ?”
ไป๋เซี่ยหยิบมันฝรั่งชิ้นหนึ่งเข้าปากของเขา “แม้ว่าผมไม่เต็มใจที่จะเลิกรากับคุณ แต่ถ้าเราไม่เหมาะสมกัน มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เราจะเลิกกันก่อนเกิดปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดการแต่งงานแล้วหย่าร้าง เพราะนั่นจะเป็นการทำร้ายคุณจนทำให้ถูกสังคมดูหมิ่นเอาได้”
เฝิงเยว่จู๋ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม “เราไม่เหมาะสมกันตรงไหนคะ บอกฉันสิ ฉันจะเปลี่ยนให้”
ไป๋เซี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “อย่างแรก ผมไม่ชอบที่คุณสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล”
เฝิงเยว่จู๋ตกตะลึง “ฉันสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลเมื่อไหร่กัน?”
หล่อนรู้สึกเสมอว่าตัวเองมีเหตุผล
“ตอนที่คุณมาเยี่ยมบ้านผม คุณควรมีของติดไม้ติดมือมาให้กับพ่อและครอบครัวของผม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่คุณมีต่อพวกท่าน แต่นอกจากคุณจะไม่มีสิ่งใดติดมือมาให้แล้ว คุณยังเอาแต่เรียกร้องจากพวกเขาด้วย แบบนี้ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยเหรอ?”
เฝิงเยว่จู๋หน้าแดงพลางตอบกลับ “แม่ของฉันสอนฉันมาแบบนี้ ท่านบอกว่าครอบครัวคุณรวยมาก ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วสิ่งของอะไรไปให้พวกเขา หากพวกเขาไม่ยอมมอบของราคาแพงให้กับฉัน แสดงว่าครอบครัวของคุณไม่ชอบฉัน และเมื่อฉันแต่งงานกับคุณในอนาคต ฉันก็จะไม่มีที่ยืนในครอบครัวของคุณ”
ไป๋เซี่ยรู้สึกหมดหนทางหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ครอบครัวของเราไม่เคยรังแกลูกสะใภ้เลยนะ”
ต่อจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่ไป๋เซี่ยชี้ให้เห็นบางสิ่งที่เฝิงเยว่จู๋ทำได้ไม่ดี เฝิงเยว่จู๋ก็กล่าวโทษแม่ของหล่อนทันที โดยบอกว่าแม่สั่งให้หล่อนทำ โดยที่หล่อนไม่เคยรู้สึกอยากทำเช่นนั้นเลย
ไป๋เซี่ยขมวดคิ้ว “ในเมื่อคุณเชื่อฟังแม่ของคุณขนาดนี้ ตอนที่เราแต่งงานกันแล้วก็คงมีแม่ของคุณแทรกกลางสินะ คงเป็นชีวิตที่น่าอึดอัดน่าดู”
เฝิงเยว่จู๋รีบส่ายศีรษะ “ต่อไปฉันจะไม่ฟังแม่ของฉันอีก ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นนะคะ วันนั้นหลังกลับมาจากเฉวียนจวี้เต๋อ แม่กับฉันทะเลาะกันครั้งใหญ่ ไม่อย่างนั้นแม่ของฉันจะตกลงให้เราแต่งงานกันอย่างรวดเร็วแบบนี้เหรอคะ?”
ไป๋เซี่ยยิ้ม “ต่อให้แม่ของคุณเห็นด้วย ผมก็ขอเวลาคิดดูก่อนนะ”
เฝิงเยว่จู๋กัดฟันด้วยความโกรธเคืองอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็น
ทันทีที่กลับถึงบ้าน แม่เฝิงก็เอ่ยถามหล่อนทันที “หลังบอกไป๋เซี่ยว่าลูกตกลงจะแต่งงานกับเขา เขาว่าอย่างไรบ้าง? มีความสุขมากไหม?”
เฝิงเยว่จู๋พูดอย่างไม่มีความสุข “มีความสุขอย่างกับผีน่ะสิคะ!”
แม่เฝิงรู้สึกประหลาดใจ “ท่าทางของเขาเป็นอย่างไร? เขาไม่ต้องการแต่งงานกับลูกเหรอ?”
“เขาบอกว่าขอคิดดูก่อน และเขาจะติดต่อกลับมาหาฉันในอีกสองสามวัน”
เมื่อแม่เฝิงได้ยินสิ่งนี้ หล่อนก็รู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้ทั้งเพื่อนบ้าน ญาติ และเพื่อน ๆ ต่างก็รู้ว่าลูกสาวของตนกำลังจะแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวย
หากท้ายที่สุดไป๋เซี่ยไม่แต่งงานกับลูกสาวของหล่อน ครอบครัวของพวกเขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกหรือ?
แม่เฝิงเบิกตากว้างด้วยความวิตก “นังลูกคนนี้ ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไป๋เซี่ยไม่พอใจแก แกก็โทษฉันได้ แกไม่ได้ทำอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันก็ทำแบบนั้นไปแล้ว” เฝิงเยว่จู๋พูดอย่างเสียใจ
แม่เฝิงถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วทำไมไป๋เซี่ยถึงยังคิดเรื่องนี้อยู่?”
เฝิงเยว่จู๋พูดอย่างหดหู่ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เนื่องจากคำพูดจริงจังไป๋เซี่ย ครอบครัวเฝิงจึงกังวลเหมือนมดบนหม้อไฟ
ไป๋เซี่ยไม่แน่ใจเลยสักนิด
หากแต่งงานกับเฝิงเยว่จู๋ เขาก็กลัวที่จะทำผิดพลาดซ้ำเช่นเดียวกับพ่อไป๋
หากเลิกกับหล่อนไป อดีตที่แสนหวานจะต้องฝังอยู่ในใจอย่างแน่นอน
เขาจึงถามกลุ่มเพื่อนว่าควรทำอย่างไร
เพื่อนทุกคนตบไหล่เขาและปลอบใจ “ผู้หญิงก็แบบนี้แหละ หากนายคิดว่าแฟนคนปัจจุบันยังไม่ดีก็แค่หาแฟนใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่จะว่าไปคนนี้ก็สวยอยู่นะ และยังเป็นนักศึกษาที่มีพื้นฐานครอบครัวที่เรียบง่ายอีกด้วย”
เขาจึงไปขอคำปรึกษาจากพ่อไป๋และบรรดาพี่สาวน้องสาว
พ่อไป๋และไป๋ลู่บอกเขาว่า พฤติกรรมไม่ดีของเฝิงเยว่จู๋ก่อนหน้านี้เป็นเพราะได้รับการเสี้ยมสอนจากแม่ของหล่อน
ตราบใดที่หล่อนไม่ฟังแม่ หล่อนก็ยังเป็นคนดีและน่าคบหาต่อไป
มีเพียงหลินม่ายเท่านั้นที่บอกให้เขาคิดอย่างรอบคอบ
ไป๋เซี่ยครุ่นคิดตลอดเวลา เฝิงเยว่จู๋ก็มาหาเขาเป็นระยะ และร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นเขา
ผู้ชายล้วนกลัวน้ำตาของผู้หญิง ในที่สุดไป๋เซี่ยก็พยักหน้าและตกลงสัญญาแต่งงานกับหล่อน
ในที่สุดพ่อเฝิงและแม่เฝิงก็รู้สึกโล่งใจหลังจากวิตกกังวลมานาน
ไม่กี่วันต่อมา ครอบครัวไป๋และครอบครัวเฝิงก็ได้พบและรับประทานอาหารร่วมกันอีกครั้ง
ครั้งนี้ตระกูลเฝิงไม่กล้าตั้งเงื่อนไขใดอีก ดังนั้นทั้งสองจึงรีบตกลงเรื่องการแต่งงานระหว่างไป๋เซี่ยและเฝิงเยว่จู๋
นอกจากนี้ยังตกลงกันว่า วันที่ 3 มีนาคมตามปฏิทินสุริยคติเป็นวันดี วันนั้นพ่อไป๋จะพาไป๋เซี่ยไปที่บ้านเฝิงเพื่อทำการสู่ขอ
ครั้งนี้ทั้งสองครอบครัวรับประทานอาหารเย็นกัน แต่หลินม่ายไม่ไป เพราะเธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ
เหมาฉงซึ่งอยู่ห่างไกลในจังหวัดH ได้รายงานสถานการณ์ของหลินเพ่ยตั้งแต่ช่วงต้นเทศกาลโคมไฟให้เธอทราบ
หนึ่งวันก่อนเทศกาลโคมไฟ นายท่านฉุยพาหลินเพ่ยไปฮ่องกง
เหมาฉงขอให้พี่ชายของเขาในว่านถงกรุ๊ปสาขาฮ่องกงช่วยติดตาม และรู้มาว่านายท่านฉุยพาหลินเพ่ยไปซื้อหุ้นที่ฮ่องกง
หุ้นที่นายท่านฉุยซื้อและจำนวนหุ้นที่เขาซื้อได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดและชัดเจน
หุ้นที่นายท่านฉุยซื้อนั้นเป็นหุ้นที่ถูกต้องทั้งหมดตามที่หลินม่ายปลูกถ่ายข้อมูลไว้ในใจของหลินเพ่ย และพวกมันจะพุ่งสูงขึ้นในปลายเดือนมีนาคม
หลินม่ายเองก็ทุ่มเงินกว่าสามล้านเพื่อซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นเหล่านี้
เพียงรอเวลาเก็บเกี่ยวหลังหุ้นพุ่งสูงขึ้น ก็จะได้กำไรเป็นสามสิบล้านจากสามล้าน
ตามรายงานของเหมาฉง ทุกอย่างเป็นไปตามที่หลินม่ายวางแผนไว้
แม้หลินเพ่ยจะยุยงนายท่านฉุยให้ซื้อหุ้นในฮ่องกง แต่เขาก็ซื้อได้ไม่ถึงห้าหมื่นหุ้น ซึ่งแสดงว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของหลินเพ่ยมากนัก
หากเขาไม่เชื่อครั้งนี้ เขาก็จะรู้สึกเชื่อมากขึ้นเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ และจะทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อลงทุนซื้อหุ้นอีกครั้ง แต่นั่นจะนำมาซึ่งหายนะสำหรับเขา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอดูผลลัพธ์หลังจากนี้แล้วกันนะคะ ชีวิตคู่เป็นของคนสองคน คนอื่นมาตัดสินใจแทนไม่ได้หรอก เฝิงเยว่จู๋ไม่เท่าไหร่ แต่ไม่ค่อยไว้ใจครอบครัวเฝิงเลยนี่สิ ดูเหมือนครอบครัวปลิงยังไงไม่รู้
ไหหม่า(海馬)