บทที่ 293
ฟื้นฟู
“ ฮึก … !” เมื่อรับรู้ได้ว่าชีวิตของงูมงกุฎเพลิงนิลได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งสี่คน รวมทั้งเมิ่งหูลู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และทรุดร่างลงหลังจากอดทนมานาน พวกเขานั่งลงคุกเข่าและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพลังปราณที่อ่อนล้า
“ แปะ ๆ!” บังเกิดเสียงปรบมือขึ้น และร่างทั้งหกรีบวิ่งออกมาจากป่าทึบ และล้อมรอบเมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เมื่อมองไปที่คนทั้งหกที่ล้อมรอบพวกเขา ทันใดนั้นใบหน้าของ เมิ่งหูลู่และคนอื่น ๆ ก็มืดมน
“อาณาจักรเฟิงหยู ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่อาณาจักรใหญ่ มีพลังมากในอันดับแรกๆของอาณาจักรทั้งสาม และเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้ร่วมมือกันสังหารสัตว์อสูรขั้นเก้า ช่างน่าชื่นชม” ในบรรดาหกคน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาอย่างช้า ๆ มองไปที่ เมิ่งหูลู่ที่เงียบงัน พวกเขามองชายทั้งสี่คน ด้วยใบหน้าติดตลกและกล่าวด้วยความชื่นชม
“ผู้คนแห่งอาณาจักรกังหลัน?” กวนเจิ้นขมวดคิ้วมองชายหนุ่มที่กำลังพูดคุย และกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ฮ่าฮ่า! อาณาจักรกังหลัน, ข้าคือ กู่ซาน! ข้าได้พบสหายของอาณาจักรเฟิงหยูแล้ว ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มมีใบหน้าที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กอดอกและกล่าวอย่างสนุกสนาน
“ตอนนี้พวกเจ้าได้เห็นแล้ว เช่นนั้นก็สามารถออกไปได้” กวนเจิ้นฝืนบังคับตนเองให้อดกลั้นต่อความอ่อนแอ ค่อยๆลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายอย่างสงบ
“ออกไปงั้นหรือ?” กู่ซานเลิกคิ้ว และใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแปลก ๆ ในขณะที่สหายทั้งห้าของเขา เริ่มหัวเราะทีละคน
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” กวนเจิ้นกลั้นใจและร้องลั่นออกมา
“ฮ่าฮ่า! อะไรกัน…เจ้าต้องการทุบตีข้า?” กู่ซานหัวเราะสามครั้ง แล้วพูดอย่างประชดประชัน
เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ซาน ทั้งสี่คนรวมทั้งเมิ่งหูลู่ก็เงียบลง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กวนเจิ้นก็มองหน้าอีกฝ่ายด้วยการขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ส่งร่างของงูมงกุฎเพลิงนิลไป”
“พี่ชาย … ” กวนเยว่หันศีรษะและมองไปที่กวนเจิ้น ปรากฏความขุ่นเคืองบนใบหน้าของนาง และนางกำลังจะพูดโต้แย้ง เมื่อเห็นกวนเจิ้นส่ายหน้า เช่นนี้นางทำได้เพียงปิดปาก และหันไปมองกู่ซานอย่างโกรธแค้น
อย่างไรก็ตาม เมิ่งหูลู่และ ผางหลงไม่อยากยอมรับการตัดสินใจของกวนเจิ้น แต่เมื่อพวกเขาคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่พวกเขาช่วยเหลือกันและกันมา พวกเขาจึงไม่เปิดปากเพื่อโต้แย้ง
“ฮ่าฮ่า! พวกเจ้าน่าต้องได้รับแก่นคริสตัลและสิ่งของจำนวนในช่วงเวลานี้ นอกจากนี้ยังมีวัตถุลึกลับมากมายบนร่างกายของเจ้า ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับพวกเรา ดังนั้นแม้แต่ศพ พวกเราก็ต้องการเช่นกัน จึงทำได้เพียงสังหารเจ้าเท่านั้น โทษตัวเองที่โชคร้ายเถอะ ”
กู่ซานส่ายหัว และหัวเราะเบา ๆ สองครั้ง จากนั้นเขาก็มองไปที่ เมิ่งหูลู่ และคนอีกสามคน ด้วยดวงตาที่ลุกโชนและพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้ม
“ฮึ่ม! พวกเจ้ามีไม่กี่คน คงไม่คิดว่าจะล้มพวกเราได้งั้นหรือ ?แม้ว่าพวกเราจะมีสภาพที่ไม่ดีนัก แต่ข้า รับประกันได้เลยว่า อย่างน้อยต้องมีพวกเจ้าหนึ่งคนถูกสังหาร หากไม่เชื่อเจ้าสามารถทดสอบดูได้”
กวนเจิ้นตะคอกอย่างเย็นชา พร้อมกับสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดของกวนเจิ้น คิ้วของกู่ซานก็ย่นขึ้น ในขณะที่สหายทั้งห้าของเขาก็ยิ้ม และมองหน้ากันด้วยความลังเล
คำพูดของกวนเจิ้นนั้น เป็นดั่งการขว้างหินลงแม่น้ำ เกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็หนีไม่พ้น ความสูญเสีย ทางฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งที่สุด คือ จักรพรรดิขั้นสองเท่านั้น เมื่อเผชิญกับจักรพรรดิช่วงปลายของกวนเจิ้น พวกเขายังคงอ่อนเปลี้ยด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องห่วง! ในตอนนี้ ตราบใดที่พวกเจ้าเอาไปเพียงร่างของงูมงกุฎเพลิงนิล ข้ารับประกันได้ว่า พวกเจ้าจะไม่เดือดร้อน กู่ซานและพวกเขามีสีหน้าลังเล กวนเจิ้นจึงตีเหล็กในขณะที่มันกำลังร้อน ๆ และยังคงพูดต่อไป
หลังจากได้ยินคำพูดของกวนเจิ้น ความกังวลของ กู่ซานก็หายไป เขาแสดงรอยยิ้มอีกครั้งและพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย: “ฮ่า! ข้าเกือบจะถูกพวกเจ้าหลอกเสียแล้ว มันไม่จำเป็นสำหรับเรา เจ้าจะจ่ายเพียงสัตว์อสูรขั้นเก้าเองงั้นหรือ?”
“ ข้าบอกว่า หากไม่เชื่อก็ลองดูก็ได้” เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ซาน หัวใจของกวนเจิ้นก็แน่นิ่ง แต่บนใบหน้าของเขา ยังคงดูสงบราบเรียบ และน้ำเสียงของเขาไม่แยแสมาก
“นี่…!” เมื่อเห็นท่าทางของกวนเจิ้น ความคิดของกู่ซานก็สั่นคลอนอีกครั้ง แต่เขากัดฟันทันทีและพูดอย่างหนักแน่นบนใบหน้าของเขา: “ฮึ่ม! ข้าไม่เชื่อว่า เราปล้นสิ่งของของพวกเจ้าในวันนี้ หลังจากที่พลังของพวกเจ้ากลับคืนมา แล้วจะไม่แก้แค้นเรางั้นหรือ? แทนที่จะรออย่างเป็นกระวนกระวาย สู้ทำตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า ”
คำพูดของกู่ซานไม่เพียง แต่สำหรับสหายของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเขาเองด้วย เพื่อโน้มน้าวตัวเองและตัดสินใจ
แน่นอนว่าหลังจากได้ยินคำพูดของเขา สหายทั้งห้าของเขาก็ฉายแสงอันเยือกเย็นในดวงตาของพวกเขา และมองไปที่คนสี่คนเบื้องหน้า ด้วยท่าทางที่น่ากลัว พวกเขาหยิบอาวุธออกมาทีละชิ้น และพลังปราณของพวกเขาก็ค่อยๆกระจายออกไป
“ฮึ่ม! หากต้องการที่จะตาย..อย่ามาตำหนิพวกเรา” กวนเจิ้นขมวดคิ้วแน่น และเขาระเบิดพลังปราณออกมาในทันทีและพลังพุ่งตรงไปที่กู่ซาน
เมื่อกู่ซานรู้สึกถึงแรงกดดันบนร่างกายของเขา รอยยิ้มของกู่ซานพลันหายไป และหันมามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ สวบสาบ!” เมิ่งหูลู่และอีกสามคน รีบลุกขึ้นยืน ด้วยใบหน้ามืดมน มองไปที่ศัตรูเบื้องหน้า
“ฮ่าฮ่า! กู่ซานยิ้มเย็น ปลายดาบของเขาชี้ไปที่กวนเจิ้น และพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย” ข้ายังไม่เคยได้ต่อสู้กับจักรพรรดิขั้นแปด วันนี้ข้าขอลองดูพลังสักหน่อยเถอะ”
“ฮ่าๆ!” เมื่อได้ยินคำพูดของกู่ซาน กวนเจิ้นก็โค้งริมฝีปากของเขา ตามมาด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกมา
“จัดการมัน! ชายคนนี้จะมอบให้ข้า และอีกสามคนจะถูกมอบให้กับพวกเจ้า” กู่ซานออกคำสั่งกับสหายของเขา จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่กวนเจิ้น พร้อมกับด้วยดาบในมือของเขา
“ระวังตัวด้วย กวนเยว่ขมวดคิ้ว และเอ่ยเตือนพี่ชาย แต่ยังไม่ทันที่ กวนเจิ้นจะได้ตอบกลับ
เขากลับได้ยินเสียงของเมิ่งหูลู่ว่า:” พี่กวน! รับไป ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเมิ่งหูลู่ ใบหน้าของกวนเจิ้นก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นว่าเมิ่งหูลู่ยื่นขวดกระเบื้องลายครามให้เขา และอีกฝ่ายก็คว้าขวดกระเบื้องดึงจุกออกโดยตรง แล้วแหงนคอดื่มของเหลวที่อยู่ในขวดกระเบื้อง
ไม่เพียงแต่เมิ่งหูลู่เท่านั้น แต่ผางหลงยังหยิบขวดกระเบื้องลายครามอีกสองใบ ซึ่งหนึ่งในนั้นส่งให้ กวนเยว่
และอีกใบเป็นของเขา จากนั้นเขาก็ทำเช่นเดียวกับเมิ่งหูลู่
กวนเจิ้นดึงจุกออกจากขวด และไม่ได้มองไปในขวด เขาเงยหน้าขึ้นตรง และเทมันเข้าปาก อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็สงสัยว่า “มันไม่ใช่ยาหรอกหรือ?”