ตอนที่ 200 เพราะเจ้าคือบุตรสาวของเผยหมิน
“ศิษย์ของภูเขาม่วง หนึ่งรุ่นจะรับเพียงคนเดียว”
“ศิษย์ของข้าเนี่ยหงหลิงตายไปในคืนโลหิตเมืองหลวงเมื่อสิบปีก่อนแล้ว” ตอนเอ่ยคำพูดพวกนี้ ก็มองไม่เห็นถึงความสุขทุกข์ของเด็กหญิงชุดแดงเลย นางพูดเสียงเบามาก “ก่อนสวีจั้งตายก็มาที่ภูเขาม่วง มาดูหลุมศพของนางกับตาตัวเอง”
ฉู่เซียวเอนไปข้างหลังเล็กน้อย พิงผนังหิน ยันต์หลายแผ่นวนเวียนรอบชุดคลุมนางก่อนจะมุดเข้าไปในรูแขนเสื้อ
“สวีจั้งเคยมาเยือนภูเขาม่วงนับครั้งไม่ถ้วน ถามไถ่ความเป็นตายของเนี่ยหงหลิง จนถึงวาระสุดท้ายก็ได้ยืนยันความตายกับตาตัวเอง ถึงได้ละวางความยึดมั่นนั้นลง”
“เกิดดับล้วนมีโชคชะตา ศาสตร์เต๋าไม่แน่นอน แม้ภูเขาม่วงข้าจะศึกษาวิชาเกิดดับมาทุกยุคสมัย แต่ก็ไม่มีวิชาพลิกฟ้าให้คนตายคืนชีพกลับมาได้” เด็กหญิงชุดแดงพูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เนี่ยหงหลิงเป็นศิษย์ที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด ตอนที่ถูกส่งไปถึงภูเขาม่วง ก็เหลือเพียงแขนเสื้อ จิตวิญญาณดับสลายไปทั้งหมด ต่อให้เป็นข้าก็ทำอะไรไม่ได้”
นางพูดพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยใบครามต้นครามหมื่นปีเบาๆ ใบครามนั้นขยับไหวเล็กน้อย เหมือนเจอเจ้าของที่คุ้นเคย
“นี่คือต้นครามนิรันดร์หมื่นปีของภูเขาม่วง” ฉู่เซียวนั่งตัวตรง มองเผยฝานพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าน่าจะรู้ว่าโลกนี้มีคำเล่าลืออย่างหนึ่ง ในภูเขาม่วงมีผู้เป็นอมตะในอดีตหลับใหลอยู่ ใบครามพวกนี้หลับใหลไปพร้อมกับผู้เป็นอมตะท่านนั้น หากผู้เป็นอมตะที่อยู่ส่วนลึกสุดของภูเขาม่วงตื่นขึ้นมาในสักวันหนึ่ง เช่นนั้นใบครามทั้งภูเขาจะเปลี่ยนเป็นใบม่วง ใบครามต้นนี้ เนี่ยหงหลิงเก็บมาจากภูเขาม่วง ส่งให้สวีจั้งเป็นของแทนใจ สวีจั้งเอาไว้ติดตัวเหมือนสมบัติล้ำค่า ใช้ชะลอกลิ่นอายมรณะ ใช้ยืดอายุขัย อยู่คู่กับความเป็นเทพภูเขาม่วงมาตลอด มันมีสติปัญญาแล้ว หากได้โชควาสนาอีกเล็กน้อย บางทีอาจจะใช้ร่างปีศาจก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญได้”
เผยฝานใจสั่นไหวเล็กน้อย
นางเม้มริมฝีปาก “สุดทางภูเขาม่วงมีผู้เป็นอมตะจริงหรือ”
ฉู่เซียวยิ้ม “หากเจ้ายินดีเข้าภูเขาม่วงข้า ก็จะรู้เอง”
“ผู้อาวุโสเคยมีอดีตกับคุณชายลู่เซิ่งหรือ” เผยฝานมองเด็กหญิงชุดแดง เห็นใบหน้าเยาว์วัยนี้แล้ว ยกนางออกมาวางบนถนนเมืองหลวงให้คนเดา ก็คงเดาได้ว่ามีอายุหกเจ็ดขวบ ความขาวเนียนเหมือนดอกบัวนั้นหยิกออกมาเป็นน้ำได้เลย แต่ลู่เซิ่งเจ้าภูเขาสู่ซานที่แท้จริงเป็นบุคคลในตำนานเมื่อห้าร้อยปีก่อน
ในแววตาฉู่เซียวตอนลูบไล้ปลายนิ้วยันต์เมื่อครู่มีความหมายอยู่มากมาย…
“ข้าดู…” เด็กหญิงชุดแดงเอ่ยราบเรียบ “ยังสาวมากรึ”
ไม่ใช่แค่ยังสาว…เด็กสาวคิดอยู่ในใจ หากฉู่เซียวมีอายุห้าร้อยปี วางในต้าสุยก็เป็นปีศาจแก่อันดับต้นๆ แล้ว และยังมีใบหน้าพลิกฟ้าเช่นนี้ได้อีก พูดไปใครจะเชื่อกัน
นางครุ่นคิด ขอบเขตนิพพานพวกนั้นในใต้ฟ้าต้าสุยล้วนเป็นผู้มีความสามารถที่นับนิ้วได้ การจะคงใบหน้าไว้คงไม่ใช่เรื่องยาก นี่เป็นเพียงเนื้อหนังเท่านั้น
“สภาพข้าตอนนี้…เดินในเมืองหลวงได้อย่างผ่าเผย ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคนแซ่หลี่นั่นพบ เพราะนี่เป็นเพียงร่างเด็กหญิง หยุดอยู่ที่หกขวบครึ่งตลอดกาล” ฉู่เซียวพิงผนังหิน นางพูดอย่างเกียจคร้าน “เจ้าวางใจเถอะ แม้ข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ไม่ได้เลวถึงขั้นกินทารกฝึกวิชาเหมือนผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณหรอก ตอนที่ข้า ‘ถูกใจ’ ร่างนี้มันก็เป็นศพอยู่แล้ว ปัญจธาตุถูกต้องตามหลัก แปดด้านวิจิตร ในต้าสุยเกิดเรื่องข้าวยากหมากแพงตลอด ยิ่งเป็นเขตที่ไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันยิ่งแล้วใหญ่ หลายปีมานี้วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ โลกไม่ยุติธรรม มีแต่คนตายกับจะตายเต็มไปหมด”
เผยฝานเหม่อมองเด็กหญิงชุดแดงตรงหน้า
“อะไร ไม่เชื่อรึ คิดว่าเขตเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง แล้วใต้ฟ้าต้าสุยจะไม่เกี่ยวกับสงครามอดอยากรึ” ฉู่เซียวยิ้ม “ต่อให้เป็นเขตใจกลางเขาสู่ซานก็ยังเกิดเรื่องโจรปล้นชิงกันตลอด แล้วนับประสาอะไรกับพื้นที่และประชากรที่ถูกเขาศักดิ์สิทธิ์ทอดทิ้งพวกนั้นล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ โลกบำเพ็ญของต้าสุยมาถึงยุครุ่งเรืองแล้ว แต่รากฐานกลับเน่าเฟะไปหมด”
เผยฝานนึกไปถึงตนเองกับหนิงอี้ สิ่งที่ประสบนอกเทือกเขาประจิม การเผา ฆ่าและปล้นชิง ความเหี้ยมโหดอำมหิต หิมะปกคลุมโลหิต หลังผ่านไปหนึ่งคืนก็ใหม่เหมือนเมื่อวาน
เรื่องสกปรกมากมายของต้าสุยถูกฝังลงดินในเขตกว้างใหญ่ ภายใต้เปลือกนอกที่สวยงาม ดูเหมือนยังคงแข็งแกร่งแต่ข้างในเน่าเฟะแล้วจริงๆ
ฉู่เซียวพูดไว้ไม่ผิดเลย
หากไม่มีคุณชายโจวโหยว หนิงอี้กับตนคงไม่ได้เข้าเขตต้าสุยด้วยซ้ำ นี่เป็นเพราะเหตุใด?
ผู้คนร่อนเร่มากมายจะเข้ามาในสี่เขต เทือกเขาประจิมวุ่นวายยิ่งกว่าในเขตเสียอีก…นางนึกไปถึงตอนนั้นที่ผ่านด่านเข้าเขต ตนนั่งอยู่บนหลังนกมองลงมาข้างล่าง เห็นกำแพงเมืองแดนประจิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น ใต้หัวเมืองเป็นแถวยาวเหยียด…ประชากรที่อดอยากต้องอพยพเดินทางไกลมาเอาชีวิตรอดเป็นเหมือนมดปลวก มองลงมาจากบนฟ้าสูง มองไปไม่สุดสายตา
“ยัยหนูเผย” เด็กหญิงชุดแดงลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยราบเรียบ “เรื่องของภูเขาม่วง…เจ้าตรึกตรองดูก่อนได้ เรื่องของคนเป็นตาย ข้าทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเลือดเนื้อกระดูก ข้าสบายมาก”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง
เกิดเสียงดัง ‘ฟิ้ว’
เงาหนึ่งลอยเข้ามาเบาๆ
เผยฝานตั้งสมาธิ รับจี้หยกชิ้นนั้นไว้ ในความอุ่นยังมีกลิ่นอายที่ซึมซาบถึงจิตใจคนวนเวียนอยู่ ในหยกขาวมีกระแสน้ำอบอุ่น ปิดผนึกไหลเวียนอยู่
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบข้า เจ้าตรึกตรองของในหยกชิ้นนี้ก่อน หากต้องการก็บีบมันให้แตก เจ้ากับข้าจะถือว่าผูกวาสนาดีต่อกัน ส่วนภูเขาม่วง เจ้าจะไปเยือนไปดูก็ได้ไม่ว่ากัน”
ฉู่เซียวลุกขึ้น ต้นครามหมื่นปีในมือนางวางกลับไปที่เดิมอีกครั้ง ลงบนสันกำแพงเบาๆ ยันต์แผ่นหนึ่งพุ่งออกไปเรียบง่าย หยุดอยู่ตรงสี่มุมของลานบ้าน เปล่งแสงอ่อนๆ สุดท้ายก็เงียบสงบลง
เกิดเสียงดัง ‘พรึ่บ’ นางกางร่มกระดาษมันสีแดง
“ผู้อาวุโส”
เผยฝานมองฉู่เซียวพลางพูดทีละคำ “เหตุใดต้องเป็นข้า”
มองเห็นใบหน้าใต้ร่มไม่ชัดเจนแล้ว
“เจ้าหรุยมีคำพยากรณ์ว่าต้าสุยจะถูกคนแซ่สวีจุดไฟลามทุ่ง” เสียงของฉู่เซียวลอยล่องเหมือนอยู่อีกด้านของเมฆหมอก “เพราะต้าสุยมืดเกินไปเลยต้องการไฟดวงนี้ ส่องแสงสว่างของโลก และข้าก็เห็นสะเก็ดไฟเล็กๆ ในตัวเจ้า”
“คาดไม่ถึงจริงๆ” เผยฝานยิ้ม “ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้อาวุโสจะเป็นคนประเภทนั้นที่แบกปณิธานยิ่งใหญ่ อยากให้ทุกคนเงยหน้าเห็นแสงสว่างหรือ”
“ไม่”
ฉู่เซียวส่ายหน้า
“แสงของดวงดาราจุดไฟลามทุ่งได้ หลังจากจุดไฟลามทุ่งจะเหลือเพียงเถ้าธุลี เนี่ยหงหลิงยอมตายที่เมืองหลวงเพื่อสวีจั้ง ข้าไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมครั้งที่สองอีก”
ฉู่เซียวกางร่มผลักประตูจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ก่อนเอ่ยเสียงแหบ “เจ้าถามว่าเหตุใดต้องเป็นเจ้าหรือ ก็เพราะว่าเจ้าคือบุตรสาวของเผยหมิน”
………………………..