ตอนที่ 195 เทพหิมะซีเหมินกับเจ้าเกาะเมฆาขาว
หลิ่วสืออีมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
เพราะเขาก็เคยอ่านตำราโบราณนั้น
ตำราโบราณนั้นไม่ใช่แค่แพร่หลายในเทือกเขาประจิม
ในแดนตะวันตก ตะวันออกไปจนถึงทั้งใต้ฟ้าต้าสุย ล้วนมีชื่อเสียงอย่างมาก
คนที่เขียนตำนานเก่าแก่โลกยุทธภพนั้นแซ่ฟู่นามซีเหมิน นามเดียวกับราชันกระบี่เทพหิมะของตำหนักทะเลสาบกระบี่
ในตำราโบราณนั้นบรรยายอย่างสมจริงถึง ‘หมู่เกาะวิมานเซียน’ ที่มีเกาะมากมายในนั้นและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับตำหนักทะเลสาบกระบี่
เจ้าเกาะเมฆาขาวเย่กูเฉิงจากหมู่เกาะวิมานเซียนนอกทะเลมาถึงเมืองหลวง วางแผนการร้ายต่อเมืองหลวงต้าสุย ปฏิบัติการลับที่บอกใครไม่ได้ สุดท้ายก็ล้มเหลว
บทสรุปสุดท้าย
ยอดผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งยิ่งสองคนสู้กันบนยอดหุบเขานิรันดร์ สู้กันจนหมอกหุบเขานิรันดร์หายไป ทั้งเมืองหลวงคึกคักกันมาก
“ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์…” หลิ่วสืออีพูดขึ้น “น่าสนใจ”
ใต้ฟ้าต้าสุย แน่นอนว่าไม่มีนักกระบี่นาม ‘เทพหิมะซีเหมิน’ และไม่มีเจ้าเกาะเมฆาขาวผู้ฝึกบำเพ็ญ ‘เซียนทะยานนอกฟ้า’ คนนั้น และในยุคนี้ยิ่งไม่มีทางมีใครกล้าทำเรื่องขาดสติอย่างชิงบัลลังก์แน่นอน
“ความจริง ข้าคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นความจริง”
หนิงอี้ยิ้ม ก่อนยักไหล่ “บนยอดหุบเขานิรันดร์มีศิลาหินบุพกาลที่เตรียมไว้สำหรับการขึ้นบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ เจ้าเกาะเมฆาขาวอยากขึ้นเป็นจักรพรรดิก็ต้องขึ้นสู่ยอดหุบเขานิรันดร์ จักรพรรดิต้าสุยไม่ใช่ทุกคนที่จะแข็งแกร่งไร้พ่ายเหมือนในตอนนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์แรกก็มีวันนั้นที่ป่วยชราจากไป การรัฐประหารและแผนการร้าย เป็นเรื่องแน่นอนในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้นิ่งๆ
“ข้าคิดมาตลอดว่าจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงและสายเลือดของ ‘มังกรโบราณ’ ท่านนั้นเป็นความจริง ศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์ก็เป็นความจริง ศึกยุทธภพในใต้ฟ้าแห่งนี้เป็นจริงทั้งหมด” หนิงอี้พูดอย่างสบายใจ “ข้าชอบสิ่งที่ยอดผู้บำเพ็ญท่านนั้นเขียนมาก จนถึงตอนนี้ได้ขึ้นมาบนยอดหุบเขานิรันดร์ด้วยตัวเอง ข้าถึงรู้ว่าศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์อาจจะเป็นความจริง…แต่คนที่จะสู้ศึกตัดสินกันที่นี่ ไม่ใช่เทพหิมะซีเหมินกับเจ้าเกาะเมฆาขาวแน่นอน”
หลิ่วสืออีพลันรู้สึกว่าหลังจากตนเจอกับหนิงอี้ บางครั้งก็อยากจะหัวเราะออกมา
เขายกมุมปากเล็กน้อย ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดถึงไม่ใช่เทพหิมะซีเหมินกับเจ้าเกาะเมฆาขาวล่ะ”
“เพราะบนยอดหุบเขานิรันดร์เล็กมากเกินไป หากพวกเขาสองคนจะสู้กันจริงๆ ก็น่าจะเลือกบนตำหนักของวัง บนยอดของตำหนักม่วงต้องห้าม” หนิงอี้พูดด้วยความจนปัญญา “หากเปลี่ยนเป็นข้าเขียน ข้าจะเปลี่ยนยอดหุบเขานิรันดร์เป็นยอดของตำหนักม่วงต้องห้าม”
หลิ่วสืออีอดหัวเราะไม่ได้
เขาถามต่อ “เช่นนั้น จะเลือกใครมาสู้บนยอดหุบเขานิรันดร์ล่ะ”
“เจ้า”
หนิงอี้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วก็ข้า”
“ที่นี่ไม่กว้าง แต่ก็เพียงพอสำหรับเราสองคนที่ยังไม่ทะลวงขอบเขตที่สิบ”
หนิงอี้ถือร่มกระดาษมัน พลังทั่วร่างไหลเข้าไปในร่ม คมกระบี่พินิจเหมันต์ถูกหมุนออกมาเบาๆ
“ข้าดูศิลากระบี่ทั้งหุบเขานิรันดร์แล้ว จิตกระบี่ประจำตัวนั่น ขาดอีกนิดเดียวก็จะรวมขึ้นมาได้” หนิงอี้สูดลมหายใจเบา “ดูท่าเจ้าก็คงจะเหมือนกัน”
หลิ่วสืออียังคงกด ‘นางแอ่นคืนรัง’ ยังคงแน่นิ่ง
“ข้าแสวงหาความเรียบง่าย เจ้าเองก็แสวงหาความเรียบง่าย คนหนึ่งจากสามพันมาจนถึงหนึ่ง อีกคนจากศูนย์ไปถึงหนึ่ง” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีพลางพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าไม่ขำ ก็คงจะคล้ายกับเทพหิมะซีเหมินจริงๆ”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ ก่อนเลิกคิ้วขึ้น “แต่เจ้าดูแล้วไม่เหมือนเจ้าเกาะเมฆาขาวที่จะชิงบัลลังก์คนนั้นเลย”
หนิงอี้หัวเราะ
“นั่นเป็น…” เขาถือพินิจเหมันต์ พูดพึมพำ “เพราะว่าข้าจะไม่แพ้ไง”
หมอกบนยอดหุบเขานิรันดร์พลันถูกฟันเปิดออก
หนิงอี้พุ่งออกไป เขาควงร่มกระดาษมันนั้นฟาดจากบนลงล่าง นี่คือกระบี่ฟาดที่สวีจั้งสอนเขา หลิ่วสืออีพลันชักกระบี่ขึ้น วาดเป็นเส้นยาวที่เจ้าเล่ห์และแปลกประหลาดสายหนึ่ง
แสงกระบี่รุนแรงระเบิดกลางอากาศ
หนิงอี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก กระบี่ร่มนั้นถูกแรงมหาศาลกระเทือนจนหลุดออกจากมือ แต่ก็ยังอยู่ในการควบคุมของหนิงอี้ แค่ครึ่งลมหายใจ พินิจเหมันต์เปลี่ยนจากมือซ้ายมาอยู่มือขวา ดูเหมือนกับว่าพลังกระบี่ของหลิ่วสืออีช่วยให้หนิงอี้เปลี่ยนมือได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก
กระบี่ฟาดอีกครั้ง!
หลิ่วสืออีเท้าจมลงดิน หินดินกระจาย เด็กหนุ่มชุดขาวเปล่งเสียงร้องเบามาจากในลำคอ ในความคิดเขาปรากฏคัมภีร์ลับวิถีกระบี่ของตำหนักทะเลสาบกระบี่มากมายขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากเขาใช้วิชากระบี่ที่เคยเรียนมา เช่นนั้นก็จะแก้รูปแบบกระบี่ของหนิงอี้ได้ทันที
แต่หลิ่วสืออีไม่
เขาอยู่ในสภาพเหมือนวิ่งฝ่าสายฝนไปบนเส้นทางหุบเขานิรันดร์อย่างบ้าคลั่งนั้น
ฝนตกไม่หนักแล้ว
สองร่างเงาสีดำและขาวชนกัน
หลิ่วสืออีปล่อยวางความคิดทั้งหมดให้ว่างเปล่า จากนั้นออกกระบี่จากศูนย์ไปถึงหนึ่งนั้น ในความคิดเขาไม่มีวิชากระบี่และไม่มีกระบวนท่าอีก ทุกกระบี่คือกระบี่ใหม่ทั้งหมด
ปราณกระบี่รุกราน วนเวียนรอบตัวสองคนเหมือนงูมังกรเวียนว่าย
ดวงตาหนิงอี้เป็นประกายระยิบระยับ ในความคิดเขาท่องท่วงทำนองปราณกระบี่นับไม่ถ้วน กระบี่ของหลิ่วสืออีเรียบง่ายถึงที่สุด แต่ก็รับมือยากที่สุดเช่นกัน เขาส่งท่วงทำนองไร้ประโยชน์ออกไปเรื่อยๆ หล่อหลอมความคิดบนกระบี่ของตนเพื่อจะรับมือกับปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีซ้ำไปซ้ำมา
นี่เป็นการสนทนามรรคในความหมายของปราณกระบี่อย่างหนึ่ง
จิตกระบี่ประจำตัวที่อีกนิดเดียวจะรวมได้สองดวงนี้ พุ่งชนกันไม่หยุดและมีแนวโน้มจะเติมเต็มขึ้นทีละนิด
……
“นี่เป็นคนหนุ่มสองคนที่ดีมาก”
บุรุษชุดขาวยืนกลางหมอก ข้างกายเขาเป็นสวีชิงเยี่ยนที่สวมหมวกปิดหน้า
ฆราวาสเขาเสียวซานมองทางนั้นของหมอกหุบเขานิรันดร์ นักกระบี่หนุ่มสองคนกำลังพัวพันกัน สวีชิงเยี่ยนยืนกลางหมอก นางมองหนิงอี้ด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวล” ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “ผลการตัดสินของศึกนี้ไม่สำคัญ และจะไม่มีใครบาดเจ็บ เจ้าเก็บอาวุธสังหารนั่นไปได้เลย นี่เป็นหลักประกันที่ทำให้เจ้ามีชีวิตต่อไปได้ จริงๆ แล้ว…ต่อให้หนิงอี้มีอันตราย เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนี้ เจ้าลองส่งความเป็นเทพดู ดูสิว่าจะทำได้หรือไม่”
สวีชิงเยี่ยนลองส่งความเป็นเทพผ่านที่ราบกระดูก กลับพบว่าสะพานที่เมื่อก่อนไปถึงได้ ตอนนี้ไม่มีการโต้ตอบใดๆ เลย
เด็กสาวหรี่ม่านตาลงเล็กน้อย
นางมองบุรุษชุดขาว อยากได้คำอธิบาย
ฆราวาสเขาเสียวซานเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“คนเฝ้าหุบเขา ไม่คิดจะออกมาพบกันหน่อยรึ”
เขาเอ่ยนิ่งๆ เสียงดังกึกก้องกลางหมอก
เสียงเพิ่งตกกระทบ
อีกด้านข้างกายว่างเปล่าในตอนแรกก็รวมขึ้นเป็นไอสีดำ ก่อนเงาคนเฝ้าหุบเขาร่างหมอกสูงใหญ่นั้นจะก้าวออกมาเช่นนี้
………………………..