“เชี่ยแม่งเอ๊ย ยังไงผมก็ไม่เชื่อ ผมจะถามให้มันชัดเจนเดี๋ยวนี้เลย!”
เจินจาหนานค้นรายชื่อในโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด และไม่นานเขาก็ค้นพบเบอร์โทรศัพท์ของจูเจียนเฉียง จากนั้นก็กดโทรออกไป
หลังจากอีกฝ่ายรับสายโทรศัพท์ เจินจาหนานก็ตะคอกด้วยความหงุดหงิด: “นายนี่มันไอ้สมองพิการ! นายคิดจะหลอกผมงั้นเหรอ! บัตรผ่านประตูที่นายให้ผมมานั่นมันเป็นบัตรปลอม! บัตรจริงอยู่ในมือหลี่โม่! เมื่อกี้นายพูดกับผมว่ายังไง!”
“อะไรนะ? จะเป็นบัตรปลอมได้ยังไง คุณโดนพวกเขาหลอกแล้วหรือเปล่า”
จูเจียนเฉียงถามด้วยความงงงวยเล็กน้อย
“ผมจะโดนหลอกได้อย่างไร เนื่องจากบัตรผ่านประตูที่นายเอาให้ผม นายเป็นคนไปซื้อไม่ใช่เหรอ หรือว่านายไปเอามาจากที่ไหน!”
เจินจาหนานที่กำลังพูด ก็กลอกตาไปมา และในใจก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย เนื่องจากไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังคงรู้สึกว่าจูเจียนเฉียงนั้นเชื่อถือไม่ค่อยได้
“นี่เป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมให้ผมมา เป็นเพื่อนชาวต่างชาติ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้บัตรปลอมมา คุณ คุณเคลียร์เช็คให้ดีๆ ก่อนมั้ย จากนั้นผมจะติดต่อแล้วสอบถามกับเพื่อนชาวต่างชาติของผมอีกที”
หลังจากจูเจียนเฉียงพูดจบก็ได้วางสาย ก้นบึ้งหัวใจของเจินจาหนานนั้นได้เยือกเย็นไปหมดแล้ว
ไอ้บ้า เรื่องนี้อย่าหลอกกันเลย ถ้าหากโดนจูเจียนเฉียงหลอกเข้าจริงๆ ละก็! คราวนี้คงขายหน้าขายตาไปหมดแล้วจริงๆ !
เจินจาหนานทั้งคนแข็งทื่อราวกับหิน เนื่องจากเจินจาหนานที่เป็นลูกคนรวยตั้งแต่เด็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะตบหน้าคนอื่น แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที
แม่งเอ๊ย นี่มันเป็นความรู้สึกของการโดนตบหน้า ซึ่งทำให้คนยากที่จะยอมรับได้จริงๆ
ทำยังไงดี?
อย่างน้อยตอนนี้จะแตกคอกันไม่ได้ แม่งเอ๊ยต้องไปหาจูเจียนเฉียนคุยให้รู้เรื่อง!
เรื่องนี้จะจบลงแบบนี้ไม่ได้ ใบหน้าของผมเจินจาหนานไม่ใช่ว่าจะตบได้ง่ายๆ แบบนี้ อย่างไรก็ตามต้องมีคำอธิบาย
เจินจาหนานระงับความโกรธในใจ แล้วก็รู้สึกว่ารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางดีกว่า เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต่อต้านกับหลี่โม่อีกต่อไป
หันหลังกลับและก้าวเท้าอย่างเงียบๆ เจินจาหนานต้องการจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รบกวนคนอื่น
แต่ทว่าเขาสามารถออกไปอย่างเงียบแบบนี้ได้หรอ?
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
“คุณจะไปแล้วเหรอ แต่ก่อนไปก็ควรทิ้งของเดิมพันไว้หรือเปล่า ช่วงนี้จนไม่มีเงินที่จะซื้อเนื้อหมูกิน ฉะนั้นพอดีเลยเอารถยนต์ที่คุณแพ้มานั้นไปขายแลกเป็นเงินค่าขนม”
หลี่โม่พูดติดตลก
รถสปอร์ตคันนั้นเป็นคันที่เจินจาหนานเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ เลย ซึ่งมีค่ามากกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ
สำหรับเจินจาหนาน ผู้หญิงสามารถยืมให้เพื่อนได้ แต่รถยนต์ยืมให้ไม่ได้
เนื่องจากเป็นบอดี้ Lamborghini ใหม่ล่าสุดที่ปรับแต่งโดยคาร์บอนไฟเบอร์ หากแพ้ออกไปแบบนี้เลย เพียงแค่คิดเจินจาหนานก็รู้สึกปวดใจแล้ว
ไม่สิ ไม่ใช่เพียงแค่ปวดใจเท่านั้น แม้แต่หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตก็เจ็บปวดไปหมด
“คนนั้นอ่ะ สามารถเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขได้ไหม เดี๋ยวผมสั่งให้คนส่งรถเฟอร์รารีให้คุณหนึ่งคัน และรถมาเซราติอีกหนึ่งคันเป็นยังไงบ้าง ไม่ทำให้คุณเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
เจินจาหนานคิดจะพยายามเพื่อช่วยของเล่นชิ้นใหม่อันเป็นที่รักของตัวเอง
“ไม่ เนื่องจากเมื่อกี้คุณพนันสิ่งนี้ ดังนั้นผมก็จะเอาสิ่งนี้”
หลี่โม่พูดด้วยความยึดมั่นถือมั่น
สิ่งที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ไม่มีความสุข ก็ต้องมุ่งมั่นทำต่อไปให้ถึงที่สุด ยิ่งคู่ต่อสู้ไม่มีความสุขมากเท่าไหร่ ตัวเองก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เฉินเสี่ยวถงที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยพูดแทรกขึ้นมาด้วยความสนับสนุน: “เมื่อกี้คุณเป็นคนเสนอออกมาเองว่าจะพนัน และเดิมพันก็เป็นคุณเสนอออกมาเอง แล้วตอนนี้คุณยังมีหน้าเบี้ยวหนี้อีกเหรอ?”
“ผมไม่ได้ไม่ยอมรับ”
เจินจาหนานกัดฟันอย่างแรงทนความเจ็บปวดใจอันรุนแรง และพูดว่า: “นี่กุญแจรถ คุณช่วยดูแลเก็บรักษารถผมให้ดี อีกไม่กี่วันผมมาไถ่ถอนได้ไหม รถยนต์คันนี้ซื้อในราคา19ล้าน ผมเอาเงิน20ล้านมาไถ่ถอนได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้ คุณก็ใช้เงิน20ล้านนั้นไปซื้อใหม่อีกหนึ่งคันสิ”
หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของหลี่โม่นั้นชั่วร้ายมากในสายตาของเจินจาหนาน ราวกับราชันย์ปีศาจที่ชั่วร้ายปรากฎตัวขึ้นบนโลกมนุษย์
“นั่นเป็นรถยนต์ที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ รถคลาสสิกแบบนี้ หาซื้อที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว!” เจินจาหนานรู้สึกกระวนกระวายใจจนด่ากราดไปหมดแล้ว
ในตอนนี้ราคาของรถยนต์คันนั้นมากกว่า30ล้านไปแล้ว รถคลาสสิคที่มีจำนวนจำกัดแบบนี้ต่างก็มีราคาที่สูง อีกทั้งยังสามารถมีราคาที่สูงขึ้นไปได้อีก และมันก็จะมีราคาที่ยิ่งสูงขึ้นไปมากเรื่อยๆ ในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นของเก็บสะสม!
เมื่อเห็นท่าทีที่กระหืดกระหอบของเจินจากนาน หลี่โม่ก็ได้พูดกระซิบข้างๆ หูของเฉินเสี่ยวถงว่า : “ เป็นยังไงบ้าง เห็นถึงท่าทีที่แบบนั้นของเขาแล้วรู้สึกหายโกรธขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ”
ความร้อนที่พ่นออกมาจากปากของหลี่โม่ เล็ดลอดเข้าไปในหูของเฉินเสี่ยวถง เฉินเสี่ยวถงรู้เพียงแค่ว่าสมองของตัวเองวิงเวียนไปแล้ว ซึ่งได้ยินไม่ชัดเลยแม้แต่สักนิดว่าหลี่โม่กำลังพูดอะไร ทั้งตัวก็ปวกเปียกฟุบเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่โม่
แงแงแง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความรู้สึกแบบนี้สบายจังเลย มันช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นรู้สึกมาก่อนเลย และทำไมถึงได้รู้สึกว่าทั้งตัวนั้นไม่มีแรงเลย อีกทั้งร่างกายก็ร้อนผ่าวไปทั้งตัวอีกด้วย
เฉินเสี่ยวถงหลับตาลง โดยไม่รู้ว่าความคิดนั้นลอยไปถึงไหนแล้ว ในหัวมีเพียงแค่ตัวเองและหลี่โม่ที่กำลังกอดและกลิ้งไปมาอยู่บนก้อนเมฆ
เมื่อเห็นว่าหลี่โม่ไม่สนใจตัวเอง แถมยังใกล้ชิดและสนิทสนมกับเฉินเสี่ยวถงอีกด้วย ถ้าหากว่ายังอยู่ต่อไปก็คงจะมีเพียงแต่แทงใจเท่านั้น
เจินจาหนานโยนกุญแจรถลงบนพื้นอย่างแรง และพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “สองสามวันนี้คุณห้ามแตะต้องรถของผม ภายในเวลาสามวัน ผมจะมาพนันกับคุณใหม่อีกรอบ และแน่นอนว่าว่าผมจะชนะแล้วก็เอารถของผมกลับมาให้ได้”
“ยินดี แต่เอาชิปพนันมาให้พอด้วยละ”
หลี่โม่พูดพร้อมกับยิ้มตาหยี สำหรับเจินจาหนานที่จะมาเดิมพันต่อ ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่หลี่โม่อยากเห็นมันดำต่อไป
เจินจาหนานเดินมุ่งไปที่รถสปอร์ตด้วยความโกรธจัด เขาเปิดประตูเบาะข้างคนขับ และลากจูเจียนเฉียงลงมาจากที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับ จากนั้นก็ดึงจูเจียนเฉียงจากไปอย่างรวดเร็วด้วยโมโหอย่างมาก
หลี่โม่หรี่ตามองไปที่แผ่นหลังของจูเจียนเฉียง และพึมพำกับตัวเองว่า: “ความชั่วร้ายยังคงแฝงอยู่ในเงาจริงๆ เลย จะคอยดูว่าคุณยังจะเล่นกลอุบายอะไรออกมาได้อีก”
จากนั้นหลี่โม่ก็ก้มลงมองเสี่ยวถงที่มีแววตาเลือนราง อีกทั้งยังมีใบหน้าที่แดงก่ำ มันก็ทำให้หลี่โม่ตื่นตกใจ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “นี่คุณเป็นอะไร? หน้าแดงขนาดนี้ เป็นไข้หรือเปล่าเนี่ย”
“ฮือ เปล่า ปล่อยให้ฉันสงบสติอารมณ์ก่อน ไม่ต้องขยับตัวฉัน”
เฉินเสี่ยวถงพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย แม้ว่าจะไล่เจินจาหนานไปแล้วแต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้”
ในใจของหลี่โม่ก็ยังคงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ฉันแค่รู้สึก รู้สึก มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออก พักผ่อนสักแป๊บก็ดีขึ้นแล้ว หรือไม่ก็คุณเล่านิทานให้ฉันฟังหน่อยไหม”
“เล่านิทาน? ผมไม่ถนัดในเรื่องนี้”
ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหลี่โม่พูดต่อว่า: “กาลครั้งหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่ง บนภูเขามีวัดอยู่วัดหนึ่ง และในวัดมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง……”
หลี่โม่เล่านิทานที่ล้าสมัยมาก เฉินเสี่ยวถงมองบนใส่หลี่โม่ด้วยความเขินอาย
“คุณหานิทานที่ใหม่กว่านี้มาเล่าให้ฉันฟังก็ได้ นิทานพวกนี้เป็นเรื่องที่ล้าสมัยมากแล้วนะ”
“อันนี้ไงเป็นนิทานที่ใหม่ล่าสุด ในภูเขามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งชื่อเฉินเสี่ยวถง เธอทั้งสวยและน่ามอง นิทานสมัยก่อนไม่มีแบบนี้ไม่ใช่ล่ะ”
“ฮือฮือ ถ้าหากคุณไม่เล่านิทานดีๆ เดี๋ยวเจ้าเสือตัวใหญ่จะกินคุณแล้วนะ”
เฉินเสี่ยวถงพยายามเสแสร้งทำเป็นเสือดุร้าย เพื่อที่จะขู่หลี่โม่
แต่ใบหน้าของเฉินเสี่ยวถงยังคงอมชมพู พร้อมกับท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดู ฉะนั้นไม่ว่ามองยังไงก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังออดอ้อน